คนขยันแห่งเดียนเบียนฟู


เพิ่มเพื่อน    

 

          เดียนเบียนฟูเป็นเมืองหลวงของจังหวัดเดียนเบียน สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม ในอดีตเรียกว่าเมือง “แถง” หรือ “แถน” เคยเป็นถิ่นที่อยู่อาศัยของชาวไททรงดำ หรือลาวโซ่ง ปัจจุบันก็ยังมีอยู่ ทว่าในตัวเมืองจะเห็นแต่คนเวียด

                ที่พักของผมชื่อ Duc Thang อยู่ในซอยใกล้ๆ สถานีขนส่งเดียนเบียนฟู ผมชวนคู่รักชาวไทยที่นั่งมินิบัสมาด้วยกันจาก  สปป.ลาว ให้เข้าไปดูสภาพห้องพักก่อนตัดสินใจ พี่ผู้หญิงเป็นคนขึ้นไปสำรวจลงมาบอกว่าตกลง พี่ผู้ชายจ่ายเงินล่วงหน้าสำหรับการพัก 2 คืน 500,000 ดอง ส่วนตัวผมรีเซ็พชั่นสาวบอกว่าค่อยจ่ายตอนเช็กเอาต์ คงเพราะผมจองมาทางออนไลน์เอเยนซี มีหลักฐานส่วนบุคคลอยู่ในนั้นแล้ว โดยได้ราคาถูกกว่าที่คืนละ 198,000 ดองเท่านั้น คิดเป็นเงินไทยประมาณ 260 บาท


ย่านการค้าเมืองเดียนเบียนฟูยามเย็น  

              รีเซ็พชั่นขอคิดราคา 200,000 ดอง ชี้แจงว่าเงินทอน 2,000 ดองนั้นมีค่าน้อยนิด (ไม่ถึง 3 บาท) แต่หากต้องการเธอก็จะทอนให้ ผมบอกว่าไม่เป็นไร แล้วขอทราบอัตราแลกเปลี่ยนเงินดอลลาร์สหรัฐเป็นเวียดนามดอง เธอคิดให้ในราคาค่อนข้างดี นี่คือตัวบ่งชี้ที่สามารถมองทะลุไปถึงเรื่องอื่นๆ  ได้ว่าไม่ใช่คนชอบเอาเปรียบผู้อื่น

                เธอชื่อเล อายุไม่เกิน 30 ปี สามีชื่อตวน ทั้งคู่คือเจ้าของโรงแรม หรือในปัจจุบันอาจยังเรียกว่าเป็นทายาท เพราะพ่อของตวนยังอยู่ และเป็น 1 ใน 3 ผู้บริหารร่วมกับลูกชายและลูกสะใภ้ ฝ่ายพ่อพูดลาวได้คล่องแคล่ว เพราะทำธุรกิจกับคนลาวมานาน ตวนพูดได้บ้าง ส่วนเลพูดไม่ได้ แต่ภาษาอังกฤษเธออยู่ในขั้นดีทีเดียว

                โรงแรมขนาดเล็ก หากจำไม่ผิดมีเพียง 4 ชั้น ด้านหน้าแคบแบบฉบับเวียดนาม ทั้งหมดคงมีไม่เกิน 20 ห้อง ทว่ามีลิฟต์อย่างดีให้บริการ ห้องพักมีเครื่องปรับอากาศ เครื่องทำน้ำอุ่น ทีวีรุ่นใหม่มีช่องข่าวต่างประเทศหลายช่อง รวมถึงช่องกีฬา แถมยังมีระเบียง เสียอย่างเดียวที่ราวระเบียงค่อนข้างเตี้ย พวกขี้เมาคงต้องระวังตัวหากเปิดประตูออกไปรับลมยามดีกรีกำลังได้ที่

                เลให้ผมดูรูปลูกค้าของโรงแรมที่เป็นชาวไทย พวกเขาเช่ารถยนต์ของสามีเธอขับไปซาปา เคยมาพักมากกว่า 2 ครั้ง เธอแสดงออกค่อนข้างชัดเจนว่านิยมแขกจากเมืองไทย จะว่าไปแล้วคนไทยมีชื่อเสียงที่ดี และมีแต้มต่ออยู่เสมอในการเดินทางท่องเที่ยวทั่วโลก สาเหตุหลักคือยิ้มแย้มสนุกสนานและไม่ค่อยเรื่องมาก


