ชงโทษหนักเมาขับชนตาย เตือนมีสติหวังลดอุบัติเหตุ


เพิ่มเพื่อน    

 "บิ๊กตู่" ตรวจความพร้อมขนส่งหมอชิต รองรับ ปชช.เดินทางช่วงปีใหม่ เตือนให้มีสติหวังช่วยลดอุบัติเหตุเป็นศูนย์   "มูลนิธิเมาไม่ขับ" เสนอแก้ กม.เมาขับชนคนตายติดคุกไม่รอลงอาญา ตร.ระดมกำลัง 8 หมื่นนายดูแล เส้นทางสายเหนือ-อีสานรถเริ่มหนาแน่น "บุรีรัมย์" เปิดทางพิเศษช่องเขาตากิ่วช่วยระบายรถเพิ่ม

    ที่อาคารผู้โดยสารภาคกลาง ชั้น 1 สถานีขนส่งหมอชิต วันที่ 26 ธ.ค. เวลา 16.00 น. พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม เดินทางมาเป็นประธานในพิธีเปิดงานรณรงค์ลดอุบัติเหตุปีใหม่ "ปลอดภัย เมาไม่ขับ" โดยมี พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย, นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกฯ และ รมว.สาธารณสุข, นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รมว.คมนาคม, นายอธิรัฐ รัตนเศรษฐ รมช.คมนาคม, นายถาวร เสนเนียม รมช.คมนาคม และ น.พ.แท้จริง ศิริพานิช เลขาธิการมูลนิธิเมาไม่ขับ ประธานคณะกรรมการจัดโครงการปีใหม่ เมาไม่ขับ  
    นพ.แท้จริงรายงานว่า สถิติอุบัติเหตุเทศกาลปีใหม่เมื่อปี 2562 พบว่ามีคนไทยเสียชีวิต 463 คน บาดเจ็บ 3,892 คน สาเหตุหลักใหญ่เกิดจากการเมาแล้วขับ ขับรถเร็ว ง่วงแล้วขับ และขับรถตัดหน้ากระชั้นชิด การไม่สวมหมวกกันน็อก การฝ่าฝืนสัญญาณไฟจราจร
    นพ.แท้จริงกล่าวว่า มูลนิธิเมาไม่ขับได้ทำหนังสือถึง พล.อ.ประยุทธ์และนายไสลเกษ วัฒนพันธุ์ ประธานศาลฎีกา เพื่อขอเสนอให้พิจารณาแก้ไขบทลงโทษผู้ที่เมาแล้วขับชนคนตาย จากจำคุกตั้งแต่ 3-10 ปี เป็นจำคุกตั้งแต่ 12-15 ปี แม้ผู้ก่อเหตุรับสารภาพและศาลลดโทษให้กึ่งหนึ่ง ก็ยังต้องถูกจำคุกอย่างน้อย 5 ปี ซึ่งตามกฎหมายไม่สามารถรอลงอาญาได้ อันจะส่งผลให้ผู้ที่เมาแล้วขับเกิดความเกรงกลัวมากกว่าปัจจุบัน เนื่องจากมีบทลงโทษที่รุนแรง ไม่ว่าบุคคลนั้นจะมีฐานะเช่นไร ก็จะได้รับโทษที่รุนแรงคือโทษจำคุกเสมอหน้ากัน
    "นอกจากนี้แล้ว ในช่วงเทศกาลปีใหม่ที่จะมาถึงนี้ ทางมูลนิธิได้เสนอให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) ดำเนินการกับสถานประกอบการ ร้านค้าที่จำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ให้กับเด็กอายุต่ำกว่า 20 ปี ดื่มกินแล้วไปเกิดอุบัติเหตุเสียชีวิต ซึ่งที่ผ่านมาสถานประกอบการร้านค้าไม่ได้รับบทลงโทษใดๆ ทั้งที่กฎหมายห้ามจำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ให้กับเด็กที่อายุต่ำกว่า 20 ปี" นพ.แท้จริงกล่าว
    ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ทันทีที่นายกรัฐมนตรีฟังรายงานจาก นพ.แท้จริงเสร็จ ก็ได้กล่าวแซวว่า "ถ้าไม่แน่จริงคงไม่ชื่อนี้ ผมอยากจะเปลี่ยนชื่อเหมือนกัน เป็นจริงใจ เข้าท่าไหม เพราะใจนายกฯ ไม่มีอะไร มีแต่อยากให้ทุกคนปลอดภัยและเดินไปข้างหน้า"
    จากนั้น พล.อ.ประยุทธ์กล่าวเปิดงานว่า สำหรับมาตรการป้องกันและดูแลความปลอดภัยนั้น ไม่ใช่แค่เทศกาลปีใหม่ แต่ต้องหามาตรการที่เหมาะสมทุกอย่าง โดยการผสมผสานบูรณาการจากเจ้าหน้าที่ทั้งหมด รวมถึงในเรื่องการจราจรและการบังคับใช้กฎหมาย ซึ่งตนเห็นยังมีความขัดแย้งบ้าง เช่น เมาแล้วบอกไม่เมา ขนาดเป่าแล้วเดินไม่ตรงก็ยังบอกไม่เมา เจ้าหน้าที่ก็โดนเล่นงาน แต่ตอนนี้ดีที่มีกล้องจำนวนมาก 
    "ขออย่าขัดแย้ง แต่ต้องช่วยกันป้องปราม ที่สำคัญคือต้องแก้ที่ต้นทาง ขณะที่วันนี้มีการสูญเสีย 30 ต่อ 1 แสนคน ซึ่งตามปฏิญญามอสโกต้องลดลงให้เหลือ 20 คน แต่สำหรับผมไม่ว่าจะ 10 คน หรือ 20 คน หรือจำนวนเท่าไหร่ ก็รู้สึกเสียใจทั้งสิ้นที่เห็นคนพิการนั่งรถเข็น อีกทั้งการสูญเสียก็มีทั้งผู้ขับขี่มอเตอร์ไซค์ รถส่วนตัวและรถโดยสาร ทั้งหมดเป็นสิ่งที่ไม่ควรสูญเสียต่อไป" พล.อ.ประยุทธ์กล่าว
บิ๊กตู่ย้ำมีสติลดอุบัติเหตุ
    นายกฯ กล่าวว่า ต่อให้มีเครื่องมือมากมายหรือมีมาตรการใดออกมาก็ไม่สามารถแก้ไขได้ หากไม่เริ่มแก้ที่จิตสำนึกทุกคน โดยยึด 3 อย่าง คือ รักตัวเอง รักครอบครัว และรักคนอื่นที่ขับรถบนท้องถนน ต้องไม่ดื่มแล้วขับ โดยเฉพาะพลขับ เพราะไม่ได้ตายคนเดียว จะพาคนอื่นตายด้วย จึงต้องรับผิดชอบคนอื่นด้วย 
    "ทุกคนต้องมีสติ ไม่เช่นนั้นพระก็ช่วยไม่ได้ ถ้าขับเกิน 80 พระไม่อยู่หลวงพ่อคูณก็กระโดดแล้วบอกกูก็ไม่อยู่หรอก อย่างไรก็ตาม ปัญหาทุกปัญหาเกี่ยวพันยึดโยงกันทั้งหมด ซึ่งปัญหาประเทศชาติมีมากมาย รัฐบาลพยายามทำทุกอย่าง แต่ทุกอย่างต้องแก้ด้วยความร่วมมือพวกเราทุกคน ผมคาดหวังว่าปีใหม่นี้ต้องลดอุบัติเหตุและความสูญเสียให้ได้มากที่สุดเป็น 0 เปอร์เซ็นต์ จะได้หรือไม่ ซึ่งตอนนี้เริ่มติดตามผลแล้ว ขอให้ลดให้ได้มากที่สุด หรือไม่ให้เกิดขึ้นเลย" นายกฯ กล่าว
    พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้รับสั่งถึงความห่วงใยมาถึงประชาชนชาวไทย ดังนั้นขอให้ทุกคนช่วยรักษาความปลอดภัยในทุกเทศกาล โดยต้องลดการบาดเจ็บสูญเสียให้ได้ ขอให้ทุกคนน้อมรับไว้ใส่เกล้าฯ ซึ่งปี 63 ขอของขวัญปีใหม่คนไทยทุกคน ให้มีสติ ขับรถปลอดภัย ไม่ดื่มสุรา ไม่คุยโทรศัพท์ขณะขับรถ รวมถึงพฤติกรรมเสี่ยงต่างๆ ถ้าทำได้ ปีใหม่จะเป็นเทศกาลแห่งความสุขอย่างแท้จริง และหวังว่าปีหน้าเราจะมีความสุขมากกว่าปีนี้ ซึ่งความสุขอยู่ที่ใจ และอยู่ที่ความพอเพียง ซึ่งน่าจะภาคภูมิใจมากกว่าคนรวยที่ทุจริต นอกจากนี้เน้นย้ำเรื่องการขับรถเร็ว และขับอย่างคึกคะนอง ขณะที่รถทัวร์โดยสารตนอยากฝากให้ช่วยคิดว่า รถมีความสูงเกินไปไม่เหมาะเดินทางไกลหรือไม่ ควรปรับให้ปลอดภัยขึ้น
    "ผมไม่พูดอะไรให้เสียหาย แต่เราทุกคนต้องปรับตัว ทั้งรัฐ เอกชนและประชาชน เพราะวันนี้โลกไม่เหมือนเดิม ขอให้เทศกาลปีใหม่นี้เป็นเทศกาลแห่งความสุขและความปลอดภัยบนท้องถนน และมีความสุขกันที่บ้าน วันนี้ทุกอย่างต้องสร้างความเข้าใจ เราจะขัดแย้งกันไม่ได้อย่างแท้จริง นอกจากนี้ได้ย้ำฝ่ายความมั่นคงและขอบคุณเจ้าหน้าที่ทุกคนที่เสียสละ รวมถึงกำลังทหารกว่าหมื่นนายที่ดูแลชายแดน เขาอยู่มาเป็นปีๆ ไม่ได้กลับบ้าน ถือเป็นการเสียสละ ถ้าไม่มีเขาก็ไม่มีเรา มีการสูญเสียมากกว่านี้ รวมถึงเรื่องอธิปไตยอะไรต่างๆ เพราะนี่คือครอบครัวคนไทย ใครตายแม้แต่คนเดียวผมเสียใจ เพราะทุกคนเป็นคนไทย" พล.อ.ประยุทธ์กล่าว
    จากนั้น นายกรัฐมนตรีได้เดินทักทาย รวมทั้งเยี่ยมบูธต่างๆ ที่มาให้บริการประชาชน ก่อนเดินไปดูการทดลองการตรวจวัดปริมาณแอลกอฮอล์ของผู้ขับขี่บริเวณชานชาลา 1-3 โดยได้ทำการตรวจวัดนายจงกลรัตน์ ฉ่ำมณี พนักงานขับรถดีเด่นของบริษัท ขนส่ง จำกัด (บขส.) ที่ผ่านการฝึกอบรม ซึ่งจากการทดสอบก็ผ่านเกณฑ์ ต่อมา พล.อ.ประยุทธ์ได้ทดลองเป่าเครื่องตรวจวัดแอลกอฮอล์ด้วยตนเอง พร้อมกับกล่าวทีเล่นทีจริง
    "ยังไงก็ชัวร์ ชัวร์ว่าไม่เมาเหล้า หลายคนบอกผมเมาหมัด ระวังเถอะ ระวัง” จากนั้นนายกฯ ได้เป่า และพบว่าปริมาณแอลกอฮอล์เป็นศูนย์ "แต่จริงๆ ผมว่าน่าจะติดลบด้วยซ้ำไป เพราะไม่ได้ดื่มเหล้า" นายกฯ กล่าว
