เพิ่มข้อหา‘นัน’ อ้างเป็นตำรวจ


เพิ่มเพื่อน    

 นัน กิ่งเพชร ซัด "พิพล" เพื่อนร่วมแก๊งเป็นตัวการกรรโชกทรัพย์ล่อซื้อลิขสิทธิ์ ตัวเองเป็นแค่ลูกทีมทำงานตามสั่ง ตำรวจเตรียมเพิ่มอีก 2 ข้อหา อ้างตัวเป็นตำรวจ และตัวแทนบริษัทเจ้าของลิขสิทธิ์ ด้านคดีที่โคราชมีผู้เสียหายกว่า 60 ราย ยังเอาผิดผู้ก่อเหตุไม่ได้ โผล่อีกแก๊งอ้างลิขสิทธิ์หนังต่างประเทศ รีดผู้ฉายหนังกลางแปลงทั่วประเทศ หัวหน้าแก๊งเป็นอดีตนักการเมืองท้องถิ่นเมืองกาญจน์

    เมื่อวันที่ 25 พฤศจิกายนนี้ ที่กองบัญชาการตำรวจภูธรภาค 4 จ.ขอนแก่น พล.ต.ท.เจริญวิทย์ ศรีวนิชย์ ผบช.ภ.4 ได้สอบปากคำนายภูมิภากร ถินสุวรรณ์ หรือ นัน กิ่งเพชร อายุ 42 ปี ผู้ต้องหาตามหมายจับของศาลจังหวัดมหาสารคาม ลงวันที่ 12 พ.ย.62 ในข้อกล่าวหา “กรรโชกทรัพย์” โดยผู้ต้องหาให้การปฏิเสธ แต่ยอมรับว่าได้คุยกับผู้เสียหายบ้าง ส่วนการเรียกรับเงิน การลงประจำวัน นายพิพล โตตันติกุล ผู้ต้องหาตามหมายจับในคดีเดียวกัน เป็นผู้จัดการทั้งหมด เพราะนายพิพลเป็นผู้รับมอบอำนาจจากบริษัทเจ้าของลิขสิทธิ์ ตนเองเป็นผู้ทำงานตามสั่ง ซึ่งเมื่อได้เงินมา นายพิพลจะแบ่งเงินให้ตน โดยตนไม่ได้เรียกร้องว่าจำนวนเท่าใด
    พล.ต.ท.เจริญวิทย์กล่าวว่า คดีนี้ เมื่อวันที่ 12 พ.ย.ที่ผ่านมา น.ส.ชญานิศ นามไพร อายุ 22 ปี ชาวร้อยเอ็ด เข้าแจ้งความพนักงานสอบสวน สภ.เมืองมหาสารคาม ว่าเมื่อช่วงเดือนสิงหาคมได้ขายสินค้าทางเฟซบุ๊กชื่อ "นิดหน่อย เด็กดี" โดยขายสินค้าประเภทชั้นวางของที่ทำจากไม้ ซึ่งรับมาจากคนอื่นแล้วนำมาขายต่อชิ้นละ 290 บาท ต่อมามีผู้ใช้เฟซบุ๊กชื่อ "วนิสา ถินสุวรรณ์" ส่งข้อความมาว่าต้องการซื้อชั้นวางของที่มีลวดลายตัวการ์ตูนโดราเอมอน ผู้เสียหายจึงได้ไปซื้อกระดาษห่อของขวัญที่มีลายโดราเอมอนมาติดชั้นวางของตามที่ลูกค้าสั่ง โดยผู้สั่งซื้อได้ให้ทำลวดลายคิตตี้อีก 1 ชิ้น พร้อมโอนเงินมัดจำเข้าบัญชีของผู้เสียหาย จำนวน 100 บาท หลังจากนั้นลูกค้าได้นัดวันส่งสินค้าก่อนจะขู่กรรโชกเอาทรัพย์ โดยผู้ก่อเหตุคือนายภูมิภากร และนายพิพล
    ผบช.ภ.4 กล่าวว่า หลังผู้เสียหายแจ้งความ เจ้าหน้าที่ได้ตรวจสอบจนทราบว่านายภูมิภากรไม่ได้เป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจ และไม่ใช่พนักงานบริษัทเจ้าของลิขสิทธิ์ ส่วนนายพิพลเป็นพนักงานที่รับมอบอำนาจจากบริษัทเจ้าของลิขสิทธิ์จริง แต่พฤติกรรมที่ทำนั้นไม่ใช่การปฏิบัติที่ถูกต้อง เป็นการกรรโชกทรัพย์จากประชาชน จึงมีการรวบรวมหลักฐานขอศาลออกหมายจับนายพิพลและนายภูมิภากร 
