สั่งฝ่ายมั่นคงคุมสถานทูต คลัง-พลังงานพร้อมรับมือ


เพิ่มเพื่อน    

 "บิ๊กตู่" เกาะติดสถานการณ์สหรัฐอเมริกา-อิหร่าน ยันคนไทยต้องปลอดภัย สั่งฝ่ายมั่นคงดูแลสถานทูต-สถานที่สำคัญ "อุตตม" ชี้เร็วไปประเมินกระทบเศรษฐกิจไทย กำชับทุกหน่วยจับตาใกล้ชิด พลังงานแจงพร้อมรับมือทั้งปริมาณสำรอง-คุมราคาน้ำมัน

    ที่ทำเนียบรัฐบาล เมื่อวันที่ 6 มกราคม พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กล่าวถึงการรับมือสถานการณ์ตึงเครียดในตะวันออกกลางระหว่างอิหร่านกับสหรัฐอเมริกาว่า ติดตามสถานการณ์อยู่ โดยฝ่ายความมั่นคงและกระทรวงการต่างประเทศก็ติดตาม เราต้องให้ความสำคัญกับสถานการณ์ในต่างประเทศด้วย หลายอย่างส่งผลต่อภูมิภาคของเราด้วย แม้จะเป็นประเทศที่อยู่ไกลก็มีผลกระทบทางการค้าและเศรษฐกิจ โดยเฉพาะความเชื่อมั่นต่างๆ วันนี้สิ่งที่น่าเป็นห่วงคือราคาพลังงานที่อาจจะสูงขึ้น จะเกิดผลกระทบกับราคาพลังงานภายในประเทศ ทุกคนต้องคิดด้วยเหตุด้วยผล คิดเองเออเองทั้งหมดไม่ได้ และรัฐบาลจะปฏิเสธความรับผิดชอบไม่ได้ แต่ขึ้นอยู่ว่าจะแก้ปัญหาได้มากน้อยเพียงใดตามกติกาและกฎหมายที่มีอยู่ จะแก้ไปแบบตามใจไม่ได้เพราะมีความละเอียดอ่อน และสถานการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นในหลายพื้นที่ในปัจจุบัน ซึ่งทุกประเทศเป็นห่วงในเรื่องนี้ ไม่อยากให้เกิดขึ้น
    เมื่อถามว่ามีการแจ้งเตือนคนไทยให้อพยพแล้วหรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่าเป็นมาตรการเฉพาะอยู่แล้ว ซึ่งเป็นระเบียบปฏิบัติประจำ ได้ย้ำกระทรวงการต่างประเทศไปแล้วว่าไม่ต้องให้สั่ง โดยทุกสถานทูต กงสุลต้องเตรียมแผนอพยพประชาชนไปในพื้นที่ปลอดภัยในขั้นต้นก่อน จากนั้นเป็นเรื่องของการส่งกลับ ซึ่งอาจจะใช้สายการบินพาณิชย์แบบเช่าเหมาลำ หรือเครื่องบินของกองทัพอากาศ ซึ่งขึ้นอยู่กับการขึ้นลงของสนามบินที่จะอนุญาตด้วย สิ่งสำคัญที่สุดคือขอให้คนไทยปลอดภัย รวมถึงขอให้แจ้งญาติพี่น้องว่าปลอดภัยจะได้ไม่เป็นห่วง ขอฝากเอกอัครราชทูตและกงสุลต่างๆ ช่วยดูแลคนไทยให้มากที่สุด
    "ขณะที่ในประเทศไทยได้สั่งการให้ฝ่ายความมั่นคงดูแลสถานทูต ตลอดจนสถานที่สำคัญต่างๆ ซึ่งผมได้สั่งการไปแล้ว งานเหล่านี้บางครั้งไม่ได้พูดไว้ก่อน แต่เป็นการสั่งการวันเสาร์อาทิตย์ เพราะข้อมูลต่างๆ ที่เข้ามาทั้งเรื่องความมั่นคง เศรษฐกิจ การต่างประเทศ ได้รายงานนายกฯ ตลอดเวลา 24 ชั่วโมงอยู่แล้ว ซึ่งผมก็สั่งการไปแล้วให้หัวหน้าหน่วยงานรับผิดชอบปฏิบัติ ขณะเดียวกันได้มีการเสริมกำลังในสถานทูตต่างๆ โดยเฉพาะบางสถานทูตที่สำคัญ" นายกฯ ระบุ
    ด้าน พล.ท.คงชีพ ตันตระวาณิชย์ โฆษกกระทรวงกลาโหม เปิดเผยว่า พล.อ.ประยุทธ์ได้สั่งการให้หน่วยขึ้นตรงกระทรวงกลาโหมและเหล่าทัพติดตามและประเมินสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างสหรัฐอเมริกากับอิหร่านอย่างใกล้ชิด โดยให้ประสานกับหน่วยงานข่าว เพิ่มความเข้มการเคลื่อนไหวของกลุ่มเสี่ยงในการผ่านเข้าออกประเทศไทยและในโลกไซเบอร์อย่างต่อเนื่อง