    ผู้สื่อข่าวรายงานว่า พล.อ.ประยุทธ์ยังได้ทดลองเครื่องป้องกันการหลับใน ซึ่งจะสั่นเมื่อผู้ขับขี่หลับและสัปหงก ก่อนที่จะขึ้นไปบนรถ บขส. เพื่อตรวจความเรียบร้อย และเดินขึ้นมาบนชั้น 3 ของอาคารผู้โดยสาร ซึ่งเป็นชั้นพักคอยของผู้โดยสารเพื่อเดินทางต่อไปยังภาคตะวันออกเฉียงเหนือ โดยได้เดินทักทายพร้อมแจกชุดยาสำหรับเดินทางรวมทั้งลูกอมให้กับผู้โดยสาร 
    นายกฯ กล่าวตอนหนึ่งว่า อีสานบ้านเฮา ตนก็เป็นคนอีสาน แต่เว้าไม่ค่อยได้ ลืมเกือบหมดแล้ว แต่กินปลาร้าเป็น กินข้าวเหนียวแล้วต้องจับหู ก่อนจะอวยพรขอให้ทุกคนเดินทางปลอดภัย และมีความสุขตลอดไป พร้อมขอบคุณเจ้าหน้าที่ทุกคนที่ทำงานอย่างเหน็ดเหนื่อยแสนสาหัสในช่วงเทศกาลปีใหม่ ขอให้รักประเทศชาติ รักประเทศไทย และระวังกระเป๋า อย่าให้ถูกมิจฉาชีพขโมย
ตร.8หมื่นนายดูแลปชช.
    อย่างไรก็ดี ช่วงหนึ่งระหว่างเดินทักทายมีประชาชนแสดงออกผ่านสีหน้าว่าไม่พอใจ โดย พล.อ.ประยุทธ์ได้ยื่นของที่ระลึกให้ ซึ่งประชาชนรายนั้นก็รับของไว้ และนายกฯ ถามว่า “เบื่อนายกฯ ใช่ไหม” ซึ่งประชาชนคนดังกล่าวพยักหน้ารับ จากนั้นนายกฯ กล่าวว่า “เบื่อใช่ไหม โอเค ไม่เป็นไร คุณเบื่อผมอย่างไร ผมก็เบื่อคุณไม่ได้ เพราะคุณเป็นคนไทย จำไว้ ไม่เป็นไร ขอบคุณที่เบื่อ"
    วันเดียวกัน ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข รอง ผบ.ตร. เป็นประธานเปิดศูนย์อำนวยการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนช่วงเทศกาลปีใหม่ 2563 ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ
    พล.ต.อ.สุวัฒน์กล่าวว่า ตั้งแต่วันที่ 26 ธ.ค.62 เจ้าหน้าที่ตำรวจเกือบ 80,000 นาย และภาคีเครือข่ายพร้อมปฏิบัติงานลดอุบัติเหตุในช่วงปีใหม่อย่างเต็มรูปแบบ โดยทางศูนย์ฯ จะติดตามสภาพการเดินทางของประชาชนอย่างใกล้ชิด และดำเนินการต่อเนื่องถึงวันที่ 3 ม.ค.2563 ซึ่งจากการติดตามขณะนี้ยังไม่พบปัญหาในเส้นทางใด แต่จะเฝ้าระวังใกล้ชิดในเส้นทางที่มักมีปัญหาการจราจรติดขัด เช่น ช่วงถนนมิตรภาพ กลางดง รวมถึงในพื้นที่จังหวัดที่มีตัวเลขการสูญเสียสูง 
    "แม้จะเริ่มมีการเดินทางแล้ว และคาดว่าวันที่ 27 ธ.ค. จะมีการเดินทางมากขึ้น ซึ่งจะเน้นประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนรับทราบถึงเส้นทางรอง เส้นทางเลี่ยง และเตรียมเปิดช่องทางพิเศษไว้แล้ว จึงขอให้ประชาชนศึกษาเส้นทางก่อนเดินทางด้วย สำหรับปีนี้ได้สั่งการให้จัดพนักงานสอบสวนส่วนหน้าประจำในเส้นทางหลัก กรณีที่หากเกิดปัญหาหรืออุบัติเหตุ ให้เข้าไปถ่ายรูป ถ่ายคลิปวิดีโอ พร้อมเร่งคลี่คลายสถานการณ์แยกคู่กรณีโดยเร็วที่สุด เพื่อไม่ให้เป็นปัญหาการจราจร" พล.ต.อ.สุวัฒน์กล่าว
    รอง ผบ.ตร.กล่าวว่า ในส่วนการตั้งด่านในช่วงปีใหม่ จะเน้นถนนสายรอง เพื่อบังคับใช้กฎหมาย โดยเฉพาะ 10 ข้อหาหลัก และการตรวจวัดแอลกอฮอล์ เพื่อให้เกิดความปลอดภัย เพราะจากสถิติปีที่ผ่านๆ มา อุบัติเหตุส่วนใหญ่มักเกิดมากบนถนนสายรอง รวมทั้งเพื่อไม่ให้กระทบการจราจรบนถนนสายหลักด้วย ส่วนมาตรการยึดรถจากผู้เมาแล้วขับ ได้ให้เป็นดุลพินิจของพนักงานสอบสวน หากจำเป็นหรือเห็นว่ารถนั้นๆ เป็นหลักฐานในการกระทำความผิด ก็ให้ดำเนินการยึดไว้
    "ตำรวจจะเพิ่มการตั้งด่าน จุดสกัด ทั้งเพื่อความปลอดภัย ความมั่นคง และป้องกันการแข่งรถในทางสาธารณะ รวมทั้งทางการข่าวยังไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง แต่เพื่อให้เกิดความมั่นใจ ตำรวจพร้อมดูแลความปลอดภัยการจัดงานปีใหม่และสวดมนต์ข้ามปีอย่างเต็มที่" รอง ผบ.ตร.กล่าว
    ด้าน พล.ต.ท.อำพล บัวรับพร ผบช.ภ.1 แถลงผลการระดมกวาดล้างตรวจค้นเครือข่ายยาเสพติดและอาวุธปืนก่อนช่วงเทศกาลปีใหม่ว่า สามารถจับกุมผู้ต้องหาคดียาเสพติด 487 คน ในจำนวนนี้มี 15 เครือข่าย ผู้ต้องหารายสำคัญ 25 ราย ผู้ต้องหาในคดีสมคบ 11 ราย พร้อมยึดของกลางยาบ้า 13,096 เม็ด, ไอซ์ 2,627.09 กรัม, กัญชา 68 กิโลกรัม 365.60 กรัม, พืชกระท่อม 3,418.40 กรัม, เคตามีน  661.35 กรัม และยังตรวจยึดอาวุธปืน 11 กระบอก, กระสุนปืน จำนวน  77 นัด ยึดทรัพย์สินรวมมูลค่า 12,209,816 บาท
    "เป็นการดำเนินการตามมาตรการเชิงรุก เน้นปราบปรามยาเสพติดเครือข่ายรายสำคัญในพื้นที่ ที่ผ่านมาได้มีการสืบสวนขยายผลจากผู้เสพไปยังผู้ค้ารายย่อย ผู้ค้าระดับหมู่บ้าน ตำบล อำเภอ ถึงระดับจังหวัด และผู้กระทำผิดที่อยู่ในเรือนจำ จนนำไปสู่การรวบรวมพยานหลักฐานเพื่อขอศาลออกหมายจับในข้อหาสมคบและสนับสนุน และศาลได้ออกหมายจับผู้กระทำผิด ซึ่งผู้กระทำผิดในข้อหานี้ส่วนใหญ่อาจไม่ได้เกี่ยวข้องกับของกลางในรูปแบบตัวยาโดยตรง แต่จะเกี่ยวข้องในลักษณะมีความสัมพันธ์ทางการเงิน ไปจนถึงระดับสั่งการ ส่วนเครือข่ายยาเสพติดแฝดทมิฬ ในพื้นที่จังหวัดสระบุรีและลพบุรี ที่แม้ว่าคู่แฝดจะถูกวิสามัญฯ ไปแล้ว แต่ก็ยังมีเครือข่ายที่เหลือยังอยู่ยังกระจายตัวลักลอบค้ายาเสพติด" ผบช.ภ.1 กล่าว
