ปราบลัทธิชังชาติ ทำไมอาจต้องออก กม.?


เพิ่มเพื่อน    

ลัทธิชังชาติมีอยู่จริง ธนาธรน่ากลัวกว่าทักษิณ

                เหตุผลหนึ่งในการย้ายออกจากพรรคประชาธิปัตย์ที่อยู่มาร่วม 15 ปี เพื่อมาอยู่กับพรรครวมพลังประชาชาติไทย (รปช.) ของ นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม อดีต ส.ส.พิษณุโลก 3 สมัย พรรค ปชป.  ก็คือการบอกว่า ปัจจุบันกำลังมีการเกิดขึ้นของ ลัทธิชังชาติ ดังนั้นจึงต้องการออกมาให้ข้อมูลกับประชาชนถึงอันตรายของกลุ่มที่มีแนวคิดชังชาติ เพื่อให้ประชาชนร่วมกันคอยสกัดกั้นตรวจสอบลัทธิชังชาติดังกล่าว พร้อมกับย้ำว่า หากกลุ่มคนที่มีแนวคิดชังชาติยังไม่หยุดพฤติการณ์และความเคลื่อนไหวที่นำไปสู่การชังชาติ ก็เห็นว่าอนาคตอาจต้องมีการคุยกันเรื่องความเป็นไปได้ที่อาจต้องมีการออกกฎหมายเพื่อต่อต้านและเอาผิดพวกชังชาติ

                เพื่อให้เรื่องนี้เกิดความชัดเจนถึงแนวคิดดังกล่าว นพ.วรงค์ อดีต ส.ส.ปชป.ที่เคยมีผลงานเรื่องการเกาะติดการทุจริตโครงการรับจำนำข้าว ซึ่งล่าสุดที่ประชุมพรรค รปช.เมื่อกลางสัปดาห์ที่ผ่านมามีมติตั้งให้เป็น ประธานเจ้าหน้าที่บริหารพรรค หรือซีอีโอพรรค รปช. ได้ขยายความเรื่องนี้ไว้ว่า ลัทธิชังชาติเริ่มต้นจากการที่กลุ่มการเมือง หรือพรรคการเมืองพยายามปลุกระดมคน เอาเรื่องในอดีตมาสร้างความเกลียดชัง แล้วดูถูกดูแคลนประเทศไทย ซึ่งเราจะได้ยินอยู่บ่อยๆ รวมถึงการจาบจ้วงเบื้องสูง รวมถึงพฤติการณ์ชักศึกเข้าบ้าน เอาพวกตะวันตกเข้ามาวุ่นวาย

มันเป็นสิ่งที่ผมเชื่อว่าคนไทยส่วนใหญ่รับไม่ได้ อันนี้มาจากพื้นฐานนี้ก่อน ผมมองดูแล้วก็เห็นว่าเขาทำกันแบบนี้ได้ยังไง คุณเป็นนักการเมือง เป็นพรรคการเมือง คุณทำแต่เรื่องที่ไม่ได้สนใจว่าประเทศนี้จะเป็นอย่างไร แต่คุณทำเพื่อให้เกิดความแตกแยกแล้วก็ได้พวก เราก็ดูไปเรื่อยๆ จนเรามีความรู้สึกว่าแบบนี้ไม่ได้ เราก็ต้องพยายามอธิบายให้ประชาชนเข้าใจ

อะไรคือลัทธิชังชาติ?

นพ.วรงค์ กล่าวอีกว่า ขอสรุปเรื่องลัทธิชังชาติออกมา 5 ข้อ ที่สรุปจากประสบการณ์จริง ซึ่งหากใครมีพฤติการณ์เข้า 5 ข้อดังกล่าว คือพวกชังชาติ อันได้แก่

1.ปฏิกษัตริย์นิยม จาบจ้วงเบื้องสูง จาบจ้วงสถาบัน

เพราะเราถือว่าสถาบันเป็นสิ่งยึดเหนี่ยวสำหรับคนไทย และที่สำคัญที่สุด ผมเชื่อว่าสถาบันคือสิ่งร้อยแผ่นดินไทยให้เป็นหนึ่งเดียว หากเขาต้องการทำลายสถาบันเท่ากับเขาต้องการให้มีการแบ่งแยกดินแดน

2.เรื่องศาสนา การไม่เอาศาสนา ผมว่าเป็นสิ่งผิดปกติ คนไทยอยู่คู่กับศาสนา ทั้งพุทธ -อิสลาม-คริสต์ มาหลายร้อยปี ยังไงรัฐก็ต้องส่งเสริมสนับสนุน แต่สิ่งที่เลวร้ายคือ เอาศาสนามาโยงเพื่อสร้างความแตกแยกด้วย พยายามโยงเรื่องพุทธ เรื่องศาสนาคริสต์ อะไรต่างๆ เอาศาสนามาสร้างความแตกแยก แบบนี้ก็ถือว่าชังชาติ

3.เรื่องวิถีของคนไทย เช่น ดูถูกดูแคลนวัฒนธรรม ประเพณีว่าเป็นของโบราณคร่ำครึ ซึ่งผมว่าไม่ถูก เพราะวัฒนธรรมประเพณีเป็นอัตลักษณ์ของคนไทย เป็นสิ่งดึงดูดด้านการท่องเที่ยวได้เลย เพราะของไทยไม่เหมือนตะวันตก ไม่เหมือนประเทศอื่นๆ เขาถึงเดินทางมาเที่ยวประเทศไทยเพื่อมาดู แล้วคนพวกนี้ก็ยังโยงไปถึงเรื่องที่เป็น “ราก” ของคนไทย ไม่เอาการยิ้ม ไม่เอาการไหว้ครู การไม่เอาปู่ ย่า ตา ยาย ลุง ป้า น้า อา ซึ่งถือว่าเป็นรากเหง้าของความเป็นคนไทย

รวมถึงการดูถูกดูแคลนประเทศไทย ดูถูกดูแคลนคนไทยด้วยกัน มีอย่างที่ไหน เป็นนักการเมือง แต่เคยบอกว่า ไม่อยากอยู่ประเทศไทย ภรรยาไม่อยากอยู่ประเทศไทย มีลูกโตขึ้นมาจะไม่ให้โตในเมืองไทย ผมว่ามันแย่ แล้วมันเป็นกระแส เป็นกระแสที่ทำให้เด็กที่เขาประสบการณ์น้อยรู้สึกเท่ เวลามีความกดดันขึ้นมา ก็มาดูถูกว่าประเทศนี้เฮงซวย ดูถูกประเทศไทย ซึ่งอันนี้ผมว่าไม่ได้ เราก็ต้องช่วยกันในการรณรงค์