    ที่กระทรวงการคลัง นายอุตตม สาวนายน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวว่า กระทรวงการคลังเป็นห่วงและสั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจับตาอย่างใกล้ชิดต่อสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างสหรัฐอเมริกาและอิหร่าน ว่าเหตุการณ์จะพัฒนาไปในทางใด ต้องยอมรับว่าเป็นเรื่องใหม่ที่เกิดขึ้น ซึ่งยังพูดไม่ได้ว่าจะมีผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยอย่างไรบ้าง แต่ความเป็นไปได้ที่จะได้รับผลกระทบมีแน่นอน  ไม่ได้เป็นปัญหาแค่กับไทย เป็นไปทั้งโลก ขณะที่ปัจจัยบวกยังมีอยู่ จากการคาดการณ์แนวโน้มว่าเศรษฐกิจโลกในปี 2563 จะขยายตัวได้ดีขึ้น จากสถานการณ์ทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีนที่คาดว่าจะคลี่คลายไปในทิศทางที่ดี
คลังสั่งจับตาใกล้ชิด
    ทั้งนี้ ได้มอบหมายให้ทุกหน่วยงานติดตามและประเมินสถานการณ์อย่างใกล้ชิดเพื่อให้มีความพร้อม หากรัฐบาลเห็นว่ามีความเหมาะสมที่จะออกมาตรการใหม่ อาจจะเป็นมาตรการด้านการลงทุนพร้อมกับการขับเคลื่อน ปฏิรูปเศรษฐกิจ ซึ่งอาจจะส่งผลดีกับระบบเศรษฐกิจของประเทศในระยะใกล้ตัว ในภาวะเศรษฐกิจโลกเป็นเช่นนี้ ก็ขอให้หน่วยงานมีความพร้อมที่จะดำเนินการและคิดในเรื่องนี้
    "กระทรวงการคลังยังไม่ได้ประเมินเกี่ยวกับผลกระทบจากปัญหาความขัดแย้งระหว่างสหรัฐฯ และอิหร่าน เพราะเหตุการณ์เพิ่งเกิดขึ้น แต่เชื่อว่าทั้งในส่วนของกระทรวงการคลัง สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) และธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) จะมีการประเมินถึงเรื่องนี้ด้วยเช่นกัน โดยต้องประเมินก่อนว่าสถานการณ์ไปทางไหน จะยืดเยื้อหรือคลี่คลายไปได้" รมว.การคลัง กล่าว
    ที่กระทรวงพลังงาน นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน แถลงภายหลังการประชุมผู้บริหารระดับสูงว่า กระทรวงพลังงานได้ติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด เพื่อประเมินและเตรียมการหากเกิดสถานการณ์ที่วิกฤติเพิ่มขึ้น ทั้งนี้ราคาน้ำมันดิบดูไบขยับขึ้น 4% หรือ 3 เหรียญสหรัฐฯ ทั้งนี้หากราคาขยับอยู่ในกรอบ 68-69 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรลก็ยังไม่ถึงกรอบที่กังวล แต่จะติดตามและปรับมาตรการเพื่อดูแลสถานการณ์อย่างต่อเนื่อง โดยกรอบราคาที่น่าเป็นห่วงคือ 80 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล
    ด้านปริมาณสำรองปัจจุบัน ณ วันที่ 5 มกราคม 2563 ไทยมีปริมาณสำรองน้ำมันดิบประมาณ  2,988 ล้านลิตร ปริมาณสำรองน้ำมันดิบที่อยู่ระหว่างขนส่งอีก 1,144 ล้านลิตร น้ำมันสำเร็จรูป 1,468  ล้านลิตร รวมจำนวนวันที่สามารถใช้น้ำมันเชื้อเพลิงได้ทั้งหมด 50 วัน ส่วนปริมาณสำรองก๊าซแอลพีจี ทั้งหมดประมาณ 101 ล้านกิโลกรัม สำรองได้ 17 วันสำหรับใช้ในภาคครัวเรือน ทั้งนี้ ได้มีการบริหารจัดการเพื่อกระจายความเสี่ยงระยะยาว โดยกลุ่ม ปตท.ได้ปรับลดสัดส่วนการนำเข้าน้ำมันจากตะวันออกกลางที่เคยสูงถึงกว่า 74% และล่าสุดปรับลดเหลือประมาณ 50%
    ส่วนการผลิตปิโตรเลียมในประเทศ ปัจจุบันผลิตน้ำมันดิบได้ประมาณ 1.3 แสนบาร์เรล/วัน โดยกรมเชื้อเพลิงธรรมชาติจะขอความร่วมมือในการงดส่งออกน้ำมันดิบ ซึ่งจะได้ปริมาณน้ำมันดิบเพิ่มมากขึ้นประมาณ 25,000 บาร์เรล/วัน และหากมีเหตุฉุกเฉินสามารถเพิ่มการผลิตภายในประเทศให้มากขึ้นอีก 36,000 บาร์เรล/วัน โดยจะขอความร่วมมือกับโรงกลั่นน้ำมันให้หาทางออกด้านเทคนิคเพื่อใช้น้ำมันดิบในประเทศทั้งหมด
    ในด้านการบริหารราคาน้ำมันเชื้อเพลิง กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงมีเกณฑ์สำหรับการบริหารจัดการราคาน้ำมันในช่วงสถานการณ์ฉุกเฉิน ซึ่งได้มีการประเมินสถานการณ์เป็นช่วงระดับราคาต่างๆ ในการบริหารจัดการราคาน้ำมันไม่ให้ส่งผลกระทบต่อประชาชน ซึ่งจะมีการติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดในเรื่องดังกล่าว ขณะนี้สถานะกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงอยู่ที่ประมาณ 37,000 ล้านบาท
    "ในช่วง 3-4 วันนี้จะติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด และนำไปหารือในการประชุมคณะกรรมการกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงในวันที่ 10 ม.ค.นี้ เพื่อตัดสินใจว่าจะลดการจัดเก็บกองทุนน้ำมันต่อเนื่องหรือไม่  จากเดิมมติคณะกรรมกองทุนฯ เมื่อวันที่ 25 ธ.ค.62 ให้ลดการจัดเก็บเงินกองทุนน้ำมันจากวันที่ 26  ธ.ค.62 - 10 ม.ค.63 เพื่อเป็นของขวัญปีใหม่ประชาชนในการลดราคาน้ำมัน 1 บาทต่อลิตร ซึ่งปัจจุบันกองทุนมีฐานะที่สามารถบริหารจัดการได้ที่ 37,000 ล้านบาท นับเป็นสภาพคล่องที่สามารถบริหารจัดการราคาน้ำมันในช่วงสถานการณ์ฉุกเฉิน โดยได้มีการจัดทำเป็นสถานการณ์จำลองหรือ Scenario  ในช่วงระดับราคาต่างๆ ในการบริหารจัดการราคาน้ำมันไม่ให้ส่งผลกระทบต่อประชาชน" นายสนธิรัตน์ ระบุ
พลังงานมั่นใจเอาอยู่
    อย่างไรก็ตาม ในช่วงหลังปีใหม่ราคาน้ำมันที่เปลี่ยนแปลงมาจากการเปลี่ยนแปลงของราคาน้ำมันตลาดโลก หากไม่มีมาตรการของขวัญปีใหม่จากรัฐบาลราคาจะแพงขึ้นอีก 1 บาทต่อลิตร ดังนั้นในวันที่  10 ม.ค.คงจะประเมินว่าเหตุการณ์ตะวันออกกลางจะใช้เงินกองทุนดูแลประชาชนอย่างไร โดยขอให้มั่นใจว่ากระทรวงพลังงานจะสามารถบริหารจัดการสถานการณ์ด้านความมั่นคงของการจัดหาน้ำมันเชื้อเพลิงให้มีใช้อย่างต่อเนื่อง รวมถึงดูแลด้านราคาไม่ให้เกิดความผันผวน