อนุสาวรีย์ชัยแห่งเดียนเบียนฟูบนเนินเขา D1

                ผมบอกเลว่าจะไปหามื้อเย็นกิน แต่ไม่ได้ระบุสถานที่ เธอจับข้อมือผมแล้วจูงไปยังร้านข้างๆ โรงแรม บอกว่าร้านนี้มีสตูปลาอร่อย เธอเปิดฝาหม้อให้ดูปลาที่ต้มมานานจนน้ำเกือบแห้ง ผมลังเลเพราะกลัวเผ็ด เธอหยิบตะเกียบไปคีบปลายัดใส่ปากผมเหมือนว่าเป็นเพื่อนสนิท จึงตัดสินใจนั่งและสั่งอาหารตามการแนะนำแกมบังคับ

                ป้าเจ้าของร้านตักปลามาให้ 1 ถ้วยใหญ่ พร้อมข้าวสวย 1 ชามโต มีจานใบเล็กสำหรับตักแบ่ง เลนั่งลงตรงข้าม ถามว่ากินผักไหม ผมตอบว่ามีก็ดี เธอสั่งผัดผักบุ้งมาให้ รสชาติเค็มน้อยกว่าที่ฮานอยและเว้ แต่ใส่กระเทียมค่อนข้างเยอะ  เลไปหยิบขวดพลาสติกบรรจุอะไรสักอย่างมาให้ดม ตอนแรกผมนึกว่าปลาร้า แต่ดมแล้วออกไปทางปลาอินทรีเค็มมากกว่า  มีลักษณะเป็นน้ำข้นๆ เหมือนซอส เธอคลุกกับผัดผักบุ้งในถ้วยเล็กๆ แล้วให้ผมดมอีกที จากนั้นก็ป้อนใส่ปาก

                เห็นว่าผมกินได้เธอก็นำน้ำปลาเค็มผสมใส่ในผัดผักบุ้งที่เหลือทั้งหมด ผมต้องปรามว่าอย่าใส่ลงไปเยอะ เธอคลุกให้เสร็จก็ลุกจากไป ทั้งหมดนี้เป็นอากัปกิริยาที่เป็นธรรมชาติมาก แม้ว่าเพิ่งเจอกันไม่ถึง 1 ชั่วโมง ผมอึ้งอยู่ชั่วขณะแล้วก็ลุกไปเปิดตู้เย็นในร้าน หยิบเบียร์ 333 ออกมา 1 กระป๋อง ป้าเจ้าของร้านคิดเงินรวมทั้งหมด 70,000 ดองเท่านั้น หรือไม่ถึง 100 บาท

                มีเด็กชาย 3 คน อายุสัก 3-4 ขวบเล่นกันอยู่ในร้าน หนึ่งในนั้นรู้ทีหลังว่าเป็นลูกชายของเล พวกเขานำเก้าอี้พลาสติกมาทำเป็นบังเกอร์ล้อมรอบตัวเอง ทำให้ผมนึกถึงการสู้รบในสงครามขึ้นมาทันที และในเวียดนามคงไม่มีการสู้รบใดน่าจดจำมากไปกว่ายุทธการที่เดียนเบียนฟูเมื่อ 65 ปีก่อน และพื้นที่บริเวณนี้ก็คงหนีไม่พ้นการโรมรันกันระหว่างเวียดมินห์ผู้รักชาติกับกองทัพฝรั่งเศส ปัจจุบันสมรภูมิรบได้เปลี่ยนสภาพเป็นเมืองอย่างเต็มตัว


