อย่ากลับไปฆ่ากันอีก ‘บิ๊กตู่’ลั่นไม่เป็นศัตรูกับใครเชียร์-ไล่ไม่ว่าขอให้ร่วมมือ


เพิ่มเพื่อน    

 “ประยุทธ์” ย้ำไม่ได้เป็นศัตรูกับใคร จะเชียร์จะไล่ไม่ว่า แต่ขอให้ร่วมมือขับเคลื่อนประเทศ อย่ากลับไปรบราฆ่าฟันกันอีก “เพื่อไทย” เลิกเหนียมเรียงหน้าโหน “วิ่งไล่ลุง” เต็มตัว ยกสื่อฝรั่งทำข่าวเยอะเพราะเห็นเป็นจุดเปลี่ยนแปลงทางการเมือง เตรียมหยิบเป็นประเด็นอภิปรายไม่ไว้วางใจด้วย “ธนาธร” บอกชัดๆ เป็นกิจกรรมการเมืองที่ใหญ่ที่สุดนับแต่ปี 2557 ปลุกสู้เพื่อความเปลี่ยนแปลง “น้องช่อ”  ไปไกลอ้างน้ำประปาเค็ม ฝุ่นพิษ และคนฆ่าตัวตายทำให้คนอัดอั้นต้องมาชุมนุม

เมื่อวันจันทร์ เวลา 08.45 น. ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม (กห.) เป็นประธานพิธีเปิดตัวโครงการยุวชนสร้างชาติ ของกระทรวงการอุดมศึกษา  วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) พร้อมให้โอวาทนักศึกษาที่เข้าร่วมโครงการจำนวน 500 คน จาก  7 มหาวิทยาลัยภาครัฐและภาคเอกชน 
    โดย พล.อ.ประยุทธ์กล่าวตอนหนึ่งในการให้โอวาทว่า ขอให้ใช้พลังของหนุ่มสาวให้สังคมสร้างสรรค์  ตอนนี้เราเผชิญกับความท้าทายกับสถานการณ์ แต่จะทำอย่างไรให้เยาวชนเดินหน้าไปได้ 5-10 ปีที่ผ่านมาหลายอย่างเกิดความเปลี่ยนแปลง ดังนั้นต้องลดผลกระทบที่เกิดจากความผันผวน ดิสรัปชันที่เกิดจากโลกดิจิทัล ทุกคนต้องช่วยกันทำงานเพื่อโลกของเรา สิ่งสำคัญคือการศึกษา และวิธีการคิดที่มีกระบวนการ ต้องไม่มองระยะสั้น ต้องมองระยะยาว ต้องปรับเปลี่ยนตัวเอง เพราะไม่มีอะไรได้มาฟรี  เหล่านี้จะช่วยประเทศไทยเดินหน้า ท่ามกลางประเทศที่กำลังอ่อนไหวอยู่ในขณะนี้
    “ขอให้ทุกคนคำนึงถึงคุณธรรมจริยธรรม หากใช้แนวทางการดำเนินการแบบเดิมๆ บางอย่างมันดี แต่ทำไม่ได้ เพราะติดล็อกกฎหมาย และกฎหมายนั้นแก้ไม่ง่าย แต่ต้องหาวิธีการมาอำนวยความสะดวก  ช่วยศึกษาเรื่องเหล่านี้ไปด้วย เรื่องความโปร่งใสก็อีกเรื่อง ถ้าไม่มีกฎหมาย ไม่รู้เรื่องกฎหมาย บ้านเมืองก็สับสนอลหม่านกันไปหมด” พล.อ.ประยุทธ์กล่าว
นายกฯ กล่าวอีกว่า เชื่อว่าทั้งนิสิตและนักศึกษาที่มีพลังขับเคลื่อนมหาศาลจะเป็นพลังให้เดินไปข้างหน้า ท่ามกลางสถานการณ์ที่อ่อนไหวแบบนี้ จึงขอให้รวมพลังสร้างสรรค์ อีกทั้งมีคุณธรรมจริยธรรม และมีความรับผิดชอบต่อสังคม โดยเฉพาะวันนี้เป็นศตวรรษที่ 21 ไม่มีอะไรเหมือนเดิม ถ้าทำแบบเดิมก็จะถอยหลังไปเรื่อยๆ จึงขอให้ทุกคนร่วมกันขับเคลื่อน พร้อมขอให้เรียนรู้ระบอบระบบ การทำงานของรัฐบาลและเอกชนด้วยว่าเป็นอย่างไร มีวิธีทำงานอย่างไร รวมทั้งศึกษากฎหมาย ไม่เช่นนั้นทุกอย่างก็จะไปไม่ได้ ซึ่งบางอย่างดีแต่ติดกฎหมาย เราแก้กฎหมายไม่ได้ ดังนั้นทำอย่างไรให้กฎหมายเป็นประโยชน์  ฝากทุกคนเรียนรู้ในเรื่องเหล่านี้ด้วย
    พล.อ.ประยุทธ์ย้ำว่า วันนี้เรื่องกฎหมายต่างๆ เชื่อว่าดีและครอบคลุมอยู่แล้ว ขณะเดียวกันการใช้จ่ายงบประมาณ และระบบการตรวจสอบถ่วงดุลทุกอย่างมีอยู่แล้ว ต้องเรียนรู้ตรงนี้ไม่เช่นนั้นบ้านเมืองสับสนอลหม่านไปหมด ซึ่งจะปฏิเสธว่าเราไม่รู้กฎหมายไม่ได้ รัฐธรรมนูญก็กำหนดไว้หมดแล้ว บางคนไม่รู้จริงๆ และต้องรู้ว่ารัฐบาลทำอะไรไปแล้ว หลายอย่างทำมาใหม่สมัยนี้ทั้งนั้น ทำเพื่อพวกเราทั้งสิ้น  ถ้าไม่สนใจไปสนใจเรื่องอื่นก็ไม่เกิดประโยชน์
ย้ำไม่เป็นศัตรูกับใคร
    “ผมทำงานตั้งแต่เช้ายังไม่รู้สึกง่วง ทำไม ส.ส.ที่นั่งอยู่ง่วงแล้ว ก็ไม่ว่ากัน เพราะพวกท่านทำงานพบปะประชาชน เยี่ยมเยือน แต่ขอให้ทำงานร่วมกัน ไม่ว่าจะเป็นพรรคใดก็ตาม อะไรต่างๆ ก็ตาม หรือคนที่ไหนก็ตาม ทุกคนหวังดีต่อประเทศชาติทั้งสิ้น ผมไม่ได้เป็นศัตรูกับใครเลย ใครจะเชียร์ จะไล่ จะอะไร ผมไม่ใช่ศัตรูพวกท่าน แต่ทุกคนจะทำอย่างไรให้เกิดความร่วมมือ ขับเคลื่อนประเทศชาติไปข้างหน้า ดีกว่ามาเสียเวลากับเรื่องเหล่านี้ ซึ่งไม่ใช่เรื่องที่จะทำให้ประเทศเดินหน้าไปได้มากนัก แต่ก็เคารพความคิดของทุกคน” พล.อ.ประยุทธ์กล่าว
    พล.อ.ประยุทธ์กล่าวอีกว่า วันนี้ประเทศไทยเดินมาถูกทางแล้ว เป็นการขับเคลื่อนทั้งคนรุ่นใหม่และคนรุ่นเก่า ซึ่งคนรุ่นเก่าเราทิ้งไม่ได้ ไม่งั้นจะแบ่งแยกกันอยู่อย่างนี้ คนรวย คนปานกลาง คนจน กลุ่มนั้นกลุ่มนี้ ถึงเวลาที่เราจะต้องรวมพลังกันได้แล้ว อะไรที่ขัดข้องหมองใจต้องคุยกัน ทุกอย่างต้องแก้ปัญหาแบบนี้ ในต่างประเทศเขาก็แก้ปัญหากันแบบนี้ รบราฆ่าฟันกันยิ่งกว่านี้ เราต้องการกลับไปแบบนั้นกันอีกหรือ อย่าเลย เอาความตั้งใจมาร่วมมือกันคิดกันทำจะดีกว่า 
