วิ่งไล่ลุงผนึกซักฟอก อนค.แบไต๋ทำ2ขาสอดรับกัน/บิ๊กตู่เบรกม็อบไล่-หนุน


เพิ่มเพื่อน    

 “ประยุทธ์” เมินตอบเรื่องที่ดินพ่อ ส่วนบิ๊กป้อมชี้เรื่องเก่าแจงได้แน่ ฝ่ายค้านจ้องเพิ่มกฐิน  “สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ” กรณีแบน 3 สารพิษ เตรียมโหมโรงใช้กีฬาฟุตบอลพันการเมืองวันที่ 19 ม.ค.  “ภราดร” โอ่ข้อมูลในมือชั้นเอบวก รับแล้ววิ่งไล่ลุง-อภิปรายเป็นการทำงาน 2 ขา “นายกฯ” ร่ายยาวสะกิดม็อบไล่-เชียร์ให้คิดถึงคน 60 ล้าน ชี้ไม่ใช่เวลาสร้างความเกลียดชัง ลั่นทำงานไม่ใช่สั่งขี้มูกสั่งปรื๊ดแล้วโล่ง “ช่อ” โวยวิ่งไล่ลุงในต่างจังหวัดถูกคุกคาม

    เมื่อวันจันทร์ยังคงมีความต่อเนื่องในกรณีพรรคร่วมฝ่ายค้านจะหยิบยกปมซื้อขายที่ดินของ พ.อ.ประพัฒน์ จันทร์โอชา บิดาของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม (กห.) มาใช้ในการอภิปรายไม่ไว้วางใจ โดย พล.อ.ประยุทธ์ปฏิเสธตอบคำถามดังกล่าวและเดินขึ้นตึกไทยคู่ฟ้าไปทันที 
ขณะที่ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ กล่าวเรื่องนี้ว่าเป็นเรื่องเก่า นายกฯ ชี้แจงได้อยู่แล้ว  ไม่มีอะไร
    ด้านนายชวน หลีกภัย ประธานสภาผู้แทนราษฎร ระบุว่า ขณะนี้ฝ่ายค้านยังไม่มีการประสานมาในเรื่องการอภิปรายไม่ไว้วางใจ ส่วนที่จะอภิปรายเรื่องต่างๆ นั้นเป็นเพียงข่าว ของจริงยังไม่มี ยังไม่มีการยื่นอะไรมา
    เมื่อถามว่าฝ่ายค้านเตรียมอภิปรายย้อนไปถึงการทำงานของรัฐบาลคณะรักษาความสงบแห่งชาติ  (คสช.) ทำได้หรือไม่ นายชวนกล่าวว่ายังไม่มีประเด็น จึงยังไม่มีความเห็น ไม่ขอพยากรณ์ล่วงหน้า ตามกรอบจะเป็นไปตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 151 เมื่อสมาชิกเข้าชื่อกันครบก็สามารถเปิดการไม่ไว้วางใจได้  แต่ตอนนี้ต้องพิจารณาเรื่องงบประมาณให้ผ่านก่อน 
    ส่วนความเคลื่อนไหวของพรรคเพื่อไทย (พท.) มีรายงานแจ้งถึงการเตรียมความพร้อมในการยื่นญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ นอกจากรัฐมนตรี 5 คนที่จะถูกยื่นอภิปรายแน่นอนแล้ว คือ พล.อ.ประยุทธ์, นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกฯ, นายวิษณุ เครืองาม รองนายกฯ, พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย และนายดอน ปรมัตถ์วินัย รมว.การต่างประเทศ ซึ่งจะเป็นผู้ถูกอภิปรายในสัดส่วนของพรรค พท. แต่ยังต้องรอพรรคร่วมฝ่ายค้านแต่ละพรรคเสนอชื่อรัฐมนตรีที่จะถูกอภิปรายเข้ามาอีก โดยเบื้องต้นมีการเคาะกันว่าจะมีรัฐมนตรีอีก 2-3 คนอยู่ในข่าย ซึ่งหนึ่งในนั้นคือนายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รมว.อุตสาหกรรม ขณะนี้พรรคร่วมฝ่ายค้านกำลังรวบรวมข้อมูล กรณีนายสุริยะอ้างมติที่ประชุมคณะกรรมการวัตถุอันตรายให้เลื่อนการแบนพาราควอตและคลอร์ไพริฟอสออกไปเป็นวันที่ 1  มิ.ย.63 และยกเลิกการแบนไกลโฟเซตให้เป็นจำกัดการใช้แทน 
