ทวนน้ำอูสู่เมืองขวา


เพิ่มเพื่อน    

(เรือโดยสารกำลังเข้าเทียบท่าที่เมืองขวาในเวลา 5 โมงเย็น)

    ในเรือโดยสารจากหนองเขียวสู่เมืองขวาที่มีเพียงวันละเที่ยวเดียว ฝรั่งนักท่องเที่ยวและชาวลาวนั่งกันอยู่แล้วเต็มลำ คะเนพิกัดผู้โดยสารคงอยู่ในราวๆ 20 คน ที่นั่งส่วนหน้าเป็นเก้าอี้มีพนักพิง 6 ตัว เว้นทางเดินตรงกลาง ผู้จับจองส่วนมากเป็นชาวลาว ส่วนหลังเป็นแบบรถสองแถว นั่งหันหน้าเข้าหากัน ผู้ครอบครองล้วนเป็นฝรั่ง ทั้ง 2 ส่วนมีหลังคาบังแดด กระเป๋าสัมภาระนักท่องเที่ยววางด้านหลังนอกเก๋งเรือ
           คนขับเรือเดินลงมาจากจุดขายตั๋วบนฝั่งพร้อมฝรั่งอีก 2 คน จัดให้พวกเขานั่งเบียดกันในโซนสองแถว แล้วบอกให้ผมวางกระเป๋าตรงที่ว่างระหว่างเก้าอี้ขับเรือกับกลุ่มผู้โดยสารเก้าอี้พนักพิง มีกระสอบข้าวสารวางอยู่แล้ว 2 กระสอบ ที่นั่งของผมก็คือที่ว่างที่เหลือจากกระสอบข้าวสารและกระเป๋าเดินทางของผมเอง และก่อนจะออกเรือในเวลา 11 โมง ซึ่งเลยเวลาไปแล้วครึ่งชั่วโมง ก็มีหญิงสาวชาวลาวเดินมาลงเรืออีกคน เธอจำต้องแบ่งที่นั่งกับผมอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
           ความจริงแล้วผมต้องขอบคุณเธอผู้นี้ เพราะเป็นคนแจ้งให้คนขับเรือนำฝากระดานหลังคาเรือแบบเลื่อนยกได้จากหลังคาเรือเหนือศีรษะของกลุ่มพวกนั่งเก้าอี้มาปิดเชื่อมระหว่างกลางต่อเข้ากับหลังคาเก้าอี้คนขับ ทำให้ทั้งเรือมีหลังคาคลุมตลอดลำ ผมต้องลุกไปช่วยอีกแรง เพราะเป็นประโยชน์กับตัวเอง หากไม่มีหลังคานี้แล้วส่วนที่เปิดประทุนก็คือที่นั่งของผมและสาวลาวผู้ลงเรือเป็นคนหลังสุด ผมพิสูจน์มาแล้วหลายครั้งจนสรุปได้ว่าแดดภูเขานั้นร้อนกว่าแดดทะเล
        คนขับจัดแจงทุกอย่างเรียบร้อยก็ย่างขาขวาลงประจำตำแหน่ง ขาซ้ายถีบขอบโป๊ะเพื่อผลักให้เรือออกจากท่า ดึงขาซ้ายตามมาสมทบกับขาขวาแล้วนั่งลงถือพังงาพวงมาลัยสตาร์ทเครื่อง แล้วเราก็ออกเดินทางทวนกระแสแม่น้ำอู ลอดสะพานคอนกรีต สัญลักษณ์สำคัญแห่งหนองเขียว มุ่งหน้าเมืองขวา หรือเมืองขัวในภาษาลาว

(เกาะกลางน้ำโผล่มาให้เห็นอยู่เรื่อยๆ ระหว่างการเดินทางไปบนแม่น้ำอู)