4.การชักศึกเข้าบ้าน คือเอาเรื่องในประเทศไทยไปวิพากษ์วิจารณ์กับต่างประเทศ

คือหากคุณไม่พอใจรัฐบาล แล้วคุณวิพากษ์วิจารณ์ คุยกับคนไทยด้วยกัน ผมโอเค นาย ก. กับนาย ข. คุยกันแล้วจะด่ารัฐบาล ก็ไม่เห็นเป็นอะไร เป็นเรื่องภายในประเทศเรา แต่เมื่อคุณเอาไปประจานกับฝรั่งขึ้นมาเมื่อใด ผมว่ามันไม่ถูก อย่างเวลาคุณมีคดีความแล้วต้องไปขึ้นศาล ไปสู้คดี แล้วคุณไปขนฝรั่งมาเต็มไปหมด มันไม่ถูก เป็นการที่กำลังจะมาละเมิดอธิปไตยของประเทศ

5.การไม่เคารพกระบวนการยุติธรรม การพยายามดิสเครดิต ลดความน่าเชื่อถือของ กระบวนการยุติธรรม

ซึ่งเราดูตามรูปการณ์เขามีความพยายามที่จะลดความน่าเชื่อถือว่า อย่างกรณีที่เกิดขึ้นที่ศาลจังหวัดยะลา หรือการพยายามอ้างเสรีภาพทางวิชาการในการจะวิพากษ์วิจารณ์ศาล รวมถึงศาลรัฐธรรมนูญ ผมว่ามันไม่แฟร์ เราเป็นคนไทย กระบวนการศาลคือหนึ่งในเสาหลัก ใครผิดก็คือผิด ใครถูกก็คือถูก ฝ่ายไหนผิดก็ว่าไปตามผิด

ทั้งหมดคือ 5 ข้อที่ผมถือว่าเป็นพวกชังชาติ แต่ระยะหลังเราใช้คำว่าลัทธิ ก็เพราะว่ามีการปลูกฝังความเชื่อแบบต่อเนื่อง มันคือลัทธิ เช่น การพูดซ้ำๆ กัน มันคือการปลูกฝังความเชื่อ ก็พัฒนาเป็นลัทธิ จึงเรียกว่าลัทธิชังชาติ

-ที่ยกพฤติกรรมดังกล่าวมา 5 ข้อ ได้จับตามองพฤติกรรมของพวกนี้มานานหรือยัง และเริ่มเห็นเมื่อใด ถึงออกมาเคลื่อนไหวเรื่องนี้?

ผมสะดุดใจมาตลอด ตั้งแต่พูดถึงเรื่องคณะราษฎร แล้วไปโยงเหตุการณ์ในอดีต เช่น 14 ตุลาคม 2516 หรือเหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519 ผมสะดุดมาตลอดว่าแบบนี้มันไม่ได้ คุณเป็นนักการเมือง แต่นำเสนอสิ่งที่เป็นความเกลียดชังให้กับคนในประเทศ มันไม่ได้ ประเทศต้องรุกไปข้างหน้า

"ผมมองว่าพวกนี้ชอบอ้างประชาธิปไตย แต่แค่ใช้คำว่าประชาธิปไตยให้มันดูสวยหรูเฉยๆ คือถ้าเป้าหมายประชาธิปไตย คุณต้องการให้ประชาชนอยู่ดีกินดี ลดความเหลื่อมล้ำ การศึกษาดี ประเทศมีการพัฒนา อย่างนี้เราโอเค ผมยังคิดว่าพวกแบบนี้เป็นพวกมะเร็งประชาธิปไตย คือไม่มีความจริงใจ เพราะสิ่งที่กระทำ คือการเอาพฤติกรรมชังชาติมากระทำ แต่ปากคุณอ้างประชาธิปไตย ผมถึงเรียกพวกแบบนี้ว่ามะเร็งประชาธิปไตย"

-ตรงข้อหนึ่งที่ว่า ปฏิกษัตริย์นิยม จาบจ้วงเบื้องสูง จาบจ้วงสถาบัน ชัดแค่ไหน?

เราก็เห็นเยอะแยะไปหมดตามเอกสารต่างๆ ที่เขาให้สัมภาษณ์และตีพิมพ์เอาไว้ รวมถึงคลิปต่างๆ ที่ออกมาเยอะมากในกลุ่มของพวกเขา ความเห็นส่วนตัวของผม อันนี้ยังไม่ได้คุยกันในพรรค รปช. ผมยืนยันได้ว่า ประเทศไทยมาตรา 112 มีความจำเป็น เพราะพวกนั้นพยายามจะให้มีการยกเลิกมาตรา 112 ซึ่งผมก็พยายามศึกษาดู ก็พบว่ามาตรา 112 ก็เหมือนกับกฎหมายประเทศอื่น ในการปกป้องประมุขของรัฐ แน่นอนว่าหลายประเทศก็ต้องมีกฎหมายในการปกป้องประมุขของรัฐ มาตรา 112 ก็คือกฎหมายอาญาที่ปกป้องประมุขแห่งรัฐ ไม่ได้เดือดร้อนกับประชาชน ยกเว้นคนที่คิดไม่ดี

...เมื่อไม่กี่เดือนที่ผ่านมา ผมจำได้ว่าศาลสูงของสหรัฐอเมริกา ที่มีคนส่งจดหมายปองร้ายต่อโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีของสหรัฐ แล้วอ้างว่าใช้สารเคมีแต่เป็นแป้ง โดยคนทำมีคดีอื่นๆ อยู่ด้วย ก็ปรากฏว่าศาลสูงสหรัฐตัดสินจำคุก 140 ปี โดยสหรัฐก็ใช้กฎหมายในการคุ้มครองประมุขแห่งรัฐเหมือนกัน

ดังนั้นประเทศไทยก็ต้องคุ้มครองประมุขแห่งรัฐ โดยที่มาตรา 112 ประชาชน หากอยู่เฉยๆ มาตรา 112 ก็ไม่ได้ไปยุ่งอะไรกับประชาชนเลย ยกเว้นคนที่คิดไม่ดีต่อประมุขแห่งรัฐ

 นพ.วรงค์-ประธานเจ้าหน้าที่บริหารพรรค รปช. กล่าวถึงการเคลื่อนไหวเพื่อต่อต้านกลุ่มลัทธิชังชาติตามที่บอกข้างต้นว่า หัวใจสำคัญคือ เราต้องให้ความจริงกับประชาชน หัวใจอยู่ตรงนี้ เราไม่ได้ไปต่อสู้ด้วยกำลัง เพราะเขาพูดและแสดงออกเหล่านี้ เราก็ต้องเอาความจริง เอาข้อเท็จจริงต่างๆ มาบอกกับประชาชนว่าความจริงเป็นแบบนี้ ข้อเท็จจริงเป็นแบบนี้ เขามีการกระทำแบบนี้

