เป็นเวลากว่า 5 เดือนแล้ว ที่ "รัฐบาลประยุทธ์ 2 " ภายใต้การนำของ "บิ๊กตู่" พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เข้ามาบริหารประเทศ หลังได้รับการเลือกตั้ง และแถลงนโยบายต่อรัฐสภา ซึ่งขณะนี้รัฐบาลกำลังเดินหน้าขับเคลื่อนประเทศ และค่อยๆดำเนินการตามนโยบายที่แถลงไว้ โดยผลงานที่โดดเด่นเป็นที่สนใจของประชาชน ส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องของปากท้อง การลดภาระค่าครองชีพ มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ที่น่าสนใจมีดังนี้ 
    เริ่มด้วยโครงการ "ชิมช้อปใช้" ที่ได้รับเสียงตอบรับถล่มทลาย ซึ่งเป็นโครงการที่รัฐบาลทำขึ้นเพื่อกระตุ้นการบริโภคภายในประเทศ ผ่านการใช้จ่ายทาง G-Wallet หรือแอปพลิเคชั่น "เป๋าตัง" ในร้านค้าที่ร่วมรายการ โดยเปิดไปทั้งหมด 3 เฟส ในเฟส 1 และ 2 จะให้เงิน 1,000 บาท และยังได้รับสิทธิการคืนเงินในกระเป๋าที่ 2 ส่วนเฟสที่ 3 จะไม่ได้รับเงินในกระเป๋า แต่จะได้รับสิทธิเงินคืน 15-20 เปอร์เซ็นต์ เมื่อมีการใช้จ่ายในกระเป๋าที่ 2 
    อีกทั้งยังมีการจับแจกทองให้เป็นของรางวัลเพื่อจูงใจสำหรับผู้ใช้จ่ายด้วย โดยทั้ง 3 เฟสมีผู้ใช้สิทธิ์รวม 11,769,870 ราย จึงถือว่าเป็นโครงการที่ประชาชนให้ความสนใจมากที่สุดก็ว่าได้ และยังเป็นการกระตุ้นการใช้จ่ายในประเทศตามที่รัฐบาลตั้งเป้าไว้อีกด้วย 
    นอกจากนี้ยังมีโครงการด้านคมนาคม ซึ่งรัฐบาลได้ขยายเครือข่ายรถไฟฟ้าในหลายเส้นทาง เช่น รถไฟฟ้าสายสีน้ำเงินส่วนต่อขยายหัวลำโพง-บางแค และช่วงเตาปูน-ท่าพระ  รถไฟฟ้าสายสีเหลือง ลาดพร้าว-สำโรง รถไฟฟ้าสายสีเขียวช่วงหมอชิต -สะพานใหม่ - คูคต เพิ่มเติม 4 สถานี จากห้าแยกลาดพร้าว -สถานีมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ นอกจากนี้ยังเดินหน้าโครงการก่อสร้างโครงการทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง หรือมอเตอร์เวย์ (บางใหญ่-กาญจนบุรี) ที่จะแล้วเสร็จและเปิดบริการได้ภายในปี 2566 ซึ่งเป็นโครงข่ายถนนเชื่อมโยงเมืองหลักในภูมิภาคและเส้นทางเศรษฐกิจระหว่างประเทศที่สำคัญ 
    ถัดมาเป็นโครงการประกันราคาพืชผลการเกษตร การช่วยเหลือเกษตรกรครบวงจร เช่น การประกันรายได้ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ไม่เกิน 30 ไร่ต่อครัวเรือน ปลูกตั้งแต่ 1 ก.ค.62 จ่ายส่วนต่างวันที่20 ธ.ค.62  การช่วยเหลือเกษตรกรปลูกข้าว ค่าปลูก 500 บาทต่อไร่ ไม่เกิน20 ไร่ต่อครัวเรือน ที่ขยายเวลาจ่ายเงินถึง 30 เม.ย.63 สินเชื่อชะลอการขายข้าวเปลือกความชื่นไม่เกิน 15 เปอรเซ็นต์ ค่าฝากเก็บ 1,500 บาทต่อตัน สินเชื่อเกษตรกร 300,000 บาทต่อราย  ทำสัญญา 1 พ.ย.62 ถึง 29 ก.พ.63  ประกันรายได้เกษตรกรสวนยางพารา วงเงินงบประมาณ 2.34 หมื่นล้านบาท ประกันรายได้ผู้ปลูกมันสำปะหลัง ปี62/63 วงเงิน 9,671 ล้านบาท เป็นต้น