           สองฝั่งแม่น้ำอูเป็นแนวภูเขา เดี๋ยวสูงเดี๋ยวต่ำ ชันมากชันน้อยไล่ไปไม่รู้จบ กระแสน้ำนิ่งสงบเพราะบริษัทจากจีนได้สัมปทานสร้างเขื่อนผลิตกระแสไฟฟ้าตลอดลำน้ำสายนี้ถึง 7 เขื่อน กลายเป็นอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่แบบขั้นบันไดขึ้นไปเรื่อยๆ แต่ช่วงที่ผ่านเกาะกลางน้ำและเกาะใต้น้ำก็จะพบกับคลื่นและน้ำเชี่ยว หากคนขับเรือไม่ชำนาญร่องน้ำก็เสี่ยงอันตรายยิ่ง มีน้ำเข้ามาในตัวเรืออยู่ตลอด ผมถามคนขับว่าจะมีปัญหามั้ย เขาตอบว่า “บ่เป็นหยัง”
           ประมาณ 1 ชั่วโมงหลังออกจากหนองเขียวเราก็มาถึงเมืองงอย บางคนเรียกเมืองงอยเก่า ส่วนหนองเขียวนั้นเรียกว่าเมืองงอยใหม่ ฝรั่งนักท่องเที่ยวขึ้นฝั่งเกือบหมด เมืองงอยนี้ในฤดูท่องเที่ยวฝรั่งมากันเยอะมาก เพราะมีความเก่าแก่ พัฒนาน้อยกว่าหนองเขียว บ้านเรือนยังสร้างด้วยไม้ วิถีชีวิตชาวบ้านยังไม่เปลี่ยนมากนัก มีกิจกรรมพวกพายเรือ เดินป่า ปีนเขา เข้าถ้ำ และชมวิวงามๆ

(เรือบริการนักท่องเที่ยวจอดอยู่บริเวณท่าเมืองงอย)

        ผู้โดยสารลงมาใหม่แค่ 4 คน เหลือชุดเดิมอีก 3 คนที่จะเดินทางไปเมืองขวาด้วยกัน สาวลาวแนะให้ผมไปนั่งบนเก้าอี้ผมก็ทำตาม ยอมรับว่าระหว่างนั่งในช่องสัมภาระหลังคนขับเรือ แม้จะได้ยืดแข้งขาอยู่บ้าง แต่โดยรวมแล้วเมื่อยไม่น้อย แถมหนีไม่พ้นแดดอยู่หลายช่วง พอได้เก้าอี้ใหม่นั่งสบายไม่นานก็ผล็อยผลับ แต่คงจะไม่กี่นาทีฝรั่งสูงอายุ (ทราบทีหลังมาจากออสเตรเลีย) ลุกจากที่นั่งของตัวเองเดินไปข้างหน้า ขาของเขาโดนแขนของผมเต็มๆ ทำให้ตื่นขึ้นอย่างน่าเสียดาย เพราะการงีบหลับถือเป็นสิ่งมีค่ามาก เขาไม่หันมาขอโทษ เดินออกไปยืนตรงจุดที่ผมนั่งมาก่อนหน้านี้ หลังคาเรือได้เปิดประทุนแล้ว เขาจับกล้องที่ห้อยคอขึ้นมาเล็งวิวกดชัตเตอร์อย่างเมามัน ส่วนตัวผมพยายามเท่าไหร่ก็ไม่หลับอีกเลย ฝรั่งออสเตรเลียนี่ถือว่าได้ทำบาปใหญ่หลวง
        เรือวิ่งมาจนถึงด้านล่างของตัวเขื่อนตอนเวลาบ่ายโมงนิดๆ คนขับเลี้ยวเข้าจอดริมหาดด้านซ้ายมือ ฝรั่งออสเตรเลียเดินกลับจากจุดถ่ายรูปมาแบกกระเป๋าจากเรือขึ้นฝั่งเช่นเดียวกับผู้โดยสารคนอื่นๆ รถสองแถวยกสูงมารับพวกเราทั้งเจ็ดและคนขับเรือขับไปบนถนนอ้อมเขื่อนที่กำลังก่อสร้างไปยังแม่น้ำอูด้านเหนือเขื่อน มีเรืออีกลำมารับไม้ต่อ แต่ก่อนอื่นก็ให้พวกเราแวะที่แพร้านอาหาร หลายคนถือโอกาสเข้าห้องน้ำ บางคนสั่งมื้อเที่ยง ผมซื้อมาเพียงน้ำเปล่า