ยกตัวอย่างเช่น กรณีผู้พิพากษาที่ยะลายิงตัวเอง แล้วก็มีการส่งข้อมูลให้กัน เตรียมแถลงขย่มว่าศาลชี้นำได้ มันเป็นแผนในการทำให้คนไปเชื่อว่า ศาลสั่งได้ ศาลชี้นำได้ แล้วมันจะหมายถึงคดีทางการเมืองอื่นๆ ด้วย หากเขาเสียผลประโยชน์ เขาก็จะบอกว่าศาลสั่งได้ ศาลชี้นำได้ แต่โชคดีที่ประชาชนเอาข้อเท็จจริงมาตีแผ่ เลยทำให้ฝ่ายนั้นไปต่อไม่ได้ ดังนั้นการต่อสู้กับพวกลัทธิชังชาติ ก็คือต้องเอาข้อเท็จจริงมาตีแผ่ให้สังคมได้รับรู้ พวกนี้ก็จะไปลำบากขึ้น

...ผมยืนยันว่า ผมเคยศึกษาเรื่องข้อมูลเกี่ยวกับลัทธิชังชาติในต่างประเทศ แม้แต่ในประเทศสหรัฐอเมริกา ก็พบว่าในประวัติศาสตร์ก็เคยมีการลงโทษชาวสหรัฐที่มีพฤติกรรมชังชาติ โดยศาลสูงสหรัฐก็ประกาศชัดเจนว่า ไม่คุ้มครองเสรีภาพในการแสดงออกเรื่องชังชาติ อย่างในสหรัฐเขาถือว่าการต่อต้านเรื่องสงคราม การต่อต้านเรื่องการเกณฑ์ทหารเขาถือว่าชังชาติ แล้วยุคนั้นก็มีการขึ้นโรงขึ้นศาล ซึ่งศาลก็เห็นว่าหากมีใครไปรณรงค์แบบนั้น ถือว่ามีพฤติกรรมชังชาติ ไม่คุ้มครองสิทธิเสรีภาพ

"ดังนั้นผมคิดว่า ถึงวันหนึ่งอาจเป็นเรื่องของอนาคต ถ้าทุกคนตระหนักแล้วมีการให้ข้อมูลให้ประชาชนเข้าใจ ประชาชนเริ่มรู้ว่าไม่เหมาะ เขาไม่แสดงออกเช่น ไม่จาบจ้วง ไม่ทำอะไรใน 5 ข้อข้างต้นที่ผมบอกไว้เกี่ยวกับเรื่องชังชาติ ก็โอเค ก็จบไป

แต่หากยังกระทำอยู่เรื่อยๆ มันก็ต้องเสนอร่างกฎหมายต่อต้านลัทธิชังชาติ ถึงวันนึงนะ แต่วันนี้ผมยังไม่ถึงขนาดนั้น เพียงแต่เราก็ให้ข้อมูลกับพี่น้องประชาชนไปก่อน แต่ถ้าถึงวันนั้นขึ้นมา มันต้องชัดเจนว่ากฎหมายต้องไม่คุ้มครองการแสดงออกเกี่ยวกับเรื่องการชังชาติ ไม่อย่างนั้นปล่อยให้คนออกมายืนด่า เบื่อประเทศไทย เบื่อคนไทย คนไทยอย่างโน้นอย่างนี้ ด่าประเทศตัวเอง ด่าจารีตประเพณี วัฒนธรรมของตัวเอง มีอะไรก็ไปเอาต่างชาติเข้ามาวุ่นวายในประเทศของตัวเอง ผมว่าหากพัฒนาต่อไป เราก็ต้องหาทางต่อสู้กันทางกฎหมายด้วย แต่วันนี้ยังไม่ถึงขนาดนั้น"

...เพราะอย่าลืมว่าอย่างที่บอก ผมก็ไปศึกษาตัวอย่างของที่สหรัฐอเมริกา ยุคนั้น เป็นยุคสงคราม เขาก็ถือว่าจารชนเป็นพวกชังชาติ สุดท้ายก็ออกกฎหมายต่อต้านพวกจารชน นั่นคือของสหรัฐอเมริกา ดังนั้นอะไรก็แล้วแต่ที่เป็นภัยและสร้างความเสียหาย ความมั่นคงใหญ่หลวงของประเทศ สุดท้ายก็ต้องจบด้วยกฎหมาย วันนี้ยังไม่เป็นไร เพราะมันกำลังก่อตัว เราก็ต้องให้ข้อมูลกับประชาชน หากดีขึ้นก็ไม่มีปัญหาอะไร แต่ถ้ามันไม่ดีขึ้น เราก็ต้องเสนอกฎหมายต่อต้านลัทธิชังชาติ เพราะเราจะปล่อยให้คุณมีเสรีภาพในการกระทำสิ่งเหล่านี้ไม่ได้ รัฐธรรมนูญต้องไม่คุ้มครองเสรีภาพในการแสดงออกว่าด้วยการชังชาติ อย่างเช่น หากคนไม่เชื่อมั่นกระบวนการยุติธรรมแล้วออกมาวิพากษ์วิจารณ์ จริงอยู่ก็มีกฎหมายของศาลในเรื่องการหมิ่นศาล แต่ถ้าเราเอาพวกนี้มาขมวดปม มันหมายถึงความมั่นคงของประเทศด้วย เรื่องการชังชาติ ดังนั้นเราก็ต้องคุ้มครองไม่ให้มี แต่ ณ วันนี้ยังไม่ถึงขนาดนั้น เพียงแต่ว่าขั้นต้นก็คือ ให้ความรู้กับประชาชน

ถามถึงว่า ฟังจากที่บอกไว้ข้างต้น ถ้าเช่นนั้นหากว่าไม่มีใครในสังคมตื่นตัว ไม่มีคนออกมาพูด มาให้ความรู้เรื่องแบบนี้ ต่อไปจะเกิดอะไรขึ้น นพ.วรงค์ ย้ำว่า ก็จะไปเรื่อยๆ เพราะฝ่ายการเมืองบางพวกต้องการพวกอย่างเดียว ไม่สนใจประเทศจะล่มจมหรือไม่ คนในชาติจะเกลียดชังกันหรือไม่ และรากเหง้าความเป็นคนไทยจะหายไปหรือไม่ เขาไม่สนใจ แต่เขาต้องการให้ตัวเองได้พวกอย่างเดียว ก็เพื่อให้ชนะการเลือกตั้ง แต่สุดท้ายประเทศล่มจม ประเทศเสียหาย ยังไงผมก็ยังเชื่อว่า 5 ข้อที่ผมพูดถึงเรื่องลักษณะการชังชาติ มันเป็นโครงสร้าง ทั้งสิ่งที่จับต้องได้ และเป็นสิ่งนามธรรมที่อยู่ในใจของคน ผสมผสานความเป็นคนไทยขึ้นมา อย่างเรื่องวัฒนธรรม ประเพณี การมาดูถูกคนไทยด้วยกันเอง เรื่องพวกนี้ มันเป็นรากเหง้าของชาติ เป็นอัตลักษณ์ของความเป็นคนไทยด้วยกัน มันต้องดำรงอยู่ ไม่ต้องพูดถึงเรื่องชักศึกเข้าบ้านเอาฝรั่งมายุ่งหรือเรื่องคำตัดสินของศาล

-ฟังจากที่บอก คนที่มีลักษณะอย่างที่พูดก็อาจจะเป็นแนวร่วมเป็นกลุ่มคนรุ่นใหม่ คนที่เสพข้อมูลข่าวสารทางโซเชียลมีเดีย?

