‘ลุง’เมิน‘วิ่งไล่’เย้ยตามให้ทันล่ะ


เพิ่มเพื่อน    

 "ลุงตู่" เมินกิจกรรม “วิ่งไล่ลุง” โยนสังคมตัดสิน “ธนาธร” เคลื่อนไหวนอกสภาเหมาะสมหรือไม่  เตือนต้องดูสถานการณ์บ้านเมืองเป็นอย่างไร "ลุงป้อม" จับตาเข้าข่ายฝ่าฝืน พ.ร.บ.ชุมนุม "ทอน" ปัดไม่เกี่ยว แต่เกิดจากความโกรธของผู้คน เผยมีคนถามเมื่อไหร่จะลงถนน ปิดฉากคดี นปช.ล้มเวทีอาเซียน ศาลฎีกายืนสั่ง "วรชัย-สำเริง" เข้าคุก 4 ปี ออกหมายจับ "ไวพจน์" นำตัวมาฟังคำพิพากษา 15 ม.ค.63

     ที่ทำเนียบรัฐบาล วันที่ 3 ธันวาคม ภายหลังประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีมีการจัดกิจกรรม "วิ่งไล่ลุง" ว่าต้องไปดูว่าผิดหรือไม่ หากไม่ผิดก็ทำได้ และต้องดูด้วยว่าเข้าข่ายฝ่าฝืน พ.ร.บ.การชุมนุมสาธารณะหรือไม่ ซึ่งต้องไปดูกฎหมาย
    ผู้สื่อข่าวถามว่า แต่จะมีการจัดกิจกรรมวิ่งตามลุงควบคู่กับกิจกรรมวิ่งไล่ลุงด้วย จะไปร่วมวิ่งด้วยหรือไม่ ทำให้ พล.อ.ประวิตร กล่าวติดตลกว่า “จะไปร่วมวิ่งได้อย่างไร เพราะเดินยังไม่ไหวเลย”
    ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ระหว่างที่ พล.อ.ประวิตรกำลังให้สัมภาษณ์อยู่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้เดินลงจากตึกบัญชาการพอดี  ผู้สื่อข่าวได้หันไปสอบถาม พล.อ.ประยุทธ์ถึงกิจกรรมวิ่งไล่ลุง พล.อ.ประยุทธ์จึงกล่าวว่า “วิ่งให้ทันแล้วกัน” 
    จากนั้น พล.อ.ประยุทธ์ได้ฝ่าวงผู้สื่อข่าวและดึงไมโครโฟนของสำนักข่าวช่องหนึ่งไปจ่อปาก พล.อ.ประวิตร พร้อมทั้งระบุว่า "ผมขอถามบ้าง" ก่อนจะหันมาบอกกับผู้สื่อข่าวว่า “พี่ผม ไปถามพี่ผมโน้น”  และยิ้มให้กับ พล.อ.ประวิตร ท่ามกลางเสียงหัวเราะของทุกคนที่อยู่ในวงสัมภาษณ์
     พล.อ.ประยุทธ์ให้สัมภาษณ์กรณีนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ (อนค.) เคลื่อนไหวโจมตีเรื่องเงินนอกงบประมาณของกระทรวงกลาโหม รวมทั้งการเคลื่อนไหวนอกสภาผู้แทนราษฎรในกิจกรรมต่างๆ ว่า เรื่องนี้ทุกคนต้องพิจารณาดูว่าเป็นเรื่องที่สมควรหรือไม่สมควร และต้องดูว่าวันนี้สถานการณ์บ้านเมืองเป็นอย่างไร ดังนั้นการเคลื่อนไหวที่ไม่สร้างสรรค์จะสมควรหรือไม่ ตนก็ไม่รู้เหมือนกัน ก็ขอให้สังคมพิจารณาด้วย
    ผู้สื่อข่าวถามว่า มีความเห็นอย่างไรที่ขณะนี้มีการเชิญชวนประชาชนออกมาเคลื่อนไหวกิจกรรม “วิ่งไล่ลุง” ในวันที่ 12 มกราคม 2563 พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า เรื่องนี้ก็ว่าไปเถอะ เมื่อถามว่านอกจากกิจกรรมนี้แล้วยังมีกิจกรรม “วิ่งตามลุง” นายกฯ จะไปร่วมหรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์ทำเสียงเชิงรำคาญ โดยกล่าวเพียงว่า “เอาเถอะ วิ่งให้ทันแล้วกัน"
    ทั้งนี้ กิจกรรมดังกล่าวเป็นแนวคิดของเพจ “ธนวัฒน์ วงค์ไชย -  Tanawat Wongchai” โพสต์ข้อความกิจกรรมวิ่งไล่ลุง ในวันอาทิตย์ที่ 12 มกราคม 2563 จากนั้น นายอนุรักษ์ เจนตวนิชย์ กลุ่มคนเสื้อแดง แชร์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก “ฟอร์ด เส้นทางสีแดง” เชิญชวนคนที่ไม่เห็นด้วยกับรัฐบาลมาร่วมกิจกรรมดังกล่าว จนมีคนแชร์ออกไปอย่างกว้างขวาง
    ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 2 ธ.ค. นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ ได้ไปพูดบนเวทีของสมาคมผู้สื่อข่าวต่างประเทศแห่งประเทศไทย โดยพรรคอนาคตใหม่ได้โพสต์รูปลงทวิตเตอร์ ระบุว่า มีนายอานันท์ ปันยารชุน อดีตนายกรัฐมนตรี มาร่วมรับฟังนายธนาธรด้วย โดยนายธนาธรกล่าวบนเวทีตอนหนึ่งว่า เราตั้งพรรคขึ้นมาเพราะพวกเราอยากทำให้ผู้คนกลับมาศรัทธาประชาธิปไตยและสภาอีกครั้ง เราสามารถทำได้หลายอย่าง เช่น ตั้ง กมธ.ศึกษาผลกระทบการใช้มาตรา 44 รณรงค์ให้เกิดการแก้รัฐธรรมนูญ และได้ยื่นร่าง พ.ร.บ.ที่ทำให้กองทัพทันสมัยขึ้น นโยบาย 66/23 ในยุค พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ อดีตนายกฯ อดีตประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ ดึงคนกลับเข้ามาสู่ระบบการเมืองแบบรัฐสภา ทำให้ประเทศกลับสู่สันติภาพ 
    "นโยบายนี้ไม่ได้มองผู้ที่เข้าร่วมกับพรรคคอมมิวนิสต์เป็นศัตรู เป็นพวกชังชาติ แต่เป็นผู้ร่วมพัฒนาชาติไทย แต่สิ่งที่รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ทำคือการผลักคนเห็นต่างออกไป" 
    นายธนาธรกล่าวอีกว่า ต้องขออธิบายก่อนว่าพวกเราไม่ได้เป็นคนอยู่เบื้องหลังงานวิ่งในวันที่ 12 ม.ค.63 แต่เกิดจากความโกรธของผู้คน พวกเขาเหล่านี้เริ่มต้นรวมตัวกันทางออนไลน์ เราคงต้องลองมาดูกันว่าจะมีคนออกมารวมตัวกันในอีเวนต์นี้มากแค่ไหน มีคนมากมายถามตนทั้งทางออนไลน์และตอนลงพื้นที่ ว่าเมื่อไหร่จะลงถนน เขาพูดกันว่าร่างกายต้องการปะทะแก๊สน้ำตา ตนบอกพวกเขาว่าให้ใจเย็นๆ เรายังไม่หมดหนทาง ขอให้พวกเราพรรคอนาคตใหม่ พยายามในวิถีรัฐสภาจนถึงที่สุดก่อน
     วันเดียวกัน ที่ศาลจังหวัดพัทยา ศาลฎีกานัดฟังคำสั่งศาลฎีกา กรณีเมื่อวันที่ 31 ตุลาคม 2562 ศาลได้นัดอ่านคำพิพากษาครั้งที่ 2 สำหรับจำเลยที่ไม่ได้รับหมายเรียกมาฟังคำพิพากษาครั้งแรก 3 คน ประกอบด้วย พ.ต.ท.ไวพจน์ อาภรณ์รัตน์ ส.ส.กำแพงเพชร พรรคพลังประชารัฐ, นายสำเริง ประจำเรือ และนายวรชัย เหมะ อดีต ส.ส.สมุทรปราการ พรรคเพื่อไทย ในคดีล้มการประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียนที่ประเทศไทยเป็นเจ้าภาพ ระหว่างวันที่ 9-12 เม.ย.2552 จัดขึ้นที่โรงแรมรอยัลคลิฟบีชรีสอร์ท เมืองพัทยา จ.ชลบุรี ในสมัยรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ซึ่งจำเลยทั้ง 3 ได้ยื่นคำร้องขอเปลี่ยนคำให้การเป็นรับสารภาพ ศาลจึงนัดมาฟังคำสั่งว่าจะรับคำร้องหรือไม่ในวันนี้ ทั้งนี้ ศาลได้นัดเวลา 10.00 น. แต่ก็ได้มีการเลื่อนไปอ่านช่วงบ่าย
    โดยคดีนี้ศาลได้มีคำพิพากษาลงโทษจำเลย 12 คน โดยสั่งจำคุก 4 ปี ไม่รอลงอาญา ซึ่งก่อนหน้านี้มีจำเลย 5 คนมาฟังคำพิพากษาและถูกนำตัวเข้าเรือนจำพิเศษฯ แล้ว 5 คน ประกอบด้วย นายศักดา นพสิทธิ์, นายสิงห์ทอง บัวชุม, นายพิเชษฐ์ สุขจินดาทอง, นายพายัพ ปั้นเกตุ และนายนพพร นามเชียงใต้ โดยวันนี้ (3ธ.ค.) พ.ต.ท.ไวพจน์ไม่ได้เดินทางมาฟังคำสั่งศาล ส่งทนายมาขอเลื่อน ส่วนนายวรชัยและนายสำเริงเดินทางมาศาลพร้อมครอบครัว ขณะที่จำเลยอีก 4 คนที่ยังไม่มาฟังคำพิพากษาทำให้ศาลออกหมายจับคือ นายอริสมันต์ พงศ์เรืองรอง, นายธนกฤต ชะเอมน้อย หรือวันชนะ เกิดดี, นพ.วัลลภ ยังตรง และนายนิสิต สินธุไพร