(เรือโดยสารกำลังจะเข้าจอดที่ท่าเทียบเรือเมืองงอย)

        คนขับรถสองแถวเรียกให้ผู้โดยสารที่เดินทางมาจากเมืองขวา ซึ่งกำลังอยู่ในแพริมน้ำขึ้นรถเพื่อไปส่งลงเรือลำที่พาเรามาจากหนองเขียว พวกเขาจะได้เดินทางต่อไปยังเมืองงอยและหนองเขียวต่อไป รถสองแถวล้อหมุนออกไปแล้ว ปรากฏว่าคนขับเรือยังกินข้าวไม่เสร็จเรียบร้อย เขาวิ่งตามออกไปจากแพร้านอาหารพร้อมเสียงเรียกตามหลังว่าให้รอด้วย สร้างเสียงหัวเราะจากทั้งคนในรถสองแถว ในร้านอาหาร และในเรือลำที่จะไปเมืองขวา
           ไม่กี่นาทีต่อมาเรือของเราก็ได้เวลาออกบ้างเช่นกัน เรือลำนี้ขนาดเล็กกว่าเรือที่มาจากหนองเขียว มีเพียงที่นั่งแบบรถสองแถว ผู้หญิงลาวลงมาเพิ่ม 1 คน และฝรั่งหัวล้านตัวใหญ่อีก 1 คน เขานั่งตรงจุดเปิดประทุน พิงกระเป๋าสัมภาระของผู้โดยสารคนอื่นที่วางอยู่หลายใบ หันหน้ามายังด้านหลังเรือ ทราบเลาๆ ว่าเป็นชาวอเมริกัน ช่วงเช้าเขานั่งเรือมาจากเมืองขวา ตอนบ่ายวันเดียวกันนี้ก็นั่งกลับ พูดง่ายๆ ว่านั่งเรือเล่น
        นอกจากอเมริกันตัวใหญ่แล้วในเรือมีฝรั่งอีก 4 คน ได้แก่ หนึ่งคู่รักจากออสเตรเลีย คู่ที่ฝ่ายสามีทำบาปหนาไว้กับผม และอีกคู่เป็นหนุ่ม-สาวจากฝรั่งเศส ที่เหลือเป็นชาวลาว
        ผมแกะห่อข้าวของแม่สมจันแห่งร้าน Mama Alex ในหนองเขียวฝั่งสบฮุนออกมา เพิ่งเห็นตอนนี้ว่าเป็นข้าวเหนียวคลุกด้วยมะพร้าวขูดฝอยและเกลือ ยามหิวเช่นนี้รู้สึกอร่อยดีและกินจนหมด ตามด้วยกล้วยอีกสาม-สี่ลูกจากแม่สมจันเช่นกัน ที่เหลือก็แบ่งให้คู่ฝรั่งเศสหนุ่มสาวซึ่งนั่งอยู่ใกล้ๆ   
