ลุงญี่ปุ่นที่คุนหมิง


เพิ่มเพื่อน    

(สถานีรถไฟคุนหมิง เมืองหลวงของมณฑลยูนนาน)

    จนถึงเวลานี้ผมก็ยังไม่ทราบว่าเหตุใดเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองของจีนที่ด่านเหอโข่ว มณฑลยูนนาน ถึงได้คุมตัวผมไปยังห้องพิเศษและกักตัวไว้นานชั่วโมงกว่า จวนเจียนจะรับตั๋วและขึ้นรถไฟไปคุนหมิงไม่ทันเวลา

(อาคารสถานีรถไฟคุนหมิง มองจากฝั่งทางออก)


           ความขุ่นมัวในหัวใจคลายลงไปโขเมื่อเจอแท็กซี่นิสัยดีส่งถึงสถานีรถไฟในราคาไม่แพง แม้ว่าจะถูกแซงคิวตอนรับตั๋ว แต่ก็ยังทันเวลา นำสัมภาระเข้าเครื่องเอกซเรย์ ตัวคนเดินผ่านเครื่องสแกน แล้วจึงไปเข้าแถวรอขบวนรถไฟ แสดงบัตรโดยสารที่ประตูทางออก จากนั้นเดินไปยังโบกี้ตามที่ตั๋วระบุ
           ตั๋วรถไฟนี้ผมจองกับ Trip.com เว็บไซต์จองการท่องเที่ยวออนไลน์รายใหญ่ของโลก ค่าโดยสาร 426 บาท เว็บไซต์คิดค่าธรรมเนียม 20 หยวน เท่ากับ 86 บาท ในภายหลังผมจองกับ Klook เว็บรายใหม่ที่กำลังมาแรงในตอนนี้ ปรากฏว่าไม่ต้องจ่ายค่าธรรมเนียม 20 หยวน แต่ตั๋วในมือของเว็บไซต์รายหลังอาจมีไม่มากเท่ารายแรก หากว่าท่านพูดภาษาจีนไม่ได้และต้องเดินทางท่องเที่ยวในจีนโดยรถไฟ เว็บไซต์จองตั๋วเหล่านี้มีประโยชน์มาก

(ภายในรถไฟความเร็วสูงขบวนเหอโข่ว-คุนหมิง)

        รถไฟความเร็วสูงจากเหอโข่วเหนือ (Hekou Bei Railway Station) ไปยังคุนหมิง (Kunming Railway Station) ออกตรงเวลา 13.08 น. ผมวางเป้หลังบนชั้นวางเหนือศีรษะ พอจะเข้านั่งประจำที่ทางฝั่งซ้ายติดหน้าต่างตามที่ระบุในตั๋ว ลุงคนหนึ่งนั่งอยู่ก่อนแล้ว แกชี้ไปที่เบาะว่างตัวอื่น สื่อว่าว่างเยอะแยะ นั่งตรงