ลาแล้วลาว ซินจ่าวเวียดนาม


เพิ่มเพื่อน    

(สภาพภูมิประเทศเมื่อเข้าสู่จังหวัดเดียนเบียนของเวียดนาม)

    “เฮลโล นักเดินทาง” ข้อความระบุ Travelers ไม่ใช่ Tourists ถูกใจผมยิ่งนัก “ข้อมูลสำหรับการเดินทางทั้งหมดอยู่ในตารางด้านบนนี้ แต่หากว่าคุณสนใจการเดินป่าปีนเขาเพื่อขึ้นไปเยี่ยมเยือนชาวเขา หรือหมู่บ้านในละแวกนี้ หรือทางเหนือขึ้นไป โปรดเขียนข้อความทิ้งไว้ในกระดาษใบนี้ เราจะกลับมาดูภายหลังและติดต่อกลับไป หรือจะอีเมลหาเราและโทรศัพท์ไปตามเบอร์ที่ให้ไว้ด้านบนนี้ก็ได้ ด้วยความยินดี, เมนี่แต๊งส์”
    สำนักงานท่องเที่ยวประจำเมืองขวาได้ปิดทำการไปแล้วตอนที่ผมมาถึงเมืองขวาในเวลาเกือบฟ้ามืด แต่เจ้าหน้าที่คงทราบดีว่ายังไงเสียก็ย่อมมีนักท่องเที่ยวที่มาถึงเมืองขวานอกเวลาราชการและต้องการข้อมูลอันจำเป็นสำหรับการเดินทาง จึงได้เขียนจดหมายเปิดผนึกด้วยปากกาลงในกระดาษเอ 4 ติดไว้ เว้นที่ว่างไว้ด้านล่างเผื่อใครอยากฝากข้อความ ส่วนตารางการโดยสารรถและเรือที่ผ่านเมืองขวานั้นพิมพ์เป็นตารางเคลือบพลาสติกกันน้ำไว้อย่างดี   

(รถบัสหลากสีที่สถานีขนส่งเมืองเดียนเบียนฟู)

    เมืองขวาเป็นเมืองเล็กๆ ในแขวงพงสาลี แขวงที่อยู่เหนือสุดของ สปป.ลาว ที่มาของชื่อเมืองขวาได้ยินว่าเพราะตั้งอยู่ฝั่งขวาของแม่น้ำอู จึงเรียกง่ายๆ ว่าเมืองขวา (หาใช่ “ขัว” ที่แปลว่าสะพาน) เมืองนี้เป็นทางผ่านสำหรับรถโดยสารที่เดินทางระหว่างเมืองทางเหนือของลาวกับเดียนเบียนฟูของเวียดนาม ใครจะต่อไปยังซาปาและหล่าวกายก็ไม่ยาก ส่วนมากแล้วนักท่องเที่ยวแวะพักที่เมืองขวาแค่คืนเดียวเท่านั้น

(สะพานแขวนเก่าแก่สำหรับข้ามน้ำพากเมืองขวา แขวงพงสาลี)

    สำหรับผู้ที่จะเดินทางไปเดียนเบียนฟู ข้อมูลการเดินทางเขียนไว้ว่ารถบัสออกจากสามแยกใกล้ๆ ตู้เอทีเอ็ม BCEL เวลา 07.00 น. หากพลาดเที่ยวเช้านี้ไปก็ยังจะมีบัสอีกหลายคันวิ่งผ่านสามแยกและจอดแวะรับเพื่อเดินทางต่อไปเดียนเบียนฟูตั้งแต่เวลาประมาณ 10.30 น. ถึง 14.00 น. ตั๋วซื้อบนรถได้เลย ค่ารถ 60,000 กีบ (ประมาณ 200 บาท) ระยะทาง 135 กิโลเมตร ใช้เวลาวิ่ง 4 ชั่วโมง

(ตุ๊กๆ ลาวที่สามแยกเมืองขวา รับผู้โดยสารไปส่งที่สถานีขนส่งประจำเมือง อยู่ห่างออกไป 2.5 กิโลเมตร)

    นอกจากนี้ก็ยังมีตารางการเดินทางโดยรถบัสจากเมืองขวาไปยังพงสาลี อุดมไชย หลวงน้ำทา และหลวงพระบาง โดยต้องนั่งตุ๊กๆ (มีลักษณะใกล้เคียงสองแถวมากกว่า) จากตัวเมืองขวานี้ไปยังสถานีขนส่งเมืองขวา ซึ่งอยู่ห่างออกไป 2.5 กิโลเมตร ล้วนออกเดินทางในเวลา 07.30 น. บางปลายทางมีมากกว่าวันละเที่ยว
    ส่วนใครจะไปเมืองงอยและหนองเขียวก็มีเรือล่องน้ำอู ออกเวลา 10.00 น. แต่ขอให้พร้อมกันที่ท่าเรือตั้งแต่เวลา 09.00-09.30 น. เรือจุผู้โดยสารได้สูงสุด 22 คน ค่าโดยสารจะต่างกันไปตามจำนวนผู้โดยสาร หากมากกว่า 10 คน ค่าตั๋ว 130,000 กีบ ผู้โดยสาร 5-6 คน ค่าตั๋ว 150,000 กีบ น้อยกว่า 4 คน ค่าตั๋ว 200,000 กีบ มากกว่า 22 คน จัดเรือ 2 ลำ สามารถนำจักรยานลงเรือได้ แต่ต้องจ่ายคันละ 180,000 กีบ ใครจะเหมาลำก็ไม่ว่าหากยอมจ่าย 1,300,000 กีบ หรือประมาณ 4,500 บาท ในตารางยังเขียนว่าสามารถเดินทางต่อไปยังหลวงพระบางได้ด้วย แต่ผมไม่แน่ใจว่าเวลานี้ยังจะสามารถทำได้หรือไม่ เพราะบริษัทจากจีนกำลังสร้างเขื่อนขวางระหว่างหนองเขียวและหลวงพระบาง หากยังมีอยู่ก็แสดงว่าต้องถ่ายคนจากเรือขึ้นรถที่เหนือเขื่อนเพื่อนำไปลงเรืออีกลำที่ด้านล่างเขื่อนแบบเดียวกับเส้นทางหนองเขียว-เมืองขวา
    ใกล้ๆ สามแยกเมืองขวาตอนเวลาใกล้มืด สตรีชาวฝรั่งเศสเดินเข้ามาคุยกับผม พูดอังกฤษคำฝรั่งเศสคำ คะเนอายุคงราวๆ 70 ปี เมื่อทราบว่าผมเพิ่งเดินทางมาจากหนองเขียวแกก็อยากได้ข้อมูล แกท่องจำและทวนคำให้ผมฟังเพื่อตรวจสอบความถูกต้อง
    ระหว่างเดินทางในลาว ผมเจอชาวฝรั่งเศสมากกว่าชาติใดๆ หลายคนอายุมากแล้ว แม้ว่าพวกเขาอาจจะเกิดไม่ทันตอนที่ฝรั่งเศสยังยึดครองลาว แต่ดูเหมือนว่ามีสายสัมพันธ์อะไรกันอยู่ หลังลาวกลายเป็นประเทศคอมมิวนิสต์ได้มีคนลาวอพยพลี้ภัยไปอยู่ฝรั่งเศสเป็นจำนวนมาก ผมรู้จักพี่คนไทยคนหนึ่งที่โดดร่มในฝรั่งเศส แกแอบอ้างว่าเป็นลาวอพยพ สามารถทำบัตร ทำงาน ตกงานก็รับเงินชดเชย ใช้ชีวิตอยู่ในปารีสได้ตั้งหลายปีก่อนจะเบื่อแล้วกลับเมืองไทยมาเอง
    โดยรวมๆ ถือว่าลาวไม่ได้แค้นเคืองฝรั่งเศสเหมือนอย่างที่ชาวเวียดนามทั่วไปรู้สึก นอกจากค่าครองชีพไม่สูงและธรรมชาติที่ยังบริสุทธิ์แล้ว ลาวยังเป็นดินแดนที่ถือว่ามีความปลอดภัยในการเดินทาง เอาเป็นว่าปลอดภัยกว่าการเดินทางในฝรั่งเศสหลายเท่าก็แล้วกัน จึงไม่แปลกที่ได้เห็นคนฝรั่งเศสเดินทางท่องเที่ยวในลาวอยู่ทุกหัวระแหง
    ยามค่ำคืนในเมืองขวานั้นค่อนข้างเงียบเชียบ ยกเว้นทิศทางที่จะลงไปยังแม่น้ำอู ใกล้ๆ ท่าเรือ มีกลุ่มวัยรุ่นตั้งวงครื้นเครงกันอยู่ คาดว่าจะทะลุดีกรีไปพอสมควรแล้ว หญิงชายหลายคนลุกขึ้นเต้นโหยงเหยงประกอบจังหวะเพลงของพี่เสก โลโซ และวงคาราบาวผ่านลำโพงยักษ์เสียงดังสนั่น
    ผมไม่มีทางเลือกสำหรับมื้อค่ำมากนัก แวะที่ร้านชื่อลาวสมัย เยื้องๆ กับคณะเต้นรำที่กำลังวาดลวดลายกันอยู่ เปิดเมนูแล้วไม่มีอะไรน่าสนใจ สั่งฟิชแอนด์ชิปกินกับโอวัลตินร้อน ปรากฏว่าเป็นฟิชแอนด์ชิปลูกผสมอังกฤษ-ลาว กุ๊กสาวหั่นปลาเป็นแผ่นบาง ชุบแป้งและไข่ ทอดออกมาเหมือนไข่เจียวมีมันเยิ้ม ตอนกินไม่รู้สึกว่ามีเนื้อปลาอยู่ข้างใน ส่วนมันทอดพอกินได้ แต่ก็มันเยิ้มอีกเช่นกัน ถึงบ่นอยู่ในใจสุดท้ายก็หมดเกลี้ยงทั้งจาน เพราะวันนี้นั่งเรือมาไกลและมื้อกลางวันมีเพียงข้าวเหนียวคลุกมะพร้าวขูดและกล้วยสาม-สี่ลูก
    คืนนี้งดดื่มเบียร์ เพราะยังไงก็จะหลับลงได้ไม่ยากเย็นด้วยความอ่อนเพลีย อีกทั้งไม่คิดที่จะตื่นให้ทันรถเที่ยว 7 โมงเช้า และเมื่อตื่นขึ้นก่อน 7 โมงนิดหน่อย ผมก็นอนต่อจนถึง 7 โมงครึ่ง เพื่อให้เลยเวลารถออก จะได้ไม่พะว้าพะวังกังวลใจ คราวนี้ก็ไปลุ้นรถเที่ยวสายจนถึงบ่าย เอาเวลาเช้านี้ไปเดินเล่นดีกว่า กินคุ้กกี้เสบียงติดกระเป๋า กล้วย 1 ลูก และกาแฟทรีอินวันของเกสต์เฮาส์จะเลินสุกบนระเบียงชั้น 2 มองภาพขุนเขาและชีวิตยามเช้าของชาวเมืองขวาด้วยความเพลิดเพลินขณะอุณหภูมิประมาณ 20 องศา แล้วก็ได้เวลาเข้าห้องน้ำทำธุระสำคัญก่อนเดินออกไปสำรวจเมือง

(น้ำพากไหลไปสมทบกับน้ำอูหลังสะพานซีเมนต์ส่วนหนึ่งของถนนหลวงสาย 2E ถนนนี้เชื่อมไปถึงเดียนเบียนฟู)

    ผมแวะสนทนากับเจ้าหน้าที่สำนักงานท่องเที่ยวเพื่อความมั่นใจว่าจะยังมีรถให้ได้ไปเดียนเบียนฟูในวันนี้ จากนั้นเดินเลยสามแยกเข้าซอยบ้านสะหลองไซ ตรงไปยังสะพานข้ามแม่น้ำพาก มีแท่งปูนก่อเรียงขึ้น 3 แท่งหน้าสะพานเพื่อกันมอเตอร์ไซค์ผ่าน สะพานนี้เป็นสะพานแขวนเก่าแก่ประจำเมือง พื้นเป็นไม้กระดานเรียงตามขวาง ราวสะพานเป็นโครงเหล็กและลวดเหล็ก เวลาย่ำไปบนพื้นก็จะโยกเยกแกว่งไกวพอให้ระทึกนิดๆ แต่พื้นสะพานไม่ได้ลอยสูงจากแม่น้ำพากมากนักจนถึงขั้นขาสั่น มองไปทางซ้ายจะได้วิวน่าชม แม่น้ำพากไหลลอดสะพานซีเมนต์ ส่วนหนึ่งของถนนหลวงสาย 2E (เชื่อมไปถึงเดียนเบียนฟู) สมทบกับแม่น้ำอูที่อยู่ถัดไปนิดเดียว มีแนวภูเขาดูคล้ายลอนคลื่นเป็นฉากหลัง หมอกเช้ายังห่มคลุมบางๆ  
    อีกฝั่งของสะพานมีสภาพเป็นชนบทกว่าละแวกสามแยกอยู่หลายช่วงตัว ส่วนใหญ่เป็นบ้านชั้นเดียว ปลูกเสร็จครึ่งๆ กลางๆ บ้างก็เป็นเพิงง่ายๆ ไก่หนุ่มไก่สาวเดินหามื้อเช้ากันอยู่ริมถนนครึ่งยางมะตอย-ครึ่งดิน เด็กชายวัยประมาณ 3 ขวบนั่งเล่นโทรศัพท์มือถืออยู่หน้าบ้าน โดยรวมแลดูค่อนข้างเงียบ ผู้คนคงออกไปนาไปไร่กันหมดแล้ว
    ไม่นานผมเดินข้ามสะพานกลับฝั่ง เจอลุงออสเตรเลียที่โดยสารเรือมาด้วยกันวานนี้ยังใส่เสื้อและกางเกงตัวเดิมได้แต่ทักทายไปตามมารยาท ก่อนจะเลี้ยวเข้าซอยเฮือนพักจะเลินสุกก็เจอยายฝรั่งเศสคนเดิม เมื่อวานผมนึกว่าแกเดินทางคนเดียว แต่เช้าวันนี้เห็นสามีวัยเดียวกันนั่งอยู่เคียงข้างหน้าเกสต์เฮาส์ ใกล้ๆ สำนักงานท่องเที่ยว กำลังเตรียมตัวจะเดินไปลงเรือมุ่งหน้าสู่หนองเขียว ผมสังเกตเห็นน่องขาของยายฝรั่งเศสเต็มไปด้วยรอยแดงเป็นจุดๆ นับไม่ถ้วน ตัวแกเองก็ไม่รู้ว่าโดนตัวอะไรกัด ฝ่ายสามีบอกว่าได้ทายาหม่องให้อาการค่อยดีขึ้นบ้าง
    ผมมียาหม่องตราเสือในกระเป๋า 2 กระปุก กะว่าจะแบ่งให้ยายฝรั่งเศสไปสำรองไว้สักกระปุก กลับไปค้นในกระเป๋า ปรากฏว่าหมดอายุไปแล้ว 1 กระปุก จึงอดแสดงน้ำใจไทยแลนด์ เพราะจำเป็นต้องเก็บไว้ใช้เอง