เราเข้าใจคนวัยนี้ เพราะเขาเป็นวัยบริสุทธิ์และมีความกระตือรือร้นสูง แต่เขาอาจจะยังมีประสบการณ์น้อย ดังนั้นหัวใจของเราก็คือ เราก็มุ่ง target ไปที่วัยที่สูงกว่านี้ วัยคนทำงาน อายุสัก 40-70 ปี เพราะอย่างคนอายุ 70 ปี ปัจจุบันเขาก็ยังแข็งแรง หากเรามีการให้ข้อมูลกับคนเหล่านี้ เขาก็จะเป็น target ใหญ่ เพราะเรามองว่าคนเหล่านี้มีความเข้าใจประเทศชาติมาก มีความละเอียดอ่อนลึกซึ้งต่อปัญหาของประเทศ หากเรามุ่ง target ไปที่คนกลุ่มนี้ สุดท้ายผมเชื่อว่าจะเป็นกระแส แต่ที่ผ่านมาไม่มีคนทำ ปล่อยให้คนกลุ่มหนึ่งไปมุ่งหาคนที่ประสบการณ์น้อย โดยที่เขาก็มีพลังอยู่ในตัว มันก็เลยไปง่าย แต่ถ้าวันนี้เรามาทำ ปลุกให้ประชาชนตื่นตัว ผมว่ามันจะเกิดกระแสขึ้นมา และเมื่อเกิดกระแสคัดค้าน ไม่เห็นด้วยกับการกระทำ มันก็จะบาลานซ์ขึ้น สังคงจะไม่ถูกดึงไปด้านเดียว

ยันไม่ใช่พวกคลั่งชาติ-ชาตินิยม

นพ.วรงค์ กล่าวหลังเราถามว่า การปลุกกระแส ชูเรื่องนี้ขึ้นมา ก็อาจทำให้บางฝ่าย เช่นฝ่ายตรงข้าม ก็อาจมาบอกว่าเป็นพวกคลั่งชาติ ชาตินิยม โดยยืนยันว่าไม่ใช่ เพราะพวกคลั่งชาติ ชาตินิยม มันสุดโต่ง ผมคิดว่าผมเป็นพวกนิยมชาติมากกว่า เรามีความรู้สึกภูมิใจในความเป็นคนไทย แต่ไม่ได้ถึงกับไปสุดโต่งขนาดนั้น

เรายืนยันว่าเราไม่ใช่พวกชาตินิยม คลั่งชาติ แล้วก็ไม่ใช่พวกอนุรักษ์แบบสุดโต่ง

...เราก็ต้องการอนุรักษ์สิ่งดีๆ ของประเทศ อะไรที่เป็นสิ่งดีงามต้องเก็บไว้ วัฒนธรรม ประเพณี ความเป็นพี่เป็นน้องของคนไทย ต้องเก็บไว้ แต่ผมก็เชื่อว่าพวกผมก็ใจกว้างพอในการที่ต้องการเห็นการเปลี่ยนแปลงของประเทศ ให้ประเทศทันสมัย อะไรที่เปลี่ยนแปลงแล้วทำให้ประเทศทันสมัย เราโอเค แต่สิ่งที่พวกเขากำลังทำอยู่ตอนนี้ ผมยังมองไม่เห็นเลยว่าจะทำให้ประเทศดีขึ้น เพียงแต่ใช้วิธีการแบ่งแยกเพื่อให้ตัวเองมีพวกไว้เยอะๆ

-การเคลื่อนไหวจะเน้นเรื่องการให้ข้อมูลความรู้?

ถูกต้อง เนื่องจากความเป็นพรรคการเมือง มันดีกว่าความเป็นส่วนตัว พรรคเราแบ่งงานกันทำได้ งานในเชิงนโยบายก็มี ผู้บริหารพรรค รัฐมนตรีของพรรคทำไป งานการเมืองเราก็อีกชุดหนึ่งมาทำ ก็ผสมผสานกันไป แล้วสุดท้ายเราก็ต้องมีชุดข้อมูลส่งให้กับ ส.ส.ของพรรค รปช. เข้าไปนำเสนอสิ่งต่างๆ ในสภาฯ โดยที่ผ่านมาการคุยกับนายสุเทพ เทือกสุบรรณ ผมก็บอกเขาว่าเรื่องนี้คือปัญหาของประเทศที่เราต้องต่อสู้ เขาก็โอเค ผมก็จะขับเคลื่อนแนวทางที่บอกในนามพรรค รปช. ไม่ใช่ส่วนตัว

-หากมีเสียงทักท้วงแนวทางที่หมอวรงค์บอกไว้ข้างต้น เพราะมองว่าอาจนำไปสู่การเผชิญหน้าของคน 2 กลุ่ม ที่อาจบานปลายกลายเป็นความขัดแย้งในสังคม?

ผมเข้าใจอย่างนี้ว่า สิ่งที่ดีที่สุดคือเขาก็ต้องไม่ทำ เพราะผมเชื่อว่าคนไทยเขารับไม่ได้ ก็ต้องหยุดจาบจ้วง ต้องหยุดสร้างปัญหาต่างๆ ตาม 5 ข้อที่ผมบอกไว้ข้างต้น เพราะผมเชื่อว่าคนไทยส่วนใหญ่ก็ไม่เอาด้วยในสิ่งที่กระทำ เพราะมันไม่ได้ยากอะไรเลย ก็หยุดอย่ากระทำ เพราะทำแล้วมันสร้างความเสียหายต่อประเทศ สิ่งที่เขาทำ มันเป็นต้นเหตุให้เกิดความแตกแยกในประเทศ ถ้าคุณหยุดกระทำ มันก็โอเค ก็ไม่มีอะไร แล้วก็ไปหาเสียงในสิ่งที่ต้องการ จะไปอ้างเรื่องนโยบายอะไรก็แล้วแต่ แต่พฤติกรรมต่างๆ อย่างที่บอกต้องไม่ทำ เพราะบางครั้งคุณพูดอย่าง แต่คุณทำอีกอย่าง แต่การนำเสนอข้อมูล สังเกตดู เราจะนำเสนอข้อเท็จจริงที่เป็นเชิงวิชาการมากกว่า ไม่ได้มายกพวกทะเลาะเบาะแว้งกัน

                -มองอย่างไรกับทิศทางของธนาธรกับพรรคอนาคตใหม่ โดยเฉพาะตอนนี้ที่พ้นจาก ส.ส.ไปแล้ว และมีท่าทีจะไปเคลื่อนไหวการเมืองนอกรัฐสภา?