    พล.ท.ภราดร พัฒนถาบุตร เลขานุการคณะกรรมการกิจการพิเศษพรรค พท.กล่าวถึงความพร้อมในการอภิปรายไม่ไว้วางใจว่า ข้อมูลของพรรคฝ่ายค้านถือว่ามีความพร้อม โดยข้อมูลที่จะอภิปรายหัวหน้ารัฐบาลและรัฐมนตรี แบ่งเป็นชุด A บวก คือข้อมูลที่มีใบเสร็จ กับชุด A ที่แม้ไม่มีใบเสร็จ แต่ก็น่าเชื่อได้ว่าน่าจะมีการกระทำผิด ที่ผ่านมาคณะกรรมการกิจการพิเศษได้ประชุมซักซ้อมเตรียมพร้อมที่จะอภิปราย เราดูทั้งบุคคลดูทั้งเรื่องช่วงเวลาที่เหมาะสมที่ควรอภิปราย เชื่อว่าข้อมูลที่อภิปรายไปคงทำให้หัวหน้ารัฐบาลและรัฐมนตรีที่ถูกอภิปรายยืนอยู่ต่อไปลำบาก จะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงได้อย่างแน่นอน  และบางทีอาจหนักกว่าการเปลี่ยนแปลงปรับคณะรัฐมนตรีก็ได้ เป้าหมายการอภิปรายอยู่ที่หัวหน้ารัฐบาล ส่วนจะเปลี่ยนแปลงอย่างไรก็เป็นภาพของสภา
เผย 'วิ่ง-อภิปราย' สอดรับกัน
    “การทำงานเราจะทำสอดคล้องกัน สอดรับกับระหว่างการวิ่งไล่ลุง 12 ม.ค.ที่คนที่ออกมาวิ่งล้วนอยากไล่ลุง จึงชวนกันออกมา เป็นการทำงานนอกสภาของประชาชน ส่วนเรารับความประสงค์จากประชาชนมาทำให้เป็นจริงในสภาผ่านการอภิปรายไม่ไว้วางใจ ซึ่งเวลาการยื่นญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลอยู่ระหว่างวันที่ 16-20 ม.ค. และเบื้องต้นขอเวลาอภิปรายไว้ 3 วัน คาดว่าจะบรรจุญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจหลังตรุษจีน และคงอภิปรายไม่ไว้วางใจช่วงต้นเดือน ก.พ.” พล.ท.ภราดรกล่าวและว่า นายภูมิธรรม เวชยชัย รองประธานคณะกรรมการกิจการพิเศษ จะไปหารือกับหัวหน้าพรรคร่วมฝ่ายค้านถึงประเด็นต่างๆ และกรอบเวลาอภิปราย ก่อนจะนำกลับมาหารือในที่ประชุมคณะกรรมการกิจการพิเศษของพรรคในวันที่ 7 ม.ค.อีกครั้ง  
    ขณะที่นายนิคม บุญวิเศษ หัวหน้าพรรคพลังปวงชนไทย กล่าวถึงการประชุมคณะกรรมการทำงานร่วมกับพรรคฝ่ายค้านว่า ในที่ประชุมได้หารือถึงการเตรียมจัดกิจกรรมพรรคฝ่ายค้านสัญจร ที่จะเดินทางไปจัดกิจกรรมยังจังหวัดเชียงรายในวันที่ 19 ม.ค. เวลา 16.00 น. ซึ่งจะมีการแข่งขันฟุตบอลระหว่างทีมพรรคร่วมฝ่ายค้านที่รวมกับสื่อมวลชน พบกับนักฟุตบอลทีมเชียงรายและประชาชนในพื้นที่ จากนั้นเวลา 18.00-20.00 น.จะปราศรัยภายในสนามฟุตบอลในหัวข้อเกี่ยวกับการเมือง ผลจากการบริหารงานของรัฐบาล ปัญหาเศรษฐกิจปากท้อง ซึ่งเป็นลักษณะเปิดเวทีซักซ้อมกันก่อนวันอภิปรายจริงที่จะมาถึง  คาดว่าจะมีประชาชนเดินทางมาร่วมรับฟังอภิปรายประมาณ 1 หมื่นคน
    นายนิคมกล่าวอีกว่า ในที่ประชุมได้พูดถึงการเตรียมความพร้อมอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลน้อยมาก เพราะในสัดส่วนของ 7 พรรคร่วมฝ่ายค้าน ตอนนี้มีรัฐมนตรี 5 คนที่พรรค พท.จะอภิปรายแน่นอน  ขณะเดียวกันยังรอพรรคร่วมฝ่ายค้านพรรคอื่น หากมีข้อมูลก็สามารถเสนอชื่อรัฐมนตรีที่จะถูกอภิปรายเข้ามาร่วมด้วยได้ ข้อมูลของพรรคฝ่ายค้านตอนนี้มีความพร้อมมาก เพียงแต่กังวลในเรื่องเวลาที่ได้อภิปรายอาจจำกัด เท่าที่พูดคุยจะยื่นญัตติไม่เกินวันที่ 20 ม.ค. และคาดว่าการอภิปรายน่าจะเกิดขึ้นในช่วงสัปดาห์ที่ 1 หรือ 2 ของเดือน ก.พ. 