        มีคนท้องถิ่น น่าจะเป็นชาวขมุ ขึ้น-ลงหลายจุด เมื่อจะเข้าเทียบฝั่งคนขับเรือต้องใช้ไม้พายช่วย ฝรั่งออสเตรเลียตอนที่ไปยืนถ่ายรูปตรงจุดเปิดประทุนเรือก็มักจะใช้เท้าแหย่ๆ น้ำลงไปด้วย นึกว่าจะช่วย แต่ดูแล้วเป็นภาระมากกว่า ตอนหลังก็กลับมานั่งข้างภรรยา แต่ยังชอบโน้มตัวไปถ่ายรูปอีกฝั่งทำให้เรือเอียงน่าหวาดเสียว ช่วงที่หญิงคนหนึ่งขึ้นมาพร้อมลูกน้อยในห่อผ้าที่คาดไว้กับไหล่ข้างหนึ่ง เขาก็แอบถ่ายรูปเด็กแล้วหันไปมองหน้าภรรยา ทำตาโตเป็นเชิงยอมรับผิด นอกจากนี้แล้วภาพที่ฝรั่งออสเตรเลียผู้นี้ให้ความสนใจเป็นพิเศษก็คือภาพวัว ควาย รวมถึงแพะลงมากินน้ำริมฝั่ง      
        และเนื่องจากว่าผู้โดยสารมีน้อย บางคนก็มีน้ำหนักมาก เวลาคนมีน้ำหนักมากนั่งฝั่งเดียวกันก็จะทำให้เรือเอียง ผมต้องโยกไปนั่งฝั่งน้ำหนักน้อย บางทีแดดจากทิศตะวันตกส่องจากทางด้านซ้ายมาเข้าตา ก็มีคนหนีจากฝั่งขวามานั่งฝั่งซ้ายทำให้เรือเอียงไปมา และหาสมดุลน้ำหนักกันใหม่ ทว่าคนขับก็ไม่แยแสหรือว่ากล่าวตักเตือนเอากับใคร
         เวลาประมาณ 5 โมงเย็น เรือที่ฝรั่งเรียกว่า Slow Boat หรือ “เรือช้า” ก็มาถึงเมืองขวาแห่งแขวงพงสาลี เท่ากับใช้เวลาเดินทางรวม 6 ชั่งโมง ฝรั่งเศสคู่รักเดินขึ้นเนินจากท่าเรือมาพร้อมกับผมเพื่อหาที่พัก พวกเขาหลีกเลี่ยงการเข้าไปถามราคากับที่พักที่มีขนาดใหญ่และดูดี เพราะกลัวจะเกินงบเดินทาง
    ตอนแวะถามที่เกสต์เฮาส์ชื่อ Chalernsouk ซึ่งก็คือ “เจริญสุข” ในภาษาไทย เด็กสาวอายุคงไม่ถึง 15 ปี ทำหน้าที่เป็นรีเซฟชั่น ผมเป็นล่ามให้ระหว่าง 2 ฝ่าย แปลอังกฤษเป็นลาวและลาวเป็นอังกฤษ สุดท้ายคู่รักก็เลือกเกสต์เฮาส์นี้ ราคาห้องพักสำหรับ 2 คน คืนละ 100,000 กีบ
    ผมเหลือเงินกีบไม่พอจ่ายค่าที่พัก จึงขอเดินหาร้านแลกเงินก่อน เมืองขวาเป็นเมืองขนาดเล็กมาก ย่านใจกลางเมืองอยู่ตรงบริเวณสามแยกเล็กๆ เป็นทางผ่านรถโดยสารระหว่างลาวตอนเหนือกับเมืองเดียนเบียนฟูของเวียดนาม ธนาคารพัฒนาลาว (LDB) ใกล้สามแยกปิดทำการไปแล้ว ถามคนแถวนั้นก็ทราบว่าให้ไปลุ้นที่ร้านคนจีนใกล้ๆ กัน