“วันนี้อยากให้สร้างเครือข่ายให้มากที่สุด ใครไม่มาไม่เป็นไร แต่วันหน้าเขาอาจจะเข้าใจและมาร่วมมือ ผมวาดหวังอย่างนั้น ไม่อยากจะให้มีความขัดแย้งกันใดๆ ทั้งสิ้น โดยเฉพาะเวลานี้ โลกกำลังมีปัญหาหลายประการ เราไม่ควรจะมีปัญหาภายในของเรา เพื่อจะใช้สิ่งที่เกิดขึ้นในโลกใบนี้เป็นโอกาสของพวกเรา เราต้องเอาวิกฤติเหล่านั้นมาอยู่ที่เราในการสร้างโอกาส” พล.อ.ประยุทธ์กล่าว
    ต่อมาในช่วงบ่าย ที่ท่าเรือวัดเสมียนนารี พล.อ.ประยุทธ์เป็นประธานพิธียกเสาเอกชุมชนประชาร่วมใจ 2 เขตจตุจักร คืนบ้านใหม่ให้พี่น้อง คืนสายคลองให้ส่วนรวม โดยนายกฯ กล่าวตอนหนึ่งว่า วันนี้ใครจะว่าอะไร ทำอะไร ก็สุดแท้แต่จะมีวาสนาแค่ไหน งานนายกฯ มีวาสนาน้อย อยู่ที่พวกเราประชาชน เป็นผู้กำหนดแนวทางประเทศ ดูว่าอะไรดีไม่ดี อย่าไปฟังสิ่งที่มันไม่ใช่ แล้วก็เชื่อ มันไม่ได้ ต้องคิดให้เป็น เห็นว่าอะไรมันเกิดผลแล้ว อะไรมันยังไม่เกิดผล อะไรดีแต่พูดก็ว่ากันไป 
“ที่นายกฯ พูดเยอะ หลายคนบอกผมมีแต่พูด แต่เป็นเพราะคิดไว้เยอะและทำไปเยอะ แต่หลายคนก็ไม่รู้ และที่ผมพูดไปเยอะเพราะทำไปเยอะ แต่หลายคนก็ไม่ได้ฟัง ไปฟังอะไรที่บางทีก็ไม่ค่อยได้ประโยชน์เท่าไหร่ แต่ผมไม่เคยรังเกียจใคร ส่วนใครจะชอบหรือไม่ชอบก็ไม่เป็นไร นายกฯ เป็นคนแบบนี้ ยิ่งไม่ชอบผมก็ต้องยิ่งรักท่านให้มากขึ้น เอาความดี ทำต่อให้เขารัก และทุกคนก็ต้องทำแบบนี้” พล.อ.ประยุทธ์กล่าว
    ช่วงหนึ่งนายกฯ ถามชาวบ้านว่า “มีใครทำเท่าผมบ้าง” โดยไม่มีเสียงตอบรับจากชาวบ้าน ทำให้ พล.อ.ประยุทธ์กล่าวต่อว่า “ไม่มีใครกล้าตอบเลยหรือ” ก่อนที่ชาวบ้านจะพร้อมใจตอบว่า “ไม่มี” จากนั้น พล.อ.ประยุทธ์จึงพูดว่าตอบให้มันชื่นใจ ชื่นใจ และกล่าวขอบคุณก่อนลงจากเวทีไป
ขณะที่นายวิษณุ เครืองาม รองนายกฯ กล่าวตอบข้อถามถึงกิจกรรมวิ่งไล่ลุงซึ่งมีคนมาร่วมงานจำนวนมาก จะทำให้เหตุการณ์บานปลายหรือไม่ว่า ไม่มอง ให้คนอื่นเขามอง เพราะฝ่ายความมั่นคงมีหน้าที่มองอยู่แล้ว ส่วนการจัดกิจกรรมจะเข้าเข้าข่ายตามพระราชบัญญัติชุมนุมสาธารณะหรือไม่ ไม่ทราบ ซึ่งการแสดงสัญลักษณ์ก็ไม่เป็นไร แต่ถ้าเข้าข่ายการชุมนุมตาม พ.ร.บ.สาธารณะต้องปฏิบัติตามกฎหมาย 
“การชุมนุมสาธารณะถือเป็นการแสดงสัญลักษณ์ทางการเมือง ซึ่งการแสดงสัญลักษณ์ทางการเมืองมันทำได้หลายอย่าง สื่อยืนยกนิ้วอยู่ตรงนี้ก็เป็นการแสดงสัญลักษณ์ แต่เมื่อไม่ใช่การชุมนุมก็ไม่ต้องขออนุญาต และไม่ต้องไปบอกใคร แต่ถ้ารวมตัวกันหลายคนก็จะเป็นเรื่องของการชุมนุม” นายวิษณุแจง