     “ข้อมูลที่จะอภิปราย พล.อ.ประยุทธ์ ที่สมาชิกพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ตั้งข้อสังเกตว่าเป็นข้อมูลเก่า คงไม่สามารถล้มรัฐบาลได้นั้น เราไม่ได้หวังว่าจะมาล้มใคร เราเพียงทำหน้าที่ตรวจสอบ การที่รัฐบาลจะล้มหรือไม่ล้มขึ้นอยู่ที่ตัวรัฐบาลเอง ที่วิจารณ์ว่าข้อมูลที่จะพูดเป็นเรื่องเก่านั้น ผมไม่ได้มองอย่างนั้น หากเป็นข้อมูลเก่าที่ต่อเนื่องมาถึงปัจจุบัน จะมาถือว่าเป็นข้อมูลเก่าก็ไม่ได้ เราไม่ได้เอาข้อมูลเก่ามาพูด แต่เป็นข้อมูลต่อเนื่องกัน ถ้าคิดว่าไม่ถูกต้องทำไมรัฐบาลประยุทธ์ไม่แก้ไข เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นในรัฐบาลประยุทธ์ 2 ก็ล้วนมาจากประยุทธ์ 1 เมื่อรู้ว่าสิ่งไหนทำผิดพลาด เมื่อเป็นรัฐบาลใหม่แล้วทำไมถึงไม่แก้” นายนิคมระบุ
สำหรับความเคลื่อนไหวของ พล.อ.ประยุทธ์ ในช่วงเช้าได้ให้โอวาทแก่คณะนักกีฬาพาราลิมปิก ผู้ฝึกสอน และเจ้าหน้าที่ ก่อนออกเดินทางไปแข่งขันกีฬาอาเซียนพาราเกมส์ ครั้งที่ 10  ณ เมืองซูบิก  สาธารณรัฐฟิลิปปินส์ โดยภายหลังให้โอวาทนายกฯ ได้เดินมาทักทายนักกีฬา พร้อมกล่าวว่า "พวกเราไปแข่งขันกีฬาที่โน่น ส่วนผมอยู่ที่นี่ก็แข่งกีฬาเหมือนกัน เป็นกำลังใจให้ผมหรือเปล่า ผมทำความดี" 
ทั้งนี้ได้มีนักกีฬาคนหนึ่งกล่าวติดตลกว่า "ขอให้กำลังใจลุง ขอให้วิ่งให้ทันเขานะลุง"
    น่าสังเกตว่าตลอดการให้โอวาท พล.อ.ประยุทธ์มีอาการอ่อนเพลียอย่างเห็นได้ชัด รวมทั้งมีเสียงที่ค่อนข้างแหบแห้งจากอาการป่วยเป็นไข้หวัด
    ต่อมา พล.อ.ประยุทธ์ได้ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนว่า วันที่สิ่งที่กำลังดีๆ ก็อยากให้เดินหน้าไป อย่าดึงให้ถอยหลัง ย้อนไปย้อนมา คิดว่าได้ตั้งใจมั่นทำงานมา 5 ปี ปีที่ 6 นี้ ยังยืนยันมีแรงศรัทธาตลอดมา  ไม่ใช่ต้องการอำนาจ ใครบอกว่าการเมืองคืออำนาจผลประโยชน์ ในเมื่อไม่ต้องการอำนาจและผลประโยชน์ แล้วทำไมไม่ไว้ใจตนเอง เมื่อไว้ใจตนเองก็ต้องไว้ใจในการบริหารของตนเอง โดยจะควบคุมเรื่องเหล่านี้ให้มากที่สุดไม่ให้กลับไปที่เดิม นั่นคือสิ่งที่อยากจะพูดกับพวกเราทุกคน วันนี้ที่พูดเยอะเพราะแบบนี้
    พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า วันนี้นายกฯ กำลังคิดแก้ไขปัญหาหลายเรื่อง นายกฯ ไม่เคยหยุดคิด ใครจะตำหนิต่อว่าอะไรก็ตาม ส่วนเรื่องไหนที่ทุจริตผิดกฎหมายก็ว่ามา ชี้แจงได้ก็จบ ถ้าชี้แจงไม่ได้ก็ไปขึ้นกระบวนการศาล การพูดกันไปมาบางทีไม่ใช่เรื่อง มันไม่มีอะไรที่ชัดเจน พูดกันไปบอกกันมา จนเกลียดชังหมด ถามว่าเวลานี้เราควรสร้างให้เกิดความเกลียดชังกันเองในชาติหรือไม่ มันใช่เวลาหรือไม่ ทำไมไม่เอาเวลามารวมพลังเพื่อต่อสู้กับปัญหาภายนอก แล้วปัญหาภายในก็แก้กันในเชิงระบบกลไก ถ้ามัวโทษกันไปกันมามันแก้อะไรไม่ได้สักอย่าง แก้โน้นกระทบนี้ พันกันไปหมด รัฐบาลนี้เข้ามาแก้ปัญหาที่ซ้ำซ้อน ไม่ใช่แก้ปัญหาเชิงเดี่ยวในลักษณะเปิดแล้วปิดงานปรบมือกัน ตนเองไม่ชอบแบบนั้น ชอบแก้ปัญหาทั้งระบบ บางอย่างได้ผล บางอย่างไม่ได้ผล เพราะทั้งหมดเราบังคับไม่ได้ มันเป็นเรื่องของประชาชน 
เบรกม็อบ 'ไล่-เชียร์'
“วันนี้ผมพยายามทำดีที่สุด รับทุกปัญหาของประชาชนมาคิด กลับบ้านก็คิด เสาร์อาทิตย์ก็คิด เย็นกลับไปก็คิด ไม่เคยนิ่งนอนใจกับปัญหา แต่ต้องใช้กลไก ครม.ขับเคลื่อนและติดตามผลการปฏิบัติจากการรายงาน ไม่ได้ฟังรายงานจากข้าราชการอย่างเดียว แต่ฟังจากประชาชนที่เป็นข้อเท็จจริงเชิงประจักษ์ เอาทั้งสองอย่างมาผสมกัน คือเชิงหลักการและเชิงประจักษ์ นั่นคือสิ่งที่ผมทำงาน ผมอยากให้ทุกคนใช้กลไกประชาธิปไตยของวันนี้สร้างประเทศกันก่อนได้หรือไม่ ดีกว่าที่จะทำลายซึ่งกันและกัน ถ้าผิดถูกตรงไหนก็ไปเข้ากระบวนการยุติธรรม แต่ถ้าพูดกันไล่กันไปกันมาแบบนี้ ผมไม่เห็นประโยชน์จะเกิดขึ้น ไม่ว่าสนับสนุนผมหรือสนับสนุนใครก็ตามหรือต่อต้านผม มันเกิดประโยชน์กับใครบ้าง มันก็มีคนจำนวนหนึ่งที่ออกมาทำเรื่องแบบนี้ พัน สองพัน หมื่นนึง แต่คนที่เสียประโยชน์คือคน 60 ล้าน ผมอยากจะบอกว่าพอเถอะ มาช่วยกันทำประเทศดีกว่า”
นายกฯ กล่าวอีกว่า ช่วยกันฟังว่ารัฐบาลจะทำอะไร จะได้ประโยชน์อะไร ถ้าไม่พอใจอะไรก็บอกมา  รัฐบาลก็แก้ไข แก้ปัญหาต้องแบบนี้ อย่าใช้ทุกเวทีดิสเครดิตกันไปมา ไม่เกิดประโยชน์อะไร เพราะยังไม่ได้อยู่ในกระบวนการยุติธรรม ใครผิดถูกอย่างไรให้มาแจ้ง เอาหลักฐานมาจะนำเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม เมื่อตัดสินอย่างไรก็ว่าไปตามนั้น ตอนนี้มีองค์กรอิสระตรวจสอบเยอะแยะไปหมด แล้วเขาจะกล้ามาเข้าข้างตนเองหรือ ถ้าเขากล้าช่วยหรือใครก็ตาม แล้วเขามีความผิด เป็นท่าน ท่านจะกล้าหรือไม่ที่จะช่วยคนผิด ทุกคนกลัวความผิด ฉะนั้นตนเองก็ใช้กลไก เจตนาของตนเองในการแสดงออก