เส้นเหนือ-อีสานเริ่มคึกคัก
    ขณะที่ในช่วงค่ำวันที่ 26 ธ.ค. เส้นทางขึ้นเหนือถนนสายเอเชียเริ่มมีปริมาณรถทยอยเดินทางออกจากกรุงเทพฯ กลับภูมิลำเนา และเดินทางท่องเที่ยวหนาแน่นขึ้น โดยเฉพาะจังหวัดอ่างทอง ตั้งแต่เขตรอยต่อของอำเภอมหาราช จังหวัดพระนครศรีอยุธยา  ตลอดเส้นทางผ่านอำเภอไชโย ก่อนเข้าเขตของอำเภอพรหมบุรี  จังหวัดสิงห์บุรี การจราจรเริ่มกลับมาคึกคัก มีรถเพิ่มปริมาณเป็นจำนวนมาก แต่ยังสามารถเคลื่อนตัวได้ตามปกติ โดยความเร็วอยู่ที่ 80-90 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ซึ่งประชาชนบางส่วนเริ่มหยุดงาน และการลาพักผ่อนล่วงหน้า ต่างได้พากันทยอยเดินทางด้วยรถยนต์ส่วนตัวและรถโดยสารสาธารณะเพื่อเดินทางกลับบ้านและท่องเที่ยวหลีกเลี่ยงการจราจรในวันที่ 27 ธ.ค. ที่คาดว่าจะมีจำนวนรถปริมาณมาก
    ส่วนเส้นทางภาคอีสาน จังหวัดบุรีรัมย์ร่วมกับจังหวัดสระแก้ว เปิดเส้นทางพิเศษช่องเขาตากิ่ว เชื่อมต่อระหว่าง อ.โนนดินแดง จ.บุรีรัมย์ และ อ.ตาพระยา จ.สระแก้ว เพื่อเป็นเส้นทางเลี่ยงและทางเลือกให้กับประชาชนที่จะเดินทางทั้งไปและกลับระหว่างภาคตะวันออก-ภาคอีสานตอนล่าง ตลอดช่วงเทศกาลปีใหม่ เพื่อเป็นการระบายรถไม่ให้เกิดปัญหาแออัดหรือติดขัดสะสม จากปกติประชาชนที่เดินทางมาจากภาคตะวันออกจะนิยมใช้ถนนทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 24 สายโชคชัย-เดชอุดม ซึ่งเป็นถนนสายหลักที่มุ่งหน้าสู่หลายจังหวัดทางภาคอีสานตอนล่าง เช่น บุรีรัมย์, สุรินทร์, ศรีสะเกษ และ จ.อุบลราชธานี แต่ช่วงเทศกาลที่มีวันหยุดยาวติดต่อกันหลายวัน ทุกปีจะมีรถสัญจรเป็นจำนวนมาก ทำให้สภาพการจราจรแออัด  
    นอกจากนี้ ถนนอีกสายคือทางหลวงแผ่นดิน หมายเลข 348 ที่เป็นถนนสายรองไปยังภาคอีสานตอนล่าง แต่ช่วงเทศกาลทุกปีก็จะมีรถสัญจรหนาแน่นไม่ต่างจากถนนสายหลัก โดยเฉพาะช่วงช่องเขาตะโก ที่เชื่อมต่อระหว่าง อ.โนนดินแดง กับ อ.ตาพระยา ซึ่งเป็นช่องเขาที่แคบและทางลาดชัน ถึงแม้จะแค่ช่วงสั้นๆ ประมาณ 3 กิโลเมตร แต่ก็ทำให้รถติดยาวเหยียด และถ้าหากมีอุบัติเหตุก็จะยิ่งทำให้การจราจรกลายเป็นอัมพาตนานหลายชั่วโมง 