    ด้าน น.อ.อนุดิษฐ์ นาครทรรพ เลขาธิการพรรคเพื่อไทย (พท.) กล่าวถึงกิจกรรมวิ่งไล่ลุงว่า มีผู้เข้าร่วมจำนวนมากเกินกว่าที่ผู้จัดได้คาดไว้ สะท้อนให้เห็นว่ากระแสไม่เอา พล.อ.ประยุทธ์จุดติดแล้ว ซึ่งนอกจากมีคนรุ่นใหม่และชนชั้นกลางเข้าร่วมแล้ว การที่สื่อต่างประเทศมาเกาะติดรายงานข่าวหลายสำนัก ก็แสดงว่าเขามองกิจกรรมดังกล่าวเป็นจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองของไทย 
”ตอนนี้คนเห็นหมดแล้วว่า พล.อ.ประยุทธ์ไม่ได้ดีไปกว่านักการเมืองที่ตัวเองเคยกล่าวหา แถมการจัดตั้งรัฐบาลก็ยังรวบรวมมาจากสารพัดนักการเมืองที่ตัวเองเคยประณาม และกลไกกติกาต่างๆ ที่ พล.อ.ประยุทธ์สร้างขึ้นล้วนบิดเบี้ยว ไม่ใช่ความปรารถนาดีต่อบ้านเมือง แต่เป็นไปเพื่อการสืบทอดอำนาจเท่านั้น ยังไม่นับรวมเรื่องสองมาตรฐานที่สังคมคงเห็นได้อย่างชัดเจนแล้ว” น.อ.อนุดิษฐ์กล่าว
โหนวิ่งไล่ลุงอภิปรายไม่ไว้วางใจ
น.อ.อนุดิษฐ์กล่าวอีกว่า ตอนนี้ประชาชนต้องการคนที่สามารถแก้ปัญหาเศรษฐกิจได้ มีความรู้ความสามารถ เท่าทันโลกที่เปลี่ยนแปลงไป จึงไม่แปลกที่มีคนเข้าร่วมกิจกรรมเป็นจำนวนมากเพื่อส่งเสียงไปถึง พล.อ.ประยุทธ์ ว่าพวกเขาจะไม่ทนกับรัฐบาลนี้อีกต่อไป และเชื่อว่าจะมีคนเข้าร่วมกิจกรรมแบบนี้มากขึ้นเรื่อย ๆ จนกว่าจะเกิดการเปลี่ยนแปลง ซึ่งพรรคเพื่อไทยและพรรคร่วมฝ่ายค้านจะนำเจตนารมณ์ของกลุ่มวิ่งไล่ลุงไปอภิปรายไล่ลุงในสภาต่อไป เพื่อตอกย้ำให้เห็นว่ารัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์หมดความชอบธรรมที่จะอยู่บริหารประเทศท่ามกลางซากปรักหักพังทางเศรษฐกิจเช่นนี้
นายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด โฆษกพรรค พท.แถลงว่า การที่คนไทย 40 จังหวัดทั่วประเทศลุกขึ้นมาทำกิจกรรมวิ่งไล่ลุง เป็นสัญญาณที่บอกว่าเวลาของรัฐบาลเหลือน้อย จึงขอเสนอ 5 ประการไปยังรัฐบาล  พล.อ.ประยุทธ์ว่า 1.อย่าสกัดกั้นประชาชนไม่ว่าจะเป็นกลุ่มใด หากใครอยากลุกขึ้นมาวิ่งไล่ลุงก็ไปวิ่ง  ใครอยากเดินเชียร์ลุงก็เดิน ไม่ใช้กฎหมายสองมาตรฐาน 2.เจ้าหน้าที่รัฐและเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงต้องวางตัวเป็นกลาง 3.รัฐไม่ควรมีเกมเลื่อน ลด ปลด และย้ายข้าราชการฝ่ายปกครอง โดยใช้เรื่องนี้เป็นเครื่องมือ 4.อย่าผลักคนเห็นต่างเป็นศัตรู และ 5.ต้องยอมรับและรับฟังเสียงที่เห็นต่างของประชาชน  เพื่อยกระดับคุณภาพการทำงานในช่วงเวลาที่เหลือน้อยของรัฐบาล