    หลายอย่างคิดออกมาทำไม่ได้ผล ก็ยอมรับ ทุกอย่างอาจต้องลองผิดลองถูก ส่วนเรื่องรัฐธรรมนูญก็ไม่รู้จะทะเลาะกันทำไม ในเมื่อตอนนี้อยู่ในขั้นตอนการศึกษา แก้ไขก็ไปคุยกัน จะมาคุยกันทางสื่อทำไมกันทุกวัน เปิดประเด็นกันอีกทำไมในเมื่อก็ไม่ได้ขัดข้องอยู่แล้ว ก็ไปคุยกันในกรรมาธิการ วันนี้ทุกอย่างออกสื่อกันหมด แล้วก็ตีกัน ยังไม่ได้ทำอะไรสักอย่าง อยากถามว่ามันสำเร็จอะไรสักอย่างหรือไม่ ความร่วมมือจะเกิดหรือไม่ แล้วมาบอกว่าห่วงเรื่องโน้น มีสู้รบสงคราม แต่ในประเทศก็ตีกัน แล้วไปห่วงทางโน้น จะไปทำอะไรได้ ทำสองทาง ช่วยตนเองบ้าง
    “ผมฝากคน 60 กว่าล้านที่เขาเดือดร้อนต้องการความช่วยเหลือจากรัฐบาล โดยที่ท่านไม่ต้องไปสนใจเรื่องอะไรดี จะใช้คำพูดอะไรดี เรื่องขี้หมูราขี้หมาแห้ง บางทีมันไม่ได้สาระอะไรทั้งสิ้น พูดกันได้ทุกวัน เรื่องที่ยังไม่เกิดก็พูดทำให้สังคมระอุทุกวัน ทำเพื่ออะไร ผมอยากถามกับการที่ผมทำเพื่อประเทศของผม เพื่อพวกเราทุกคน ร่วมกับพวกเรา แต่อีกพวกจ้องทำลายทุกวัน ทำอะไรก็ผิดหมด ไม่มีใครทำถูกทั้งหมดหรือผิดทั้งหมดหรอก
    คำว่าผิดกระบวนการยุติธรรมต้องตัดสิน และต้องเชื่อไปตามกระบวนการยุติธรรม ไม่เช่นนั้นประเทศอยู่ไม่ได้แน่นอน ทุกประเทศอยู่ด้วยกระบวนการยุติธรรม ต้องมีการพิสูจน์สิทธิ ข้อเท็จจริงตามกระบวนการ 3 ศาล เข้าใจกันหรือไม่ ไปว่ากันมาเมื่อตัดสินแล้วก็จบ ไม่ใช่ไปด้อยค่าศาลอีก ทุกอย่างมันรวนเรไปหมดแล้วจะอยู่กันด้วยอะไร ผมถามหน่อย รัฐธรรมนูญเขียนยังไงก็ไม่มีใครพอใจทั้งหมด  ฉะนั้นอย่าเอาเรื่องเดิมๆ มาทะเลาะกันอีกเลย ผมขอร้องแค่นี้ ผมไม่ได้เป็นศัตรูกับใครทั้งสิ้น" นายกฯ กล่าว
อัดทำงานไม่ใช่สั่งขี้มูก
    พล.อ.ประยุทธ์ยอมรับว่า สื่อด่าทุกวัน การ์ตูนเขียนด่ามา 5 ปีเต็ม ไม่เคยไปแตะต้องเลย รู้อยู่หนังสือพิมพ์ไหน หน้าไหน ไม่เคยแตะต้องรังแกสื่อไหน เขาทำผิดกฎหมายก็ต้องถูกกระบวนการตามกฎหมายที่เขียนไว้อยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องไปสั่ง ถ้าเราไม่เอากฎหมายที่เป็นตัวพื้นฐานของประเทศ  ประเทศนี้ก็ไม่ใช่ประเทศ อาจเรียกว่าอะไรสักอย่างที่หลายคนหลายกลุ่มอยู่กันไปตีกันไป นั่นมันโบราณกาลร้อยกว่าปีมาแล้ว วันนี้เป็นประเทศมาสองร้อยกว่าปีแล้ว กรุงรัตนโกสินทร์ตั้งสองร้อยกว่าปีแล้ว  ทำไมจะย้อนกลับไปสู่ยุคอดีตอีกที่ทุกคนแยกกันอยู่ แยกฝ่ายแล้วทุกคนก็ตีกัน รบกัน แล้วประเทศชาติ ประชาชนจะอยู่ตรงไหน ที่บอกรักชาติรักประชาชน รักจริงหรือเปล่า รักแบบไหน รักถูกวิธีหรือเปล่า รักลูกถูกวิธีหรือเปล่า รักคนไทยถูกวิธีหรือเปล่า ถ้ารักมันต้องหาวิธีการที่เหมาะสม ดีบ้าง ชอบบ้าง ไม่ชอบบ้าง แต่คนได้ประโยชน์ต้องมาก ส่วนคนที่ไม่ได้ประโยชน์ คนเสียประโยชน์ก็มี นั่นคือสิ่งที่ยากง่ายของการทำงาน ไม่ใช่ทำงานสั่งเหมือนสั่งขี้มูก เช้านี้สั่งปรื๊ดไปแล้วก็โล่ง มันไม่ใช่ ไม่เช่นนั้นจะนั่งเป็นบ้าเป็นบอเขียนหนังสือ นั่งคิดทั้งวัน เหลือเวลานอนที่ไม่ได้คิด แล้วจะต้องมาเสียเวลาพูดกับเรื่องที่ไม่ใช่เรื่อง 
“สมองผมหายไปเยอะหายไปครึ่งนึง ทำไมไม่ช่วยผมบ้าง ผมเคารพทุกท่าน เพราะเข้ามาในกระบวนการประชาธิปไตย แต่ผมถามว่าประชาธิปไตยวันโน้นกับประชาธิปไตยวันนี้ต่างกันอย่างไร หาให้เจอผมขี้เกียจพูดย้อนไปย้อนมา ทุกคนทราบดี แต่ลืมไปหมดแล้วว่าเกิดอะไรขึ้นในประเทศไทย วันนี้สิ่งที่ดีเกิดขึ้นแล้ว สิ่งที่ไม่ดียังมีค้างอยู่ นั่นคือสิ่งที่ผมอยากให้ประชาชนตัดสินใจว่าเราจะเดินไปข้างหน้าหรืออยู่กับที่ หรือจะก้าวถอยหลัง หรือจะรื้อทั้งหมดกลับไปสู่อดีต เชิญท่านเถอะ ผมทำของผมเต็มที่เท่านี้” นายกฯ กล่าว
    ส่วน พล.อ.ประวิตรกล่าวถึงกิจกรรมวิ่งไล่ลุงในวันที่ 12 ม.ค.ว่า ฝ่ายความมั่นคงไม่ต้องติดตามอะไร เขาวิ่งกันอยู่ที่ไหน แค่รู้ว่าวิ่งกันอยู่ที่สวนรถไฟก็พอแล้ว จะให้ทำอย่างไร วิ่งแต่อย่าให้ผิดกฎหมายก็แล้วกัน และไม่มีสั่งปิดที่ไหน รัฐบาลให้ทำกิจกรรมแล้วไม่ให้ใครสั่งปิดหรอก
    เมื่อถามว่ากิจกรรมดังกล่าวมีนักการเมือง ทั้งนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่  (อนค.) และ น.ส.พรรณิการ์ วานิช โฆษกพรรค อนค.เข้าร่วมด้วย พล.อ.ประวิตรสวนว่า “ผมจะทำยังไงได้ ผมไม่ใช่ช่อนี่ เขาจะวิ่งแล้วจะไปทำอย่างไร” เมื่อถามย้ำว่า พล.อ.ประวิตรจะไปร่วมกิจกรรมตามคำเชิญของกลุ่มดังกล่าวหรือไม่ พล.อ.ประวิตรกล่าวว่า “ผมจะไปยังไง ผมเดินยังไม่เดินยังอยู่แล้ว"