    ก่อนจะออกจากเกสต์เฮาส์ ผมเข้าห้องน้ำอีกรอบปรากฏว่าน้ำไม่ไหล ยังดีที่มีกระดาษทิชชู่ ส่วนข้าศึกร้ายก็ปิดฝาข่มไว้ไม่ให้แสดงพิษสง ออกมาถามพนักงานทำความสะอาดก็ได้ความว่าน้ำจะไม่ไหลระหว่าง 8 โมงเช้าถึง 4 โมงเย็นของทุกวัน แต่เมื่อวานตอนเช็กอินไม่มีใครแจ้งผมเลย เป็นอันว่าหมดสิทธิ์อาบน้ำ เก็บกระเป๋าแล้วก็คืนกุญแจห้อง เดินไปรอรถบริเวณสามแยก มีร่มสีแดงกางไว้กันแดดและเก้าอี้พลาสติกจำนวนหนึ่งไว้นั่งรอรถ ซื้อปีกไก่ทอดเย็นชืดมากินรองท้อง 2 ชิ้น เวลา 11 โมง รถมินิบัสสีเหลืองวิ่งเข้ามาจอด หน้ารถเขียนว่า Dien Bien Phu
    ผู้หญิงคนหนึ่งเดินลงมาจากรถ ส่งยิ้มเชิงคำถาม ผมก็อ่านออกมาเป็นคำพูด “คนไทยหรือเปล่าครับ?” แกนั่งมาจากเมืองไชย แขวงอุดมไชยเมื่อเช้านี้พร้อมกับพี่ผู้ชายคนไทยอีกคนผู้ที่ถือเบียร์กระป๋องเขียวแต้มดาวแดงลงมาด้วย สอบถามได้ความว่าเข้าลาวมาจากอำเภอเชียงของ จังหวัดเชียงราย ขึ้นไปเที่ยวหลวงน้ำทา แล้วต่อมาที่อุดมไชย จะไปสุดการเดินทางที่เดียนเบียนฟู
    รถจอดให้ผู้โดยสารเข้าห้องน้ำในร้านอาหารตรงสามแยกราว 10 นาที โชเฟอร์ก็เรียกให้ขึ้นรถ ผมหันไปเห็นตาข่ายหลังเบาะตัวหนึ่งมีกระป๋องเบียร์บู้บี้เสียบอยู่สอง-สามกระป๋อง พี่คนไทยขึ้นมาพอดีก็แซวแกว่า “เติมมาตลอดทางเลยหรือครับ” แกบอกว่าบรรยากาศชวนให้ดื่ม
    โชเฟอร์สตาร์ทเครื่อง เสียงเพลงดังออกมาจากลำโพง “หากฉันเพ่งมองตาเธอให้ลึกหน่อย อย่างน้อยอาจทำให้ต้องเฉลียวใจ ว่ามีความหมายใด ซ่อนในดวงฤทัย บ่งบอกความในใจที่ดวงตา....” ผมเสียดายที่ไม่ได้ซื้อติดมือขึ้นมาอย่างน้อยสักกระป๋องก็ยังดี
    บทเพลงของครูสุเทพ วงศ์กำแหง โดยเสียงของนักร้องหญิง คาดว่าจะเป็นคุณวิภา จันทรกูล ย่อมทำให้คนที่เคยฟังมาก่อน แม้เรื่องราวในชีวิตจะไม่ตรงกับเนื้อเพลงเสียทีเดียวก็ต้องครั่นเนื้อครั่นตัว จิตใจเตลิดย้อนเวลากันเอาได้ง่ายๆ  
    จบเพลง “ความในใจ” แล้วก็ยังตามมาด้วยเพลงในยุค 80-90 ไม่หยุดหย่อน ศิลปินที่ทยอยกันมามอบภาพขาวดำ มีตั้งแต่ อิทธิ พลางกูร อัสนี-วสันต์ อริสมันต์ พงษ์เรืองรอง อุเทน พรหมมินทร์ เรวัติ พุทธินันทน์ นิตยา บุญสูงเนิน จนกระทั่งมินิบัสไต่ขึ้นเขามาจอดพักที่สถานีขนส่งเมืองใหม่ ครึ่งทางระหว่างเมืองขวาและชายแดนลาว-เวียดนาม เมื่อได้จังหวะผมก็ถามพี่คนไทยว่าเตรียมซีดีเพลงมาให้โชเฟอร์เปิดหรืออย่างไร แกตอบว่าเขาเปิดของเขาเอง