(วิวระหว่างเส้นทางเมืองงอย-เมืองขวา)

    ชายหนุ่มกับหญิงสาวชาวจีนขายของจิปาะ รวมถึงอุปกรณ์โทรศัพท์มือถือถามว่าใช้เงินอะไรแลก พอบอกว่าเงินหยวน พวกเขาก็ดูจะยินดีแม้ว่าไม่มีรอยยิ้มตลอดการสนทนา อัตราแลกเปลี่ยนที่หญิงสาวกดเครื่องคิดเลขให้ดูไม่น้อยไปกว่าร้านทั่วไปในหลวงพระบาง ผมเปิดเป้ใบเล็กหยิบซองเงินหยวนออกมา รู้ได้ทันทีว่าหายไปจำนวนหนึ่ง ธนบัตรล้วนใบละร้อยหยวนเหลือเพียง 7 ใบ เท่ากับหายไป 10 ใบ หลังการแลกครั้งสุดท้ายที่หลวงพระบางในเช้าวันเดินทางมาหนองเขียว จะเปลี่ยนใจใช้เงินดอลลาร์สหรัฐในกระเป๋าตังค์แลกเจ้าของร้านก็ไม่รับ จึงเจียดเงินจีนแลกเงินลาวไป 200 หยวน ไม่จำเป็นต้องใช้เงินกีบมากมาย พรุ่งนี้ก็จะไปใช้เงินดองที่เดียนเบียนฟูแล้ว
    ผมเดินกลับไปที่เจริญสุขเกสต์เฮาส์ เด็กสาวไม่อยู่แล้ว สตรีรุ่นป้าประจำตำแหน่งแทน ซึ่งคงเป็นตำแหน่งที่แท้จริง ห้องสำหรับพักคนเดียวคืนละ 70,000 กีบ หรือประมาณ 220 บาทเท่านั้น ในห้องมีทีวี ตู้เสื้อผ้า พัดลม ห้องน้ำมีเครื่องทำน้ำอุ่น ถือว่าดีเกินคาด ผมดูห้องแล้วก็ตอบตกลงจ่ายเงิน สภาพแย่กว่านี้ก็คงไม่ปฏิเสธอยู่ดี
    แล้วก็มาถึงเวลาการนั่งคิดใคร่ครวญเรื่องเงินหยวนที่หายไป ตอนแลกมาจากกรุงเทพฯ นั้นกะไว้ใช้ในเมืองจีนมากกว่า แม้ว่าจะทำบัตรเดบิตแบบพิเศษแลกเงินบาทเป็นเงินหยวนทางแอปพลิเคชันใส่ไว้ในนั้น เมื่อกดเงินจากตู้เอทีเอ็มในจีนออกมาก็จะไม่ถูกหักส่วนต่างใดๆ นั่นคือที่ธนาคารเจ้าของบัตรโฆษณาไว้ แล้วก็คิดไว้ว่าจะนำดอลลาร์สหรัฐมาแลกเงินกีบและเงินดอง เงินดอลลาร์เป็นสกุลใหญ่ไม่กินที่ในกระเป๋าตังค์ก็เลยใส่ไว้ได้ เงินหยวนใส่ซองของร้านรับแลกเงินไว้อย่างเดิมอยู่ในส่วนลึกแต่ไม่ลับของเป้ใบเล็กอีกที เป้ใบนี้อยู่กับตัวผมเกือบตลอดเวลา เป็นหนึ่งในสาเหตุที่นำเงินหยวนออกมาแลกอยู่เรื่อย เพราะคิดว่าไปถึงเมืองจีนค่อยกดใหม่ ส่วนเงินดอลลาร์เก็บไว้ใช้ยามจำเป็น
    ที่สาธยายมาก็เพื่อย้ำว่าผมรู้ว่าเงินหยวนเหลืออยู่ในซองประมาณเท่าไหร่แม้ไม่ได้นับ และก็เพราะมีอยู่ไม่มากนั่นเอง ห้องพักของผมที่หนองเขียวเป็นแบบบังกะโล ประตูหน้ามีกุญแจล็อก ไม่มีบันไดขึ้น เพราะพื้นทางเข้าเสมอกับตัวห้องพัก การจะเข้าจากประตูหลังต้องปีนเสาบังกะโลขึ้นมาเข้าทางระเบียง เพราะส่วนนี้ตั้งอยู่บนพื้นลาดชันใกล้ตลิ่งแม่น้ำอู แต่ประตูหลังก็ใส่กลอนจากด้านใน ตอนอยู่หนองเขียวเวลาออกไปข้างนอกผมไม่ได้นำเป้ใบเล็กออกไปด้วย แต่ตลอดการพักไม่มีร่องรอยงัดแงะ ผู้ที่ต้องสงสัยย่อมเป็นผู้ที่มีกุญแจสำรอง