    ด้าน น.ส.พรรณิการ์กล่าวแสดงความกังวลถึงกรณีการคุกคามการใช้สิทธิเสรีภาพของประชาชนในช่วงเวลาที่ผ่านมา จากกรณีการออกหมายเรียกบุคคลต่างๆ ให้เข้ารับทราบข้อหาตามพระราชบัญญัติการชุมนุมสาธารณะ และกรณีการคุกคามประชาชนที่จะทำการจัดกิจกรรมวิ่งไล่ลุงในจังหวัดต่างๆ ว่า  การแจ้งข้อหาบุคคลต่างๆ ในฐานความผิดตาม พ.ร.บ.การชุมนุมสาธารณะ ซึ่งมีนายธนาธร รวมทั้งนายไพรัฎฐโชติก์ จันทรขจร สมาชิกพรรค อนค.ถูกแจ้งข้อหาด้วยนั้น ขอยืนยันว่าทั้งสองคนจะเดินทางไปรับทราบข้อกล่าวหาตามหมายเรียกของเจ้าหน้าที่ตำรวจที่สถานีตำรวจนครบาลปทุมวันในวันที่ 10 ม.ค.นี้แน่นอน โดยการรับทราบข้อกล่าวหาครั้งนี้เป็นการไปตามกระบวนการขั้นตอนของกฎหมายเท่านั้น แต่เรายังคงยืนยันว่าสิทธิเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นและการแสดงออกทางการเมือง เป็นสิทธิเสรีภาพของประชาชนทุกคนที่ได้รับการคุ้มครองตามรัฐธรรมนูญฉบับปี 2560
ช่อข้องใจจับผิดวิ่งไล่ลุง ตจว.
    น.ส.พรรณิการ์กล่าวต่อว่า ตอนนี้ดูเหมือนว่าเสรีภาพการแสดงออกของประชาชนกำลังถูกคุกคาม จากกรณีการจัดกิจกรรมวิ่งไล่ลุง ซึ่งการจัดกิจกรรมกระจายไปในหลายสิบจังหวัดทั่วประเทศไทย ที่ผ่านมาผู้จัดกิจกรรมวิ่งไล่ลุงในกรุงเทพฯ ถูกคุกคาม ไม่ได้รับการอำนวยความสะดวกในการจัดกิจกรรม ซึ่งเป็นกิจกรรมในรูปแบบที่สงบสันติ เป็นการแสดงออกที่ถูกต้องตามกฎหมายทุกประการ ต่อมาได้มีการร้องเรียนการถูกคุกคามเข้ามาที่คณะกรรมาธิการกฎหมายและสิทธิมนุษยชน สภาผู้แทนราษฎร จึงมีการเรียกเจ้าหน้าที่มาสอบถาม ซึ่งตำรวจเองก็ยืนยันว่ากิจกรรมวิ่งไล่ลุงที่จะจัดขึ้นเป็นกิจกรรมที่สามารถทำได้ตามกฎหมาย แต่ปรากฏว่าที่ผ่านมา การจัดกิจกรรมวิ่งไล่ลุงในหลายจังหวัดกลับมีการคุกคามผู้จัดกิจกรรม ถูกติดตามโดยเจ้าหน้าที่ตำรวจ ไม่ว่าจะเป็นที่จังหวัดพะเยาที่มีการเรียกผู้จัดกิจกรรมไปพบและไม่อนุญาตให้จัดกิจกรรม โดยบอกว่าผู้จัดไม่ได้ขออนุญาตสถานที่หลายสถานที่ รวมทั้งที่จังหวัดบุรีรัมย์ ซึ่งเจ้าหน้าที่ที่ไม่ได้ติดเครื่องหมายชั้นยศแสดงตนสังกัดที่ชัดเจน เรียกผู้จัดกิจกรรมไปพบถึงสองครั้ง พร้อมมีคำพูดข่มขู่จากเจ้าหน้าที่คนดังกล่าว ระบุว่าคงพอรู้นะว่าพื้นที่นี้เป็นของใคร 