    "จากนี้ไปตำรวจจะส่งตัวผู้ต้องหาให้พนักงานสอบสวน สภ.เมืองมหาสารคาม เพื่อทำการสอบสวนเพิ่มเติม ในส่วนที่ผู้ต้องหาให้การภาคเสธนั้น เป็นเรื่องปกติ ซึ่งในจุดนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจไม่ได้วิตกกังวลแต่อย่างใด เพราะมีพยานหลักฐานที่ชัดเจน สามารถเอาผิดกับผู้ต้องหานำตัวส่งฟ้องศาลได้ ซึ่งในชั้นพนักงานสอบสวนได้คัดค้านการประกันตัว"
    ผบช.ภ.4 กล่าวเพิ่มเติมว่า ตำรวจจะแจ้งข้อกล่าวหานายภูมิภากรเพิ่มเติมอีก 2 ข้อหา คือแสดงตนเป็นเจ้าพนักงานตำรวจ และแสดงตนเป็นพนักงานบริษัทเจ้าของลิขสิทธิ์ ในขณะที่นายพิพล ผู้ต้องหาอีกคนที่ถูกออกหมายจับ แต่ยังจับกุมตัวไม่ได้ ตำรวจอยู่ระหว่างประสานกับทางบริษัทเจ้าของลิขสิทธิ์ เพื่อขอคำตอบที่เป็นเอกสารยืนยัน ว่าเป็นพนักงานผู้รับมอบอำนาจจากบริษัท หน้าที่ที่รับผิดชอบ กับการกระทำที่ทำกับผู้เสียหายนั้นถูกต้องหรือไม่ หากเป็นการกระทำเกินหน้าที่ก็จะถูกดำเนินคดีในข้อหาแจ้งความเท็จ และข้อหาแสดงตนเป็นเจ้าพนักงานตำรวจอีกด้วย
    ที่ บก.ภ.จว.นครราชสีมา พล.ต.ต.สุจินต์ นิจพานิชย์ ผบก.ภ.จว.นครราชสีมา เรียกประชุมความคืบหน้าคดีตัวแทนบริษัทลิขสิทธิ์ล่อซื้อจับกุมสินค้าละเมิดลิขสิทธิ์มีผู้เสียหาย 61 ราย ค่าเสียหายรวมกว่า 1.4 ล้านบาท รวมถึงคดีเยาวชน 15 ปี ที่ถูกล่อซื้อกระทงละเมิดลิขสิทธิ์ ถูกเรียกค่าเสียหาย 5,000 บาท หลังแจ้งความร้องทุกข์กับชุดพนักงานสอบสวนที่ตั้งขึ้นมารับเรื่องนี้โดยเฉพาะ
    พล.ต.ต.สุจินต์กล่าวว่า ขณะนี้ยังไม่สามารถแจ้งข้อหากับนายภูมิภากร ถินสุวรรณ์ หรือ นัน กิ่งเพชร รวมทั้งกลุ่มตัวแทนบริษัทลิขสิทธิ์คนอื่นๆ ได้ ซึ่งคดีที่โคราชมีความแตกต่างจาก จ.มหาสารคาม ทั้งในแง่พฤติการณ์ของนายภูมิภากร ที่ถูก สภ.เมืองมหาสารคามออกหมายจับ และถูกจับกุมตัวแล้ว รวมถึงข้อกฎหมายลิขสิทธิ์ตัวการ์ตูนที่ไม่เหมือนกัน ต้องดูพฤติการณ์การจับกุมผู้เสียหายเป็นรายๆ ไป