    ขณะที่ ร.ท.หญิง สุณิสา ทิวากรดำรง รองโฆษกพรรค พท.กล่าวว่า จากกิจกรรมวิ่งไล่ลุงจะเห็นว่ามีสัดส่วนของคนรุ่นใหม่เข้าร่วมกิจกรรมค่อนข้างเยอะ ซึ่งสาเหตุที่ทำให้คนหนุ่มสาวออกมาแสดงพลังต่อต้านรัฐบาลน่าจะเกิดจากเงื่อนไข 3 ประการ คือ 1.ปัญหาสองมาตรฐานในสังคมไทย 2.ความล้มเหลวในการแก้ปัญหาเศรษฐกิจของรัฐบาลที่บริหารประเทศมานาน 5-6 ปี ทำให้คนไทยยากจนและเป็นหนี้ท่วมหัวเป็นอันดับต้นๆ ของโลก และ 3.ปัญหาการปิดกั้นสิทธิและเสรีภาพในการแสดงออกของประชาชนอย่างหนักในช่วง 5-6 ปีที่ผ่านมา
      นายการุณ โหสกุล ส.ส.กทม. พท.กล่าวว่า จากการพบปะประชาชนในหลายพื้นที่ทั้งกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด พบว่าประชาชนเดือดร้อนทั่วหน้า พล.อ.ประยุทธ์จึงควรเลิกโกหกประชาชนและเลิกอ้างการเข้ามารับตำแหน่งนายกฯ เพราะประชาชนเรียกร้อง โดยเฉพาะกิจกรรมวิ่งไล่ลุงยิ่งแสดงว่าประชาชนไม่ต้องการให้ พล.อ.ประยุทธ์อยู่ในอำนาจ ดังนั้นทางออกเดียวของ พล.อ.ประยุทธ์ หากเห็นแก่ชาติและประชาชนควรลาออกแล้วคืนอำนาจให้ประชาชนจะเป็นหนทางที่ดีที่สุด
    ส่วนนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ (อนค.) กล่าวถึงกิจกรรมวิ่งไล่ลุงว่าเป็นเรื่องความตื่นตัวของพี่น้องประชาชนทางการเมือง ทุกคนเห็นถึงความล้มเหลวในการบริหารจัดการของรัฐบาล ทำให้เกิดการตื่นตัวอยากมีส่วนร่วมทางการเมือง และต้องการระบายความอัดอั้นตันใจ และส่งเสียงของเขาให้ผู้มีอำนาจรับฟัง เป็นปรากฏการณ์ที่น่าสนใจมาก ทั้งเป็นการชุมนุมทางการเมืองที่ใหญ่ที่สุดหลังการรัฐประหาร 2557
    “ผมขอให้กำลังใจพี่น้องประชาชนให้ต่อสู้เพื่อความถูกต้องและยุติธรรม เพื่อการมีประชาธิปไตยร่วมกัน ถ้าเราต่อสู้ไปด้วยกัน การเปลี่ยนแปลงที่เราฝันถึงที่จะทำให้ประเทศไทยไปข้างหน้าได้ หากเราไม่ตื่นตัวและมีส่วนร่วมทางการเมือง เราก็จะไม่เห็นการเปลี่ยนแปลง จงอย่ารอคอยการเปลี่ยนแปลง แต่จงเป็นส่วนหนึ่งของมัน” นายธนาธรกล่าว
    ส่วนที่ พล.อ.ประยุทธ์อยากให้มาร่วมกันขับเคลื่อนประเทศมากกว่าออกไปชุมนุม นายธนาธรกล่าวว่า เราก็ขับเคลื่อนประเทศของเราอยู่ พี่น้องประชาชนก็ได้ส่งเสียงออกมาแล้วผ่านกิจกรรมวิ่งไล่ลุงที่เกิดขึ้นทั่วประเทศว่า พวกเขาไม่พอใจในการขับเคลื่อนประเทศของ พล.อ.ประยุทธ์