    เช้าตรู่ที่ผ่านมาตอนตื่นไปขึ้นภูเขาเพื่อดูวิวจากผาแดงได้แวะสนทนากับผู้หญิงเจ้าของเกสต์เฮาส์ การขึ้นผาแดงต้องใช้เวลาขึ้นลง 2 ชั่วโมงกว่า และส่วนมากจะต้องอยู่ดูวิวบนยอดเขาอีกเกือบๆ ชั่วโมง เท่ากับว่ามีคนทราบแล้วว่าผมจะไม่อยู่ในห้องพักประมาณ 3 ชั่วโมง และมีคนทราบด้วยว่าเมื่อผมลงมาจากผาแดงแล้วจะต้องรีบเร่งเก็บกระเป๋าเพื่อให้ทันขึ้นเรือ คนที่ทราบว่าผมจะขึ้นเรือก็ทราบด้วยว่าผมจะไปเมืองขวาที่อยู่ห่างออกไปครึ่งวัน
    คนทั่วไปจะดูซองเงินก่อนออกจากบังกะโลไหม ถ้าดูแล้วจะใส่ใจนับจำนวนเงินไหม อย่างดีเมื่อเห็นใบแดงๆ ในซองก็พอใจแค่นั้น ไม่ดูให้ละเอียดหรอกว่ามันพร่องไปหรือไม่ และคนทั่วไปอย่างผมหากไม่เอาเงินออกมาแลกก็คงไม่ตรวจนับด้วยซ้ำไป
    ตอนผมเข้าพักเมื่อ 2 วันก่อน ผมเข้าใจว่าผู้หญิงคนนี้เป็นลูกจ้าง เธอไม่รู้เรื่องการจองผ่านเว็บไซต์ เธอบอกว่าคนที่รู้เรื่องเป็นฝรั่ง ขณะนี้เดินทางไปต่างประเทศ คุยไปคุยมาเธอยืนยันว่าเธอนี่แหละเจ้าของ ฝรั่งเป็นคนทำระบบการจองผ่านเว็บไซต์ แต่ฝรั่งคนนั้นจะเป็นคนรักของเธอ เพื่อนผู้หญิงผู้ร่วมลงทุน หรือใครก็ตาม ผมไม่ได้เจาะลึก
    เกสต์เฮาส์มีที่พัก 2 แบบ คือแบบบังกะโลที่ผมเลือกพัก มีประมาณห้า-หกหลัง และแบบอาคารปูนชั้นเดียวซอยเป็นห้องๆ อีกจำนวหนึ่ง ในบริเวณที่พักนอกจากเธอที่เป็นชาวลาวแล้วก็มีลูกน้อยของเธออีกคน ที่เหลือเป็นแขกฝรั่ง 2 คู่ ล้วนเป็นฝรั่งเศส คู่หนึ่งเป็นแฟนกัน อีกคู่เป็นสองสาวพี่น้อง ที่รู้เพราะผมเป็นคนเจรจาค่าที่พักให้กับผู้หญิงเจ้าของเกสต์เฮาส์ด้วยตัวเอง พูดอีกทีก็คือผมมักคุ้นกับเธอแล้วในระดับหนึ่ง ซื้อน้ำเปล่าจากเธอ หยอกล้อกับลูกของเธอ ถามโน่นถามนี่กับเธอ แต่ตอนผมคืนกุญแจและกล่าวลา เธอไม่มองหน้า กลับหันไปเสียทางอื่น
    เจ้าคนรู้ระบบจองห้องพักทางเว็บไซต์ก็ไปต่างประเทศ ลูกน้อยเธอก็ยังเล็กนัก แม่สมจันผู้มีจิตใจเปี่ยมเมตตาบอกผมระหว่างอาหารมื้อหนึ่งว่า ยามนี้แม้จะเข้าฤดูท่องเที่ยวแล้ว แต่หนองเขียวยังมีฝรั่งน้อยมาก ผมมาคิดอีกที หากไม่ใช่มืออาชีพคนขโมยเงินก็ยังมีความปรานีต่อผม เหลือเงินไว้ให้ตั้ง 700 หยวน ผมจึงไม่อยากระบุชื่อที่พักเพื่อทับถมความยากลำบากเพิ่มเติมลงไปในชะตากรรม ใครเดินทางไปเที่ยวหนองเขียวแล้วเกิดต้องพักที่ฝั่งสบฮุนก็ระวังตัวกันหน่อยนะครับ
    อย่างไรก็ตาม จนถึงนาทีนี้ผมก็ยังขอยืนยันว่า โดยรวมแล้วคนลาวน่ารักกว่าชาติใดในโลก.


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"