มันเป็นทางเดียวของเขา เพราะเนื่องจากตอนนี้เขาไม่ได้เป็น ส.ส. ผมดูแล้วเขามีแนวคิดนี้อยู่แล้ว  ในการปลุกระดมมวลชน ปลุกระดมเยาวชน ที่จะให้รู้สึกว่าเขาถูกรังแก เขาพยายามใช้ภาษาตามที่เขาพูด เช่นความอยุติธรรม สิ่งที่เขาจะทำก็คงใช้วิธีการแบบนี้ในการปลุกระดมมวลชนโดยเฉพาะเยาวชนต่างๆ แต่ผมก็ยังเชื่อว่าภาพเหตุการณ์ที่ฮ่องกงคงทำให้คนไม่อยากให้เกิดเหตุการณ์แบบนี้

-แล้วหาก กกต.มีการเอาผิดคดีเงินกู้ 191 ล้านบาท รวมถึงอีกไม่นานคาดว่าศาล รธน.จะตัดสินคดียุบพรรคอนาคตใหม่ เรื่องคำร้องล้มล้างการปกครองดูแล้วจะนำไปสู่เหตุการณ์วุ่นวายอะไรหรือไม่?

หน้าที่ของเขาก็ต้องพยายามสร้างให้เกิดความวุ่นวาย เพราะวันที่เขาไปเบิกความต่อศาลรัฐธรรมนูญ แม้ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญจะให้เขาชี้แจง แต่ก็ปรากฏว่าตอบอะไรไม่ได้เลย บอกแต่จำไม่ได้  แต่ต่อมาก็มาโต้แย้งทีละข้อ แล้วก็เถียงแบบจินตนาการทั้งนั้น สร้างวาทกรรมขึ้นมา ไม่ได้พูดตามข้อเท็จจริง ดังนั้นในคดีอื่นๆ เขาก็ต้องพยายาม นี่คือจุดที่ชี้ให้เห็นว่าคนเหล่านี้มักจะชอบทำผิดกฎหมาย  ไม่เคารพกระบวนการยุติธรรม แต่สิ่งที่ตัวเองทำผิดกฎหมาย แล้วพอมีอะไรขึ้นมาก็มาบอกว่าตัวเองถูกกลั่นแกล้ง

-แบบนี้จะถือว่าเป็นมะเร็งประชาธิปไตยอย่างที่บอกหรือไม่?

นี้คือมะเร็งประชาธิปไตยเลย ทุกอย่างที่เขาทำ ที่เขาอ้างว่าประชาธิปไตย มันไม่ใช่ประชาธิปไตยที่แท้จริง อย่างที่ผมบอกประชาธิปไตยที่แท้จริงต้องทำเพื่อประโยชน์ของประชาชนและประเทศชาติ แต่สิ่งที่เขาทำ ทำเพื่อประโยชน์ส่วนตน แต่อ้างคำว่าประชาธิปไตย แล้วทำให้เกิดความเสียหาย เกิดความแตกแยก โดยใช้การชังชาติมาเป็นเครื่องมือ เพื่อนำไปสู่คำว่าประชาธิปไตยที่เขาต้องการ ถึงบอกว่าอันนี้คือมะเร็งประชาธิปไตย อย่างผมเป็นคนยึดมั่นในกระบวนการยุติธรรมอยู่แล้ว ฝ่ายพวกเราทำผิดแล้วติดคุกก็มีเยอะ เราก็โอเคยอมรับ แล้วบางกรณีเราถูก เราก็โอเค ก็เช่นกันหากอีกฝ่ายเมื่อศาลตัดสินอย่างไร เช่นตัดสินว่าผิด ก็ต้องยอมรับ ถ้าแบบนี้มันจบเลย คือเราวิพากษ์วิจารณ์กันได้ แต่หากศาลตัดสินแล้วมันก็ต้องจบ ใครได้ประโยชน์ใครเสียประโยชน์ก็ต้องเอาตามนั้นไป แต่หากไม่ยอมกัน มันไม่ได้ ประเทศมีปัญหา

-ตอนที่ไปแถลงข่าวเข้าพรรค รปช. บอกไว้ว่าปัจจุบันเราไม่ได้ต่อสู้กับระบอบทักษิณแบบในอดีต แต่ต่อสู้กับระบอบที่เป็นเรื่องของผลประโยชน์ทับซ้อน หมายถึงอย่างไร?

สมัยก่อนที่เป็นการเมืองแบบเดิม คือระบบสองพรรคใหญ่ ก็คือสู้กับระบอบทักษิณ ที่ได้อำนาจรัฐมาแล้วก็ทุจริตคอร์รัปชัน ใช้อำนาจในทางมิชอบ ออกกฎหมายล้างผิด แบ่งแยกประชาชน แต่มันเป็นสิ่งที่จับต้องได้ และส่วนใหญ่สู้กันในสภา แต่วันนี้เป็นเรื่องของการปลูกฝังความเชื่อแบบผิดๆ ที่ไม่ได้อยู่แค่ในสภา แต่ปลูกฝังความเชื่อแบบผิดๆ ไปยังประชาชนและเยาวชนทั้งประเทศ ว่าเป็นแบบนี้ๆ ทำแบบนี้ ปลูกฝังไปเรื่อยๆ แล้วผมถือว่าพฤติกรรมการปลูกฝังแบบนี้คือการชังชาติ

 อันนี้มันยากกว่าระบอบทักษิณ เพราะมันต้องใช้ความรู้ในการต่อสู้ สมัยสู้กับระบอบทักษิณ เรื่องทุจริตเราต้องเอาหลักฐานมาสู้ แต่วันนี้เราต้องใช้ความเชื่อสู้ ต้องใช้ความรู้ไปสู้กับเขา ซึ่งมันยากกว่า มันต้องใช้ความเชื่อในตัวเองว่าสิ่งนั้นมันไม่ถูกต้อง ให้ประชาชนเห็นคล้อยตามเราว่าสิ่งนั้นไม่ถูก เช่นการดูถูกประเทศชาติของเรากันเอง มันไม่ถูก การไม่เอารากเหง้าของประเทศ แบบนี้มันไม่ถูก เรื่องพวกนี้เป็นการสร้างความเชื่อสู้กัน ซึ่งมันยากกว่า

-เหมือนกับเป็นเรื่องของสงครามความเชื่อ สงครามความคิด?