    น.ส.พรรณิการ์ วานิช โฆษกพรรค อนค.ประเมินถึงผู้มาร่วมกิจกรรมวิ่งไล่ลุงว่า เป็นวัยรุ่นประมาณ  60% ที่เหลือเป็นคนที่มีอายุ 30-40% เรียกว่าเป็นภาพของสังคมที่มีคนทุกวัยมาร่วม ซึ่งกิจกรรมเมื่อวันที่ 12 ม.ค. เราได้เห็นเรื่องที่ดีอย่างหนึ่ง คือไม่ได้มีฝ่ายใดพยายามจัดงานให้ชนกันในสถานที่เดียวกัน  แม้จะชนวันเวลาก็จริง แต่คนทั้งสองกลุ่มไม่มีทางมาปะทะกันแน่นอน ภาพที่เกิดขึ้นอาจดูเป็นการวัดจำนวนมวลชนกันก็จริง อย่างน้อยก็เป็นสัญญาณที่ดีว่ามันคงจะหมดสมัยแล้วที่จะนำมวลชนต่อมวลชนมาปะทะกัน เพราะทุกคนคงไม่อยากให้เกิดความรุนแรงขึ้น
โทษสารพัดเรื่องต้นตอชุมนุม
    “ความเห็นที่แตกต่างเป็นเรื่องปกติและเป็นเรื่องที่ควรเป็น แต่สิ่งที่เราอยากเห็นคือ อย่าเอาคนมาปะทะกันให้เกิดความรุนแรง และอย่าไปใช้วาจาดูถูก ดูหมิ่น ยุยงกันไปมา ทำให้ทั้งสองฝ่ายเกลียดกันมากขึ้น เพราะคนที่ความเห็นต่างกันมีแนวโน้มที่จะเกลียดกันง่ายอยู่แล้ว อีกอย่างคือ รัฐบาลเองควรอำนวยความสะดวกการแสดงออกของประชาชนให้เท่าเทียมกันทั้งสองฝ่าย พูดตรงๆ คือเราเห็นว่าลุ้นอยู่ทุกวันว่างานวิ่งไล่ลุงจะได้จัดไหม แต่งานเดินเชียร์ลุงราบรื่นมาก เราไม่ได้บอกว่าคุณควรห้ามจัดงานเดินเชียร์ลุง เราแค่มีปัญหาว่าทำไมต้องพยายามห้ามจัดงานวิ่งไล่ลุง เราหวังว่ารัฐเองจะปล่อยให้การแสดงออกแบบนี้เป็นไปอย่างเสรี” น.ส.พรรณิการ์ระบุ  
    เมื่อถามว่าหลายคนตั้งข้อสังเกตว่า ในปี 2563 อนค.พยายามเร่งปฏิกิริยาให้เกิดการชุมนุม น.ส.พรรณิการ์กล่าวว่า คนเร่งปฏิกิริยาน่าจะเป็นรัฐบาลมากกว่า เพราะต่อให้ใครกระตุ้นประชาชนขนาดไหน  มันกระตุ้นไม่ขึ้นหรอก หากไม่มีปัจจัยที่ทำให้เขารู้สึกว่าตนเองเดือดร้อนจริงๆ คุณดูสิน้ำประปาก็เค็ม  ฝุ่น pm 2.5 ก็เยอะ คนตกงานเป็นว่าเล่น มีคนฆ่าตัวตายรายวัน ซึ่งเราไม่เห็นข่าวแบบนี้มาตั้งแต่ปี  2540 ซึ่งตอนนี้กลับมาอีก ปัญหาเหล่านี้รุมล้อมและทำให้คนรู้สึกว่าเราต้องการรัฐบาลที่มีประสิทธิภาพกว่านี้ เพราะฉะนั้นคนที่จะเร่งปฏิกิริยากระแสของประชาชนคือรัฐบาลเอง