    พล.ต.ต.ชาญชัย พงษ์พิชิตกุล ผบก.ภ.จว.บุรีรัมย์ กล่าวว่า การเปิดเส้นทางเลี่ยงช่องเขาตากิ่วเพื่อเป็นทางเลือกให้กับประชาชนอีกเส้นทาง ซึ่งจะเปิดเป็นกรณีพิเศษเฉพาะช่วงเทศกาลเท่านั้น ปกติจะไม่เปิดให้รถสัญจรผ่าน เนื่องจากเป็นถนนสายความมั่นคงติดชายแดน หากใครต้องการหลีกเลี่ยงความแออัดในช่วงเทศกาล ก็สามารถใช้เส้นทางดังกล่าวได้ ก็จะมีป้ายแนะนำตลอดเส้นทาง และมีเจ้าหน้าที่คอยอำนวยความสะดวกเป็นระยะๆ 
    "ช่วงระหว่างเขาตะโกระยะทาง 3 กิโลเมตร ซึ่งค่อนข้างแคบและลาดชัน หากมีรถติดสะสมปริมาณมาก ก็จะเปิดให้รถวิ่งสลับขึ้นลงทางเดียวครั้งละประมาณ 30 นาที เพื่อลดความแออัดและป้องกันอุบัติเหตุที่อาจจะเกิดขึ้นด้วย" ผบก.ภ.จว.บุรีรัมย์กล่าว
    จ.สมุทรสาคร นายวีระศักดิ์ วิจิตร์แสงสี ผู้ว่าฯ สมุทรสาคร เปิดศูนย์ปฏิบัติการและปล่อยขบวนรณรงค์การป้องกันและลดอุบัติเหตุทางบกและทางน้ำ ช่วงเทศกาลปีใหม่ 2563 พร้อมปล่อยขบวนรถทหาร รถตำรวจ รถพร้อมเจ้าหน้าที่พยาบาล EMS รถกู้ชีพกู้ภัย ฯลฯ
     จ.ภูเก็ต นายนิพนธ์ บุญญามณี รมช.มหาดไทย เป็นประธานพิธีเปิดศูนย์ปฏิบัติการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนและทางทะเล ช่วงเทศกาลปีใหม่ 2563 และปล่อยขบวนรถรณรงค์ช่วงเทศกาลปีใหม่
    นายนิพนธ์กล่าวว่า จากสถิติที่ผ่านมา พบว่าขอให้ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะเป็นภาคราชการ รัฐวิสาหกิจ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น องค์กรเอกชน สมาคม มูลนิธิ และเครือข่ายด้านความปลอดภัยทางถนน ผู้นำท้องที่ ตลอดจนพี่น้องประชาชนทุกคน ร่วมมือกันบังคับใช้และปฏิบัติตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด โดยเฉพาะตามมาตรการ เพื่อความปลอดภัย 10 รสขม ได้แก่ 1.ความเร็วเกินกว่ากฎหมายกำหนด 2.ขับรถย้อนศร 3.ฝ่าฝืนสัญญาณจราจร 4.ไม่คาดเข็มขัดนิรภัย 5.ไม่มีใบขับขี่ 6.แซงในที่คับขัน 7. เมาสุรา 8.ไม่สวมหมวกนิรภัย 9.มอเตอร์ไซค์ไม่ปลอดภัย 10.ใช้โทรศัพท์มือถือขณะขับรถ เพื่อป้องกันไม่ให้มีอุบัติเหตุเกิดขึ้นในเขตพื้นที่จังหวัดภูเก็ต. 
 


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"