    มาตรการลดภาระค่าครองชีพประชาชน ถือเป็นอีกมาตรการที่ได้รับเสียงตอบรับที่ดี โดยเริ่มมาตรการลดราคาค่ารถไฟฟ้าวันที่ 25 ธ.ค. เบื้องต้นระยะเวลา 3 เดือน ได้แก่ 1.ลดราคาค่าโดยสารแบบเหมาเที่ยว จำนวน 30 วัน หรือตั๋วเดือน รถไฟฟ้าใต้ดิน MRT (บางซื่อ-หัวลำโพง-บางแค) และรถไฟฟ้าสายสีม่วง(เตาปูน-บางใหญ่) ถูกสุด 47 บาทต่อเที่ยว ในกรณีที่การเดินทางเชื่อมต่อ 2 สาย (บางใหญ่-บางแค) จากปัจจุบันค่าโดยสาร 70 บาท ลดลง 23 บาท 
    2.ลดราคาค่าโดยสารรถไฟฟ้าสายสีม่วง เฉพาะช่วงนอกเวลาเร่งด่วน เหลือ 20 บาทตลอดสาย จากเดิมราคาสูงสุด 42 บาท ลดลง 22 บาท ช่วงเวลา 09.00-17.00 ในวันจันทร์-ศุกร์ และ 06.00-24.00 ในวันเสาร์-อาทิตย์ และวันหยุดนักขัตฤกษ์ และ 3.ลดค่ารถไฟฟ้าแอร์พอร์ตลิงก์(พญาไท-สนามบินสุวรรณภูมิ) ลดราคาตั๋วเดือน 44 เที่ยวราคา 1,100 บาท เฉลี่ย 25 บาทต่อเที่ยว จากเดิมค่าโดยสารสูงสุด 45 บาท 
    โครงการ "บ้านดีมีดาวน์" โดยกระทรวงการคลังเปิดให้ประชาชนที่ต้องการมีที่อยู่อาศัยลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการ โดยช่วย 50,000 บาทต่อราย แก่ประชาชนจำนวน 100,000 รายที่มีคุณสมบัติตามเงื่อนไขของโครงการ 
    ทั้งนี้เป็นมาตรการลดภาระการซื้อที่อยู่อาศัยให้กับคนที่อยากมีบ้าน และสำหรับผู้ที่ซื้อที่อยู่อาศัยใหม่ราคาไม่เกิน 3 ล้านบาทจากผู้ประกอบการ ยังจะได้รับสิทธิประโยชน์อื่น เช่น ลดค่าจดทะเบียนการโอนและค่าจดจำนองเหลือเพียงประเภทละ 0.01 เปอร์เซ็นต์ และยังมีสิทธิ์ได้รับมาตรการสินเชื่อบ้านอัตราดอกเบี้ยต่ำเพียง 2.5 เปอร์เซ็นต์ต่อปี คงที่ 3 ปีแรกของธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) ด้วย
    และโครงการบัตรประกันสุขภาพถ้วนหน้า ที่ได้อนุมัติงบกองทุนบัตรทองปี 2563 กว่า 1.91 แสนล้านบาท เพิ่มเม็ดเงินกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติจากปี 62 กว่า 6.5 พันล้านบาท เป็นงบเหมาจ่ายรายหัว 3,600 บาท/ประชากร หนุนเดินหน้าสิทธิประโยชน์ปี 63 ดูแลประชาชน เพิ่มการเข้าถึงการรักษาและการบริการสาธารณสุขอย่างครอบคลุม 
    ทั้งหมดคือผลงานเด่นของ "รัฐบาลประยุทธ์ 2" และหากงบประมาณปี 2563 ผ่านขั้นตอนของสภาเมื่อไหร่ ก็เชื่อว่าเราจะได้เห็นความคืบหน้าของงานและโครงการด้านต่างๆมากยิ่งขึ้นในปี 2563