    ด้านนายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ แกนนำแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) กล่าวว่า  การวิ่งไล่ลุงและเดินเชียร์ลุงเป็นเรื่องปกติที่เกิดขึ้นได้ตามวิถีทางประชาธิปไตย ซึ่งทั้ง 2 กิจกรรมผ่านไปด้วยความเรียบร้อย ส่วนที่นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รมว.พลังงานและเลขาธิการพรรคพลังประชารัฐ  (พปชร.) บอกว่าความเคลื่อนไหวนอกสภาจะนำไปสู่ความขัดแย้ง ประเทศจะกลับสู่วังวนเดิมนั้น  ต้องบอกว่าเห็นต่าง เพราะความขัดแย้งกว่า 10 ปีที่ผ่านมาต่างหากที่ทำให้เกิดความเคลื่อนไหวของทั้ง  2 ฝ่ายนี้ และประเทศไม่เคยออกจากวังวนเดิมเลย มีแต่เปลี่ยนตัวแสดงและรูปแบบการเคลื่อนไหว รัฐบาล คสช.นอกจากไม่แก้ปัญหาแล้วยังทำให้สถานการณ์แย่ลงด้วยการสืบทอดอำนาจ ซึ่งสุ่มเสี่ยงจะเกิดความขัดแย้งใหญ่อีกในอนาคต
       “อายุเฉลี่ยของคนที่ออกมาวิ่งไล่ลุงนั้นต่ำกว่าอายุเฉลี่ยของกลุ่มคนที่ออกมาต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยตลอดกว่าสิบปีที่ผ่านมา และต่ำกว่าอายุเฉลี่ยของกลุ่มเดินเชียร์ลุงอย่างเห็นได้ชัด หลายปีมาแล้วที่พลังหนุ่มสาวเป็นเสียงข้างน้อยในขบวนการประชาธิปไตย สิ่งที่เกิดขึ้นจึงเป็นความเปลี่ยนแปลงที่รัฐบาลควรสำนึก ถ้าต้องการหยุดวิ่งไล่ลุงก็ควรแก้ปัญหาให้ประชาชนเกิดความเชื่อมั่นขึ้นมาบ้าง เช่น ลุงแก้จน  หรือลุงไล่แล้ง ถ้าแก้อะไรไม่ได้เลยก็คงเห็นวิ่งไล่ลุงทั่วบ้านทั่วเมืองยิ่งกว่านี้” นายณัฐวุฒิกล่าว
    นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม สมาชิกพรรครวมพลังประชาชาติไทย (รปช.) โพสต์เฟซบุ๊กในหัวข้อเรื่อง  "วิ่งไล่ลุง" กับ "วิ่งไล่ทอน" ระบุว่า การที่ประชาชนออกมาเดินเชียร์ลุงที่สวนลุมฯ คึกคัก น่าจะมาจากหลายปัจจัย การมาให้กำลังใจลุงตู่ก็เป็นส่วนหนึ่ง แต่ที่อยู่ในใจไม่ได้พูดกันตรงๆ และต้องการแสดงออกนั่นคือเบื่อนายธนาธร ซึ่งนายธนาธรต้องยอมรับว่าการกระทำของคุณนั้นเข้าข่ายชังชาติ มีส่วนที่ทำให้ประชาชนเขาอึดอัด เบื่อ และอยากแสดงออก นายธนาธรจึงเป็นฝ่ายค้านอันดับต้นๆ ของโลกที่ประชาชนเบื่อมากกว่ารัฐบาล และถ้าไม่เปลี่ยนพฤติกรรม การสะสมความน่าเบื่อก็จะมากขึ้น รัฐบาลก็จะได้ประโยชน์ในสิ่งที่คุณทำ ใครจะไปรู้ว่าในอนาคต ระหว่างวิ่งไล่ลุงกับวิ่งไล่ทอนสิ่งไหนจะคึกคักมากกว่ากัน. 
 


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"