ประเภทแบบนั้นเลย คล้ายๆ อุดมการณ์แบบนั้น มันเป็นการต่อสู้เรื่องความเชื่อ สำหรับรอบนี้ที่จะยากกว่าปกติ เพราะบางคนหากเขาเชื่อไปแล้ว มันก็ไปอีกแบบหนึ่งเลย แต่ผมก็ยังเชื่อว่าประชาชนคนไทยส่วนใหญ่ผูกพันกับประเทศ เทิดทูนถาบัน นับถือศาสนา รักรากเหง้าของความเป็นไทย ผมก็ว่ามันง่ายในการจะไปบอกว่าเราต้องเก็บสิ่งดีๆ เหล่านี้ไว้ อย่าปล่อยให้ใครมาดูถูกประเทศของเรา

เท่าที่ผมสัมผัสอารมณ์ของประชาชน เขาไม่แฮปปี้กับสิ่งเหล่านี้อยู่แล้ว แต่ประชาชนต้องการผู้นำ ตัวแทนที่จะนำเสนอแล้วประชาชนก็พร้อมที่จะช่วยและสนับสนุน ด้วยสามัญสำนึก ถ้าเราประกาศตัวว่าพร้อมที่จะมายืนตรงนี้ ถ้าเรามาช่วยกันให้ข้อมูลข้อเท็จจริงกับสังคม ร่วมมือกัน ผมว่าก็จะโอเค ผมขอใช้คำว่าผมพร้อมที่จะชวนเพื่อนๆ ที่มีความคิดสอดคล้องกัน มาเป็นกลุ่มนำเพื่อให้ข้อมูลกับประชาชนดีกว่า เพราะเรื่องระดับประเทศคงทำคนเดียวไม่ได้

-คิดว่าธนาธรกับอนาคตใหม่ น่ากลัวกว่าทักษิณกับเพื่อไทยไหม?

น่ากลัวกว่า ผมคิดว่าเขามีความกล้ามากกว่า มีลูกบ้ามากกว่า คำว่าลูกบ้าก็คือไม่แคร์ ประเทศจะล่มจมไม่สนไม่แคร์ ปัญหาต่างๆ จะเกิดขึ้นไม่แคร์ ขอให้ตัวเองได้คิดได้ทำ คือเขามีลูกบ้า แต่ผมดูเขาชี้แจงตอนไปศาลรัฐธรรมนูญ พบว่าเขาไม่ได้มีความแหลมคมมาก แต่ตัวปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการพรรคอนาคตใหม่ ยังมีความแหลมคมมากกว่า

“คนที่มีลูกบ้า แต่ความแหลมคมไม่มาก อันตราย เพราะมีลูกบ้าโดยสิ่งที่ทำไม่ได้สนใจ แค่อยากจะทำ ทำให้เวลานำเสนอข้อมูล จึงนำเสนอปัญหาแล้วนำไปสู่ความชิงชังของคนในชาติ  สร้างความแตกแยก เขาไม่สน ไม่แคร์ ส่วนหนึ่งมันเป็นตัวตนของเขาด้วย และยิ่งเขาฮึกเหิม จากผลการเลือกตั้งที่ผ่านมา ทำให้เขารู้สึกมีมวลชน แต่มันต้องเริ่มจากตัวตนของเขาก่อน มันเป็นตัวเขาเองด้วยที่เขาเป็นแบบนี้"

นพ.วรงค์ กล่าวต่อไปว่า การที่ธนาธรลาออกจาก กมธ.วิสามัญพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบปี 2563  ของสภา เป็นเพราะพรรคอนาคตใหม่ไม่มีทางเลือก เขาก็ต้องทำแบบนี้ เพราะโอกาสที่เขาจะสู้ในสภา แล้วชนะ โอกาสมันยาก เพราะรัฐบาลยังไงก็ต้องมีวิธีการในการเอาชนะในสภาตามแนวทางรัฐบาล แต่อนาคตใหม่สิ่งที่เขาทำอยู่เขาทำผิดกฎหมายหลายเรื่อง เช่นการที่ธนาธรพ้นจาก ส.ส.ก็เพราะทำผิดกฎหมาย หรือกรณีคำร้องคดีเงินกู้ 191 ล้านบาท ที่ล่าสุด กกต.มีหนังสือให้พรรคอนาคตใหม่เร่งส่งข้อมูลเอกสารคดีดังกล่าว ซึ่งมีแนวโน้มที่ผมเชื่อว่าเขามีแนวโน้มที่จะทำผิดกฎหมายเช่นกัน ดูแล้วหากต่อสู้ตามช่องทางกฎหมายเขาไม่มีช่องทางชนะ เขาก็ต้องหาเรื่องบิดเบือนข้อเท็จจริง แล้วบอกกับประชาชนว่าเขาถูกกลั่นแกล้งโดนรังแก

มันไม่มีช่องทางอื่น เขาก็ต้องอาศัยการต่อสู้นอกสภา ซึ่งถึงตอนนี้หลายอย่างที่เขาพูดผมดูแล้วมันไม่จริง อย่างที่ฝ่ายเขาบอกว่าไม่ได้อยู่เบื้องหลังการ "วิ่งไล่ลุง" แต่หลักฐานที่เรารวบรวมไว้ เห็นชัดจากเพจเครือข่ายของเขาและในพื้นที่ต่างๆ มีการรณรงค์วิ่งไล่ลุงอยู่แล้ว ทั้งที่เขามีเวทีสภาสำหรับการต่อสู้  มี ส.ส.ในพรรคร่วม 80 คน แทนที่จะต่อสู้ในระบบรัฐสภา แต่กลับไปอาศัยนอกสภามาต่อสู้ แต่อย่างหนึ่งผมเชื่อว่าการต่อสู้ในสภาที่ต้องต่อสู้ในระบบ ที่เขาสู้ไม่ได้เลยจะไปปลุกระดมคนนอกสภา โดยเป้าหมายการปลุกระดมคือเยาวชนที่ยังขาดประสบการณ์ อาจรู้เท่าไม่ถึงการณ์ จะเลียนแบบที่ฮ่องกง ในการปลุกระดมเยาวชนที่อาจจะยังไม่เข้าใจเรื่องต่างๆ ก็อาศัยเยาวชนเหล่านี้มาเป็นแนวร่วม แต่ยืนยันได้ว่าการเคลื่อนไหวอะไรต่างๆ ของผมจะระมัดระวังมาก เพราะเราไม่มีเจตนาจะไปสร้างความขัดแย้งกับฝ่ายเขา  เพียงแต่ต้องการให้สังคมตื่นตัวกับสิ่งที่จะเกิดขึ้นที่จะเป็นอันตรายต่อประเทศ