มินิบัสคันนี้วิ่งไปไกลถึงหลวงน้ำทา สปป.ลาว

                ผมถ่ายรูปเด็กๆ ที่เล่นกันอยู่ ป้าเจ้าของร้านบอกให้เด็กเก๊กท่าดีๆ ถ่ายเสร็จก็ให้พวกเขาดูรูป คนหนึ่งไม่สนใจดู อีก 2 คนชอบเป็นพิเศษ จากนั้นก็เดินออกจากร้านไปทางหน้าปากซอย มีผู้หญิงในร้านอาหารเรียกให้กินข้าว บอกว่ามีอาหารและกาแฟ ผมเอามือตบท้องสื่อสารว่าอิ่มแล้วก่อนจะออกถนนใหญ่เลี้ยวซ้าย ข้ามแม่น้ำ “หน่ามสม” ไปยังย่านการค้า เห็นอนุสาวรีย์ชัยแห่งเดียนเบียนฟูอยู่บนเนินเบื้องหน้า มีถนนคั่นไว้ ต้องเลี้ยวซ้ายไปหาทางข้าม

                นอกจากร้านค้าในตึกแถวแล้ว ก็ยังเห็นพ่อค้าแม่ค้ากำลังตั้งแผงบนทางเท้าเพื่อเป็นตลาดยามเย็น เด็กผู้หญิงอายุไม่เกิน 5 ขวบทักผมเป็นภาษาอังกฤษว่า “เฮลโล่” พ่อของเธอกำลังเตรียมตัวขายของบางอย่างที่ผมยังไม่สามารถคาดเดาได้  ผมทักทายเธอกลับไปแล้วก็หาจังหวะข้ามถนนไปฝั่งตรงข้าม

                บริเวณลานอเนกประสงค์ด้านล่างเนินเขา มีกลุ่มคนผสมวัยตั้งวงตีวอลเลย์บอลกันอยู่ 2 วง ในความรู้สึกของคนที่เคยดูหนังเรื่องสตรีเหล็กมาก่อนทั้ง 2 ภาคก็รู้สึกแปลกใจนิดๆ เพราะนักวอลเลย์ที่เห็นอยู่ตรงหน้าส่วนใหญ่เป็นชายแท้ มีสุภาพสตรีอยู่แค่คนเดียว พอจะขึ้นบันไดไปยังอนุสาวรีย์บนเนินเขาก็มีเสียงเจ้าหน้าที่ผู้หญิงเรียกให้ซื้อตั๋ว 15,000 ดอง ผมถามเธอว่าปิดกี่โมง ได้รับคำตอบว่า 6 โมง ผมบอกเธอว่าค่อยมาใหม่ เวลานี้ก็เกือบจะ 6 โมงแล้ว และนี่ก็เป็นโอกาสที่ผมได้ใกล้ชิดอนุสาวรีย์ดังกล่าวมากที่สุด เพราะหลังจากนั้นก็ไม่ได้ผ่านมาทางนี้อีกเลย

                ฟ้ามืดแล้วจึงไม่ได้เดินไปไหนไกล สำรวจซอยหนึ่งชื่อ Nguyen Chi Thanh มีที่พักมากมาย สังเกตได้จากคำว่า Nha Nghi ออกเสียงหย่างงี แปลว่าโรงแรม ร้านอาหารและคาเฟ่น่านั่งหลายร้าน แต่สุดท้ายทำได้เพียงแวะร้านขายของชำติดถนนใหญ่ เปิดตู้แช่หยิบเบียร์ Halida มา 1 กระป๋อง เจ๊เจ้าของร้านหยิบธนบัตรใบละ 10,000 และ 2,000 ออกมาเพื่อแสดงราคา 12,000 ดอง ผมยื่นธนบัตร 200,000 ให้ แกไม่มีทอน แล้วชี้ไปในกระเป๋าตังค์ของผมเพราะเห็นใบละ 10,000 ผมบอกมีแค่ใบเดียว แกก็เอาไปแค่นั้น ผมพูดภาษาอังกฤษว่า “ทูมอร์โรว์ คัมแบ็ก” เพื่อจะสื่อว่าจะมาจ่ายที่เหลือในวันพรุ่งนี้ ยกมือไหว้ ถอดหมวกแล้วโค้งให้แกอีกทีก่อนออกจากร้านเดินกลับที่พัก สองสามีภรรยาไม่อยู่แล้ว พ่อของตวนกำลังจะทำหน้าที่กะดึก ซึ่งหมายถึงต้องนอนบริเวณหลังเคาน์เตอร์