    พล.ต.ต.สุจินต์กล่าวว่า ในส่วนคดีกระทงของเยาวชน 15 ปี ที่เอาผิดฐานกรรโชกทรัพย์ หลังศาลไม่อนุมัติหมายจับผู้กระทำผิด 3 คน คือนายประจักษ์ โพธิผล นายภูมิภากร และหญิงสาวอีกคน เนื่องจากหลักฐานไม่เพียงพอ คดีนี้พฤติกรรมของเยาวชน 15 ปี มีการโพสต์ขายกระทงลวดลายการ์ตูนอยู่ก่อนแล้ว ก่อนถูกนายประจักษ์พร้อมพวกล่อซื้อจับกุมจนเกิดคดีความ ตำรวจต้องรวบรวมหลักฐานเพิ่มเติมในทุกมิติ ทั้งหนังสือมอบอำนาจจากบริษัทใหญ่ ขั้นตอนวิธีการจับกุม และการยืนยันรูปลักษณ์สิ่งประดิษฐ์เข้าข่ายละเมิดลิขสิทธิ์ตัวการ์ตูนแมวการ์ฟิลด์และรีลัคคุมะจริงหรือไม่ หากมีบางประเด็นใด เข้าข่ายฐานความผิดใดๆ ก็พร้อมจะเสนอศาลขออนุมัติหมายจับอีกครั้ง แต่ได้สรุปสำนวนรายงานให้ พล.ต.อ.วิระชัย ทรงเมตตา รอง ผบ.ตร. รับทราบแล้ว 
    วันเดียวกัน นายศักดิ์ศรี แซ่ลิ้ม เจ้าของกิจการฉายหนังกลางแปลง “ยิ้ม ยิ้ม ภาพยนตร์” พร้อมผู้เสียหายรายอื่น เข้าพบนายเดชา กิตติวิทยานันท์ ทนายความ เจ้าของเพจ “ทนายคลายทุกข์” ที่สำนักงานย่านรัชดาภิเษก กทม. แจ้งว่า ตนและผู้ประกอบการฉายหนังกลางแปลงทั่วประเทศกว่า 300 คน ถูกนายเอก (นามสมมุติ) กับพวก ร่วมกันก่อตั้งกลุ่มมีพฤติกรรมเป็นอันธพาล โดยจดทะเบียนบริษัทบังหน้า อ้างว่ากลุ่มของตัวเองเป็นเจ้าของลิขสิทธิ์ภาพยนตร์ต่างประเทศ แต่มาหลอกลวงประชาชน โดยโพสต์ทางเฟซบุ๊กจัดประชุมตามจังหวัดต่างๆ เรียกหน่วยจัดฉายภาพยนตร์กลางแปลงจากทั่วประเทศมาร่วมประชุม และบังคับให้ร่วมเป็นสมาชิกของกลุ่ม ข่มขืนใจให้จ่ายเงินค่าซื้อลิขสิทธิ์ตั้งแต่หลักหมื่นถึงหลักแสน ใครไม่จ่าย นายเอกกับพวกก็ข่มขู่จะทำอันตราย เช่น จะนำตำรวจมาจับกุมข้อหาฉายภาพยนตร์ละเมิดลิขสิทธิ์ ทำให้เจ้าของธุรกิจหลายคนยอมจ่ายเงิน ส่วนบางคนที่ไม่ยอมจ่ายก็จะถูกดำเนินคดีในชั้นศาล ซึ่งเมื่อคดีถึงที่สุดแล้วศาลยกฟ้อง เพราะกลุ่มของนายเอกไม่มีอำนาจฟ้องและไม่เกี่ยวข้องกับเจ้าของลิขสิทธิ์ พฤติการณ์ดังกล่าวจึงเป็นภัยสังคมและเป็นภัยต่อความมั่นคงของประเทศ
    นายศักดิ์ศรีกล่าวว่า คดีนี้เหตุเกิดทั่วราชอาณาจักร พวกตนเคยไปปรึกษากับตำรวจท้องที่ในต่างจังหวัด แต่ก็ต้องหวาดผวากับอิทธิพลของนายเอก เนื่องจากนายเอกเป็นอดีตนักการเมืองท้องถิ่นใน จ.กาญจนบุรี อ้างว่ารู้จักกับผู้ใหญ่ในบ้านเมือง 
     ด้านนายเดชาได้ตรวจเอกสารที่ผู้ร้องมอบให้ กล่าวว่า พฤติการณ์ของนายเอกกับพวกเข้าข่ายความผิดคือ 1.อั้งยี่ 2.ซ่องโจร 3.กรรโชกทรัพย์ 4.ฉ้อโกง พร้อมแนะนำให้ผู้ร้องรวมตัวกันไปแจ้งความพนักงานสอบสวนกองบังคับการปราบปรามต่อไป.


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"