...เพราะหากผู้ใหญ่มีความตื่นตัวก็จะทำให้โรงเรียนต่างๆ ตื่นตัว ที่จะต้องไม่ยอมให้นักการเมือง เข้าไปในสถานที่ซึ่งมีเด็กๆ เยาวชนไม่ได้ เพราะพวกเขาไม่มีวันทันเกมของพวกคุณ โดยพวกคุณก็มาอ้างว่าจะเข้าไปทำอะไรต่างๆ แต่แล้วก็มีการสอดไส้ โดยมีการนำเรื่องละเอียดอ่อนที่มีผลต่ออนาคตของเขาโดยให้ข้อมูลแค่ด้านเดียว แบบนี้ไม่ได้ เช่นการไปพูดเรื่องการเกณฑ์ทหาร ซึ่งการไปพูดกับเด็กวัยนี้เท่ากับคุณไปล้างสมองเขา แต่พอมีข่าวแบบนี้ออกมา ผมพบว่าคนตื่นตัวกันเยอะ ผมไปเจอหลายคน เขาบอกกันว่าแบบนี้ไม่ได้ เขาไม่เห็นด้วยที่จะไปปลุกระดมกับเด็กวัย 16-18 ปีที่ยังประสบการณ์น้อย  ไม่ทันเกมนักการเมืองแบบพวกเขา

.............

หมอวรงค์-มวยไฟเตอร์ กับบทบาทซีอีโอ-พรรค รปช. 

นพ.วรงค์-ประธานเจ้าหน้าที่บริหารพรรค รปช. กล่าวถึงบทบาทดังกล่าวในพรรค รปช.ว่า ภารกิจในตำแหน่งดังกล่าวคือ ขับเคลื่อนนโยบายและยุทธศาสตร์ของพรรค รปช.เพื่อนำไปสู่การปฏิบัติให้สัมฤทธิผล ซึ่งที่ประชุมกรรมการบริหารพรรค รปช.ได้เน้นย้ำว่า ภารกิจพิเศษที่ผมต้องทำต่อจากนี้ก็คือ ปราบลัทธิชังชาติ ที่ก็เป็นแนวคิดที่ได้มีการคุยกันก่อนที่ผมจะเข้าไปเป็นสมาชิกพรรค รปช.อยู่แล้ว ที่แนวทางก็เหมือนที่ได้บอกไว้ข้างต้นคือ การสื่อสารความจริงกับสังคมและประชาชน ซึ่งแนวทางเราก็คือมีแผนที่จะลงพื้นที่พบปะประชาชน เพื่อสื่อสารในเรื่องนี้เพื่อเอาข้อเท็จจริงไปบอกกับประชาชนและสมาชิกพรรคให้สังคมตื่นตัว ซึ่งการขับเคลื่อนคงจะเริ่มต้นหลังผ่านพ้นเทศกาลปีใหม่ไปแล้ว

 นพ.วรงค์-อดีต ส.ส.พิษณุโลก 3 สมัย กล่าวต่อไปว่า การที่มาอยู่กับพรรค รปช. แม้จะเป็นพรรคขนาดเล็กแต่นิสัยส่วนตัวผมเป็นคนชอบสร้าง มากกว่าไปอาศัยคนอื่นเขา เพราะหากไปอยู่กับพรรคขนาดใหญ่ก็เหมือนกับเราไปอาศัยเขา ในฐานะที่ผมมีประสบการณ์การเมืองมาแล้ว มันไม่ใช่ตัวตนผมสักเท่าใด แต่ผมเป็นคนชอบสร้าง มันท้าทาย การไปร่วมกับเขา ไปร่วมกันสร้างให้มันโตขึ้นมา มันท้าทายกว่า

                การที่ผมออกจากพรรค ปชป.เพราะผมเห็นว่าวันนี้กติกามันเปลี่ยน นี้คือหัวใจสำคัญ พวกผมโตมาจากระบบการเลือกตั้งแบบบัตรเลือกตั้งสองใบ ซึ่งระบบการเลือกตั้งแบบสองใบคือ บัตรแรกเลือกผู้สมัคร ส.ส.ระบบเขต และบัตรที่สองเป็นบัตรเลือกพรรคในระบบบัญชีรายชื่อ ที่ระบบดังกล่าวทำให้เกิดระบบพรรคใหญ่สองพรรค เดิมที่เป็นระบบแบบพรรคใหญ่สองพรรคก็ไม่มีปัญหาอะไร มีอะไรก็สู้กัน ผมอยู่ประชาธิปัตย์ ผมก็สู้กับเขาไป แต่เมื่อกติกามันเปลี่ยนแปลง เป็นระบบเลือกตั้งแบบบัตรใบเดียว  ระบบที่เกิดขึ้นทำให้พรรคการเมืองขนาดใหญ่ไม่มีแล้ว กลายเป็นระบบที่ทำให้เกิดพรรคการเมืองขนาดกลาง จนถึงพรรคขนาดกลางและเล็ก

...เมื่อมาถึงสถานการณ์ในแบบนี้ หากเราสังเกตดู อย่างพรรคร่วมฝ่ายค้านจะพบว่าแนวร่วมของเขามีถึงเจ็ดพรรคร่วมฝ่ายค้าน ขณะที่พรรคร่วมฝ่ายรัฐบาลก็มีร่วมสิบพรรค และแต่ละพรรคการเมืองก็จะทำงานตามที่ตัวเองถนัด

                นพ.วรงค์ กล่าวต่อไปว่า ผมก็เห็นว่าด้วยสไตล์การทำงานแบบของผมแบบที่ผมถนัด มันไม่ใช่สไตล์แบบที่พรรคประชาธิปัตย์ทำอยู่ในขณะนี้ ผมก็คุยกับท่านผู้ใหญ่ในพรรคอย่างท่านชวน หลีกภัย  ประธานสภาผู้แทนราษฎรตรงๆ ว่า ด้วยบุคลิกและสไตล์การทำงานของผม ผมเป็นคนทำงานแบบถ้าเป็นนักมวยก็เป็นมวยสไตล์ไฟเตอร์ เราถนัดในอีกสไตล์หนึ่ง เราจึงถือว่าเราก็ยังอยู่เป็นพวกเดียวกัน  แต่ใครถนัดตรงไหนก็ไปทำตรงนั้น วันนี้ผมถนัดแบบนี้

...แล้วปัญหาของประเทศที่ผมมีความรู้สึกว่า ปัญหาเรื่องชังชาติเป็นปัญหาที่มันหมักหมมมาเรื่อยๆ  แล้วไม่มีคนไปสู้ ผมก็มีความรู้สึกว่าผมเหมาะที่จะไปต่อสู้กับเรื่องพวกนี้ เราก็หาพรรคการเมืองที่คิดว่าเหมาะสมกับบุคลิกภาพของเรา ที่จริงมีหลายพรรคการเมือง ที่หากเขารู้เขาก็คงอยากจะชวนผมไปอยู่ด้วย แต่ผมคิดว่าพรรค รปช.น่าจะเหมาะกับบุคลิกผมในการทำงานแบบนี้