                เช้าวันต่อมาผมลงไปตรงล็อบบี้เจอพี่คนไทยทั้ง 2 คน กำลังจะเช่ามอเตอร์ไซค์ของที่พักขับเที่ยว พวกเขากินอาหารเช้าเรียบร้อยแล้ว เป็นข้าวเหนียวจิ้มเครื่องเคียงจำพวกหอมกระเทียมทอดและเนื้อหมูบด เลตั้งแผงขายมื้อเช้านี้หน้าโรงแรมให้กับลูกค้าในที่พัก คนเดินผ่านไปมา และชาวบ้านขาประจำอีกหลายราย

                ผมสารภาพว่าไม่ชอบกินข้าวเหนียวเป็นมื้อเช้าเพราะทำให้ง่วง เธอถามว่าอยากกินอะไร ผมตอบว่าอาหารจำพวกไข่ เธอก็คว้าข้อมือผมอีกเหมือนเมื่อวานแต่ไปคนละทาง เข้าซอยย่อยไปประมาณ 100 เมตรก็เจอร้านขายอาหารเช้า หน้าร้านแม่ครัวกำลังทอดไข่ลงในเตาแบนราบ มีแผ่นแป้งบางๆ ใสๆ  วางรอง รอให้ไข่เป็นยางมะตูมแล้วรวบมุมแป้งพับขึ้นตักเสิร์ฟ ไข่ยางมะตูมจึงไม่ไหลเละเลอะเทอะ อีกอย่างที่ร้านนี้ทำขายก็ใช้แผ่นแป้งบางๆ นี้เหมือนกัน เลเรียกว่า “บั๋นก๋วน” ซึ่งก็คือปากหม้อญวน คล้ายๆ ข้าวเกรียบปากหม้อไทย แต่ของเขาใช้เนื้อบดและถั่วบดเป็นไส้ กินกับน้ำซุปผัก

                เลจัดการสั่งให้เสร็จสรรพและรออาหารมาเสิร์ฟ ไข่ในแผ่นแป้ง 2 ฟอง และบั๋นก๋วนชามใหญ่จำนวนหลายชิ้น แจ้งราคาว่าทั้งหมดนี้ 20,000 ดองเท่านั้น หรือประมาณ 25 บาท เธอให้นำบั๋นก๋วนลงไปในซุปทีละชิ้นสองชิ้นแล้วค่อยตักกินพร้อมน้ำซุป อธิบายวิธีกินเสร็จแล้วก็กลับไปขายอาหารเช้าของตัวเองต่อ

                ผมเดินหาร้านกาแฟอยู่พักใหญ่ก็ไม่เจอ จึงเดินกลับไปทางโรงแรม ตั้งใจจะไปกินร้านหน้าปากซอย ตอนเดินกลับเมื่อวานผู้หญิงคนเดิมก็คะยั้นคะยอขอคำมั่นสัญญาให้ไปกินมื้อเช้าที่ร้าน เลยังไม่เก็บแผงที่หน้าโรงแรม พอรู้ว่าผมกำลังหากาแฟดื่มก็รีบบอกว่าเธอมีขายเหมือนกัน สุดท้ายผมได้ดื่มกาแฟเวียดนามที่เรียกว่ากาแฟฟิน


ลานอเนกประสงค์ด้านล่างอนุสาวรีย์ชัยฯ เดียนเบียนฟู พวกหนุ่มๆ จับจองตีวอลเลย์บอล

                ฝ่ายตวน สามีของเธอกำลังนั่งซ่อมตาชั่งเครื่องเล็กอยู่บนโต๊ะที่ให้ลูกค้ากินข้าวเหนียว ผมถามเขาเป็นภาษาลาว (ตามที่พอพูดได้) ว่าตาชั่งนี้ไว้ชั่งอะไร เขากลับตอบว่ามันเสียตรงไหน ฝ่ายภรรยาหายวุ่นแล้วก็มานั่งข้างๆ สามี ผมถามเธอเป็นภาษาอังกฤษ จึงได้รับคำตอบว่าไว้ชั่งกระเทียมขาย