    นายสำเริงให้สัมภาษณ์ก่อนเข้าฟังคำสั่งศาลว่า เตรียมใจมาแล้วตั้งแต่นัดแรก ที่ไม่ได้รับหมายเรียก แล้วศาลอ่านคำพิพากษาลับหลัง แต่เมื่อยังไม่ได้รับหมายเรียกในวันดังกล่าวจึงยังสามารถใช้สิทธิทางกฎหมาย ยื่นคำร้องขอเปลี่ยนคำให้การ ไม่ว่าผลจะเป็นอย่างไร พร้อมที่จะเดินเข้าไป ไม่มีอะไรต้องเสียใจ เป็นความภาคภูมิใจในฐานะนักต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย ต้องการให้คดีเป็นคดีตัวอย่าง เป็นบรรทัดฐานให้กับทุกคดีในอนาคต 
    ต่อมาศาลฎีกามีคำสั่งว่า ประเด็นที่ 1 คือ พ.ต.ท.ไวพจน์ จำเลยที่ 3, นายสำเริง จำเลยที่ 6 และนายวรชัย จำเลยที่ 13 ยื่นคำร้องขอแก้ไขคำให้การเดิม จากปฏิเสธเป็นรับสารภาพ ศาลฎีกามีคำสั่งว่า การแก้ไขหรือเพิ่มเติมคำให้การต้องกระทำก่อนศาลพิพากษา การที่จำเลยมายื่นในชั้นฎีกาเป็นการต้องห้าม ยกคำร้อง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 163 วรรคสอง 
    ประเด็นที่ 2 คือวันนี้ผู้รับมอบอำนาจจำเลยที่ 3 ทนายจำเลยที่ 3, จำเลยที่ 6 และจำเลยที่ 13 ยื่นคำร้องขอเลื่อนฟังคำพิพากษาศาลฎีกา จำเลยที่ 3 ให้เหตุผลว่าเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรอยู่ระหว่างการประชุมพรรค ศาลฎีกามีคำสั่งว่า แม้จำเลยที่ 3 เป็นส.ส. แต่คดีนี้เสร็จการพิจารณาแล้ว ไม่อยู่ในบังคับของกฎหมายรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2560 มาตรา 125 ประกอบกับการขอเลื่อนคดีมีลักษณะเป็นการประวิงคดี จึงไม่อนุญาตให้เลื่อนฟังคำพิพากษาศาลฎีกาของจำเลยที่ 6 และจำเลยที่ 13 
    พิพากษานายสำเริง จำเลยที่ 6 และนายวรชัย จำเลยที่ 13 จำคุกคนละ 4 ปี ปรับคนละ 200 บาท ส่วน พ.ต.ท.ไวพจน์ จำเลยที่ 3 ให้เลื่อนฟังคำพิพากษาไปอ่านวันที่ 15 ม.ค.2563 เวลา 09.00 น. และให้ออกหมายจับจำเลยที่ 3 และปรับนายประกันจำเลยที่ 3 เต็มตามสัญญาประกัน
    นายจตุพร พรหมพันธุ์ ประธาน นปช. กล่าวภายหลังศาลอ่านคำสั่งว่า ถือว่าคดีนี้เป็นที่ยุติแล้ว แม้จะเหลืออีกหนึ่งคนที่ยังไม่ได้มาฟังคำพิพากษา แต่ผลก็ไม่มีทางเปลี่ยนเป็นอย่างอื่น หลังจากนี้คงจะมีพี่น้องที่เหลือที่ยังไม่เข้ารับโทษทยอยกันมาจนครบ ผลในวันนี้เป็นสิ่งที่อธิบายได้อย่างครบถ้วนแล้วว่า เหมือนคำพิพากษาที่ได้อ่านไปครั้งแรกทุกประการ พวกเราน้อมรับชะตากรรม น้อมรับคำพิพากษาของศาล ทั้งนี้ ระหว่างรอคดีเข้าศาลฎีกา ก็ได้ติดคุกมาบ้างแล้ว ประมาณคนละ 5 เดือนเศษ จะเหลือติดคนละประมาณ 3 ปีเศษ     
    ที่พรรคพลังประชารัฐ พ.ต.ท.ไวพจน์ อาภรณ์รัตน์ กล่าวถึงกรณีศาลฎีกาออกหมายจับ หลังไม่เดินทางไปฟังคำพิพากษาในคดีล้มการประชุมอาเซียนว่า ไม่ได้กังวล และยังทำหน้าที่ ส.ส.ต่อไป เพราะยังมีเอกสิทธิ์ ส.ส.คุ้มครองอยู่ สำหรับคดีของตนเองนั้น ต้องรอวันที่ 15 ม.ค.63 ที่ศาลฎีกานัดให้มาฟังคำพิพากษาในคดีดังกล่าว.


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"