(พาหนะประจำกายของคณะนักปั่นชาวตะวันตกที่ด่านชายแดนสบฮุน สปป.ลาว)

    มินิบัสแวะพักให้ผู้โดยสารและโชเฟอร์ได้กินมื้อเที่ยง คนลาวกินข้าวในร้านอาหารติดกับสถานีขนส่ง พี่คนไทยทั้งสองห่อข้าวมาจากอุดมไชย ผมเดินไปซื้อนมมากิน 2 กล่องเล็ก และกล้วยจากแม่สมจันแห่งหนองเขียว 2 ลูกสุดท้าย พักอยู่ครึ่งชั่วโมงก็เดินทางต่อไปยังด่านชายแดนสบฮุน ด่านนี้เป็นด่านสำหรับรถโดยสาร ลงรถไปปั๊มตราออกจากลาว จากนั้นมินิบัสวิ่งอีกหลายกิโลเมตรกว่าจะถึงด่านเตยจางของเวียดนาม เราตรวจเอกสารผ่านแล้วไปนั่งรอนอกอาคารก็ถูกเรียกกลับไปเอากระเป๋าเดินทางลงจากมินิบัสเพื่อนำเข้าเครื่องสแกน นอกจากนี้เจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองเวียดนามได้ขึ้นไปตรวจค้นบนรถเพื่อความถี่ถ้วนอีกขั้น

(มินิบัสเพลงเพราะวิ่งมาจากอุดมไชยแวะรับผู้เขียนที่สามแยกเมืองขวา ปลายทางอยู่ที่เมืองเดียนเบียนฟู)


    เราเข้าเขตจังหวัดเดียนเบียน มินิบัสเลาะไปตามไหล่เขาอยู่อีกพักใหญ่ วิวสวยแต่ก็ดูน่าหวาดเสียวอยู่ไม่น้อย กระทั่งลงมายังพื้นราบกลางหุบเขา ถนนตัดทุ่งนากว้างใหญ่ แบ่งซีกซ้าย-ขวา เมื่อเกือบ 60 ปีก่อนคือสมรภูมิรบสำคัญที่ผลของยุทธการในครั้งนั้นได้ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงสำคัญในประวัติศาสตร์เวียดนาม, ประเทศนักล่าอาณานิคม และการเมืองโลก
    มินิบัสจอดที่สถานีขนส่งเมืองเดียนเบียนฟูในเวลาบ่าย 3 โมง กองทัพแท็กซี่และมอเตอร์ไซค์รับจ้างเข้ามาสอบถาม บ้างก็เสนอห้องพัก ผมชี้แจงว่าจองไว้แล้ว ใกล้ๆ นี่เอง พวกเขาไม่ตื๊อ หรือสร้างความรำคาญใดๆ
    แดดเมืองนี้ดูเป็นมิตร สายลมที่พัดมาวูบหนึ่งก็รู้สึกว่าอัธยาศัยดี สารภาพว่าผมอยากมาเยือนเดียนเบียนฟูตั้งนานแล้ว.


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"