                เท่ากับว่านอกจากธุรกิจโรงแรมพ่วงขายเครื่องดื่มจำพวกเบียร์และน้ำอัดลมในตู้แช่แล้ว บ้านนี้ยังมีธุรกิจรถยนต์ให้เช่า มอเตอร์ไซค์ให้เช่า ขายตั๋วรถบัส ขายอาหารเช้า ขายกระเทียม นี่คือเท่าที่ผมรวบรวมได้จากการรู้จักกันวันเดียว

                เลถามถึงรายได้เฉลี่ยของคนไทย ผมตอบได้เฉพาะของคนชั้นกลาง เธออุทานออกมาว่า “เยอะมาก” เพราะทั้งเดือนในส่วนของเธอเองมีรายได้ประมาณ 5 ล้านดอง เธอคิดให้เป็นเงินไทยทันทีว่าประมาณ 7 พันบาท ดูๆ ไปครอบครัวนี้ก็จัดอยู่ในระดับคนชั้นกลางและค่อนข้างมีหลักมีฐานพอสมควร ผมบอกว่ารายได้ของเธอก็ไม่น้อย เพราะค่าครองชีพในเวียดนามไม่สูง ยิ่งในเมืองเล็กอย่างเดียนเบียนฟูก็ถือว่ายังต่ำอยู่มากหากเทียบกับค่าครองชีพเมืองไทย


ด้านนอกอาคารพิพิธภัณฑ์สงครามเดียนเบียนฟู ปีนี้ครบ 65 ปีแห่งชัยชนะ 

                ตอนสายผมลงจากห้องพักมาซื้อตั๋วไปซาปาเช้าวันรุ่งขึ้น ทราบภายหลังว่าตั๋วที่เลขายให้ลูกค้าของเธอราคาถูกกว่าซื้อจากสถานีขนส่ง แต่ผมจำราคาไม่ได้เสียแล้ว อยู่ในหลักไม่เกิน 300 บาท จากนั้นก็ปรึกษาเธอเรื่องจะไปพิพิธภัณฑ์สงครามเดียนเบียนฟู

                เลไปเรียกสามีมาฟังด้วย เขาเสนอขับมอเตอร์ไซค์นำเที่ยวทั้งวัน จะพาไปชม 4-5 สถานที่ ราคาวันละ 300,000 ดอง ผมไม่อยากให้เขาจอดมอเตอร์ไซค์รอนานๆ ตอนผมเข้าไปเที่ยวที่ใดที่หนึ่ง จึงขอให้ไปส่งแค่พิพิธภัณฑ์สงครามเดียนเบียนฟู ระยะทางประมาณ 2 กิโลเมตร เขาคิด 50,000 ดอง

                ตวนขี่ผ่านศูนย์บัญชาการรบของคริสตียอง เดอ กัสทรี  แม่ทัพฝรั่งเศสแห่งยุทธภูมิเดียนเบียนฟู เป็นหลุมบังเกอร์ขนาดใหญ่ จากนั้นผ่านเนินเขา A1 ฝ่ายฝรั่งเศสเรียก Elian 2 เป็นบังเกอร์ที่ฝ่ายเวียดมินห์เจาะทำลายได้ยากที่สุด แต่ก็ไม่พ้นความมุ่งมั่นพยายามของเหล่าทหารรักชาติ

                ผมคืนหมวกกันน็อก จ่ายเงินค่าโดยสารให้ตวน แล้วก็เดินไปซื้อตั๋วที่หน้าพิพิธภัณฑ์ ราคา 15,000 ดอง หรือราวๆ 20 บาทตามมาตรฐานเดียวกันทั้งเมืองไม่ว่าจะเป็นสถานที่เล็กใหญ่ขนาดไหน

                หน้าตัวอาคารพิพิธภัณฑ์รูปทรงแคปซูล ทางด้านขวามือมีเนินหญ้าตกแต่งด้วยตัวหนังสือขนาดใหญ่สีเหลือง-แดง เขียนเป็นภาษาเวียดนาม แปลความได้ว่า “65 ปี ชัยชนะแห่งเดียนเบียนฟู”

                สัปดาห์หน้าคงได้พูดถึงยุทธการตะเพิดนักล่าอาณานิคมกันเสียทีครับ. 


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"