    “ในฐานะผู้แทนราษฎรขอยืนยันว่า พื้นที่สาธารณะทุกแห่งในประเทศไทยเป็นพื้นที่ของประชาชน คนไทยทุกคนที่เป็นเจ้าของประเทศ และตราบใดที่กิจกรรมที่ทำไม่ได้ขัดต่อกฎหมายและขื่อแปของบ้านเมือง เจ้าหน้าที่ตำรวจย่อมไม่มีสิทธิ์ไปคุกคาม และยังต้องอำนวยให้กิจกรรมเหล่านั้นเกิดขึ้นอย่างสะดวกเรียบร้อยและปลอดภัย จึงต้องขอถามกลับไปยังเจ้าหน้าที่ว่า เหตุใดในเมื่อเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ กมธ.สิทธิมนุษยชนเรียกมาชี้แจง บอกว่ากิจกรรมวิ่งไล่ลุงจัดได้ แต่ตำรวจที่ไปเรียกผู้จัดกิจกรรมในจังหวัดอื่นๆ เข้าพบ ใช้อำนาจใดตามกฎหมายในการเรียกตัว ทำไปเพื่ออะไร ท่านเห็นว่าประชาชนที่จัดกิจกรรมวิ่งไล่ลุงทำผิดกฎหมายข้อใด ขอให้ตอบมาให้ชัด เพราะถ้าตอบไม่ได้ย่อมหมายความว่าเจ้าหน้าที่กำลังใช้อำนาจรัฐคุกคามประชาชน และกระทำการที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญ ไม่ปกป้องคุ้มครองสิทธิเสรีภาพในการแสดงออกของประชาชน ซึ่งได้รับการคุ้มครองตามรัฐธรรมนูญ” น.ส.พรรณิการ์กล่าว
    ขณะเดียวกัน เฟซบุ๊กเพจเจ๊ดา อนาคตจันท์ ของนางลัดดา จตุจักรอุทัยศรี หรือเจ๊ดาเจ้าของโรงแรมเชอราตันเซนเตอร์ อดีตผู้สนับสนุนพรรค อนค.โพสต์ข้อความระบุว่า "ขณะนี้มีการแอบอ้างชื่อบุคคลในทีมงานเจ๊ดา อนาคตจันท์ ว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับการจัดกิจกรรมวิ่งไล่ลุง ขอแจ้งให้ทราบโดยชัดเจนว่าไม่มีทีมงานของเจ๊ดา อนาคตจันท์คนใดข้องเกี่ยวกับการบริหารจัดการกิจกรรมดังกล่าว ทีมงานของเรามุ่งหมายทำงานเพื่อพัฒนาท้องถิ่นเพื่อให้พี่น้องประชาชนทุกกลุ่ม ทุกฝ่ายได้มีวิถีชีวิตที่ดีขึ้น  มีสังคมและเศรษฐกิจที่ดีขึ้น เราจึงไม่ให้ความสำคัญกับกิจกรรมดังกล่าวอันอาจทำให้เกิดความไม่สงบในบ้านเมือง ซ้ำเติมภาวะเศรษฐกิจส่วนหนึ่งที่ซบเซาและซ้ำเติมภาวะตึงเครียดของโลกที่อาจเกิดภัยสงครามในตะวันออกกลาง ซ้ำเติมภาวะเศรษฐกิจที่อ่อนแออยู่แล้วทั่วโลก ดังนั้น ไม่ว่ากลุ่มคนกลุ่มใดกลุ่มการเมืองพรรคใดในจังหวัดจันทบุรีที่ให้การสนับสนุนกิจกรรมนี้ เราถือเป็นเรื่องส่วนบุคคล ซึ่งไม่เกี่ยวกับการพัฒนาท้องถิ่นจังหวัดจันทบุรีที่ทีมงานเจ๊ดา อนาคตจันท์กำลังมุ่งมั่นดำเนินงาน".
 


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"