                หมอวรงค์ บอกถึงการตัดสินใจมาอยู่กับพรรค รปช.ว่า จากที่เคยอยู่ประชาธิปัตย์มา 15 ปี การลาออกมาได้ใช้เวลาตัดสินใจนานพอสมควร ซึ่งช่วงแรกหลังการเลือกตั้งผมก็ยังไม่ได้คิดอะไร แต่เมื่อเวลาผ่านไปเรื่อยๆ ผมก็เริ่มวิเคราะห์ดูเกมการเมืองต่างๆ และวิเคราะห์รัฐธรรมนูญ จนเราได้บทสรุปว่ารัฐธรรมนูญจะนำไปสู่การทำให้เกิดพรรคขนาดกลางพรรคขนาดเล็กเยอะ มันไม่ได้ทำให้เกิดพรรคการเมืองขนาดใหญ่แบบเดิม เพราะพรรคใหญ่แบบเดิมเราก็สู้แบบเดิมได้ แต่เมื่อระบบทำให้เกิดเป็นแบบนี้ เราก็ต้องหาพรรคการเมืองที่เหมาะกับสไตล์การทำงานที่ทำให้เราได้ทำงานเต็มที่ ผมก็เริ่มมาคิดเรื่องนี้ ก็คิดอยู่ประมาณ 2-3 เดือน พูดคุยกับเพื่อนๆ ทางการเมือง คิดไปคิดมา บวกลบคูณหาร มันก็สะสมมาเรื่อย ๆ จนผมเริ่มเห็นปัญหาเรื่องชังชาติ ที่ผมเห็นแล้วไม่มีคนออกมาสู้ ซึ่งที่ผ่านมาผมอาจออกมาพูดเรื่องนี้ แต่ก็ทำในนามส่วนตัว มีการโพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัว ทำในนามหมอวรงค์เท่านั้น ซึ่งผมก็เห็นว่าพลังทางการเมืองมันสู้การจะมีบทบาทในนามพรรคการเมืองไม่ได้ เพราะหากเป็นภาพของพรรคการเมืองลงไปสู้จะมีพลังมากกว่า

-คนบางส่วนมองว่าที่หมอวรงค์ออกจากประชาธิปัตย์ด้วยสาเหตุเพราะยุคจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์เป็นหัวหน้าพรรค ตัวหมอวรงค์ไม่ค่อยได้รับบทบาทอะไรในพรรคเลยออกมา?

คงไม่ใช่ เพราะหากมีปัญหาลักษณะแบบนี้ เราก็คงคิดตั้งแต่แรกแล้ว แต่เพราะเรามองว่าพรรค ปชป.เขามีสไตล์การทำงานแบบนี้แล้ว และบุคลิกเรามันไม่ใช่ เพราะอย่างหากดูพรรคการเมืองต่างๆ เวลานี้ ไม่ว่าจะเป็นพรรคขนาดกลาง ขนาดเล็ก ต่างก็จะมีสไตล์การทำงานแบบของตัวเอง อุดมการณ์ของผมกับประชาธิปัตย์ยังตรงกัน แต่สไตล์การทำงานต่างกัน วิธีการทำงานที่แตกต่างกัน มันจึงทำให้เราค่อยๆ คิดว่าเราอยากทำงานในแบบที่เป็นตัวตนของเรา

                วันนี้หากจะให้ผมมาบู๊ในพรรคประชาธิปัตย์ มันไม่ใช่แล้ว ภาพมันไม่ใช่แล้ว ภาพของประชาธิปัตย์เป็นภาพแบบบ็อกเซอร์มากกว่า ซึ่งก็ถือว่าโอเค มันก็เหมาะกับตัวตนของผู้บริหารพรรคด้วย เมื่อสไตล์ผมเป็นแบบนี้ เราก็ต้องหารูปแบบที่มันเหมาะสมดีกว่า ตอนผมจะออกจากประชาธิปัตย์ ผมก็ยืนยันกับทั้งท่านชวน หลีกภัย และจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ ว่าอุดมการณ์เรายังตรงกัน ไม่เปลี่ยนแปลง เรามาช่วยกันทำงาน เพียงแต่ใครถนัดตรงไหนก็ไปทำตรงนั้น

เราเป็นมวยไฟเตอร์ เราไม่ใช่มวยบ็อกเซอร์ และสังคมต้องการมวยไฟเตอร์ โดยอยู่ในจุดที่มันเหมาะสมกับบุคลิกของเรา และบังเอิญได้คุยกับคุณสุเทพ เทือกสุบรรณ เขาก็เห็นด้วยกับผม ในเรื่องที่ต้องต่อสู้กับพวกชังชาติ ก็ให้มาช่วยกันทำงานและด้วยสไตล์ของพรรค รปช. มีภาพของการเป็นมวยไฟเตอร์อยู่

  การเข้ามาพรรค รปช. ตรงนี้ทำให้เราสบายใจในการเข้ามา เพราะยิ่งเป็นพรรคเล็ก ทำให้เห็นได้ว่าเราไม่ได้มาแสวงหาอะไร ถ้าไปอยู่พรรคใหญ่ มันก็เหมือนกับเราจะเกาะเขา จะไปอาศัย ไปหวังมีตำแหน่ง แต่เพราะผมไม่ได้หวังอะไร ผมบอกกับคุณสุเทพและ ม.ร.ว.จัตุมงคล โสณกุล หัวหน้าพรรค ว่าไม่ต้องมากังวลกับผมในเรื่องตำแหน่งใดๆ ทั้งสิ้น ผมไม่ต่อรอง เพียงแต่ว่าหาตำแหน่งให้ผมสักตำแหน่งเพื่อที่ว่าผมจะได้ทำงานได้เต็มที่ แล้วให้เป็นภาพลักษณ์ของพรรค ดังนั้นเรื่องตำแหน่งหัวหน้าพรรค, เลขาธิการพรรค รปช. ไม่ต้องกังวลเรื่องนี้เพราะผมยืนยันว่าอยู่ๆ จะมาให้ตำแหน่งผม ผมก็ไม่เอา ให้ผมทำงานสักระยะ ให้รู้สึกได้ว่าผมมีฝีมือพอที่จะเข้ามาทำ ตรงนั้นก็อีกเรื่องหนึ่ง เป็นเรื่องของอนาคต แต่วันนี้ให้ผมได้ทำงานก่อน.

โดย วรพล กิตติรัตวรางกูร

.................................

 


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"