    ม.ร.ว.จัตุมงคล โสณกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เปิดเผยว่า กระทรวงแรงงานมีความห่วงใยพี่น้องแรงงานไทยที่ทำงานอยู่ในประเทศอิรักและอิหร่าน โดยได้สั่งการให้อัครราชทูตที่ปรึกษา  (ฝ่ายแรงงาน) สำนักงานแรงงานในประเทศซาอุดีอาระเบีย (กรุงริยาด) ซึ่งเป็นเขตพื้นที่รับผิดชอบดูแลแรงงานไทยในประเทศอิรัก และอัครราชทูตที่ปรึกษา (ฝ่ายแรงงาน) ประจำสถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงอาบูดาบี สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ซึ่งเป็นเขตพื้นที่รับผิดชอบดูแลแรงงานไทยในประเทศอิหร่าน เฝ้าระวัง ติดตามสถานการณ์ สร้างการรับรู้และประชาสัมพันธ์แจ้งข่าวสารให้แรงงานไทยทั้งสองประเทศรับทราบเป็นระยะ และให้ประสานการดำเนินงานอย่างใกล้ชิดกับสถานกงสุลและเอกอัครราชทูตไทยประจำประเทศนั้นๆ เพื่อเตรียมความพร้อมอำนวยความสะดวกแรงงานไทยและคนไทยในการอพยพหากสถานการณ์ความขัดแย้งรุนแรงขึ้น
    นอกจากนี้ กรมการจัดหางานยังมีเงินกองทุนเพื่อช่วยเหลือคนหางานไปทำงานในต่างประเทศ  เพื่อให้การช่วยเหลือแรงงานไทยที่ได้รับความเดือดร้อนในการไปทำงานในต่างประเทศตามขั้นตอนของกฎหมายอีกด้วย ซึ่งหากแรงงานไทยที่ไปทำงานใน 2 ประเทศดังกล่าวประสบปัญหาก็สามารถขอความช่วยเหลือด้วยกองทุนนี้ได้ ทั้งนี้ปัจจุบันมีแรงงานไทยที่เดินทางไปทำงานในประเทศอิหร่านจำนวน 257  คน และเดินทางไปทำงานในประเทศอิรักจำนวน 25 คน ส่วนใหญ่ไปทำงานในตำแหน่งช่างเทคนิค กุ๊ก  บริการนวด พนักงานบริการ ช่างเชื่อม งานประมง ผู้ปฏิบัติงานในโรงงาน เป็นต้น
    ขณะที่นายไชยยันต์ ชาครกุล ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน)  เปิดเผยว่า จากสถานการณ์ของสหรัฐอเมริกาและอิหร่าน หากมีผลต่อราคาน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้นคงทำให้เศรษฐกิจโลกได้รับผลกระทบ ขณะเดียวกันเศรษฐกิจโลกคงจะไม่เป็นไปตามที่คาดการณ์กันไว้ โดยเวิลด์แบงก์มองเศรษฐกิจในปี 2563 น่าจะโตประมาณ 3.4% ส่วนในสหรัฐอเมริกาเองจะเติบโตน้อยลงเหลือ 2.1% จากปีนี้น่าจะอยู่ที่ 2.4% ด้านกลุ่มประเทศยุโรปเติบโต 1.2% ขณะที่ประเทศญี่ปุ่นที่มีความพยายามดึงการท่องเที่ยวเข้ามาช่วยเศรษฐกิจน่าจะโต 0.5% และจีนที่ช่วงหลายปีเติบโตได้สองหลักมาตลอดน่าจะเหลือ 5.8% ในปีนี้
     "ตอนนี้สหประชาชาติยังไม่ได้เข้ามา แต่ส่วนตัวก็ภาวนาให้จบสวย เพราะคงไม่มีใครอยากให้เกิดสงคราม แต่ระหว่างนี้สถานการณ์ต่างๆ ยังไม่แน่นอน ในส่วนบริษัทเองก็คงมีการปรับแผนทุก 3 เดือนอยู่แล้ว เพื่อให้สอดรับกับเหตุการณ์ต่างๆ ทั้งในและต่างประเทศ แต่หากเศรษฐกิจโลกได้รับผลกระทบ ก็จะเชื่อมมายังประเทศไทยในอนาคต" นายไชยยันต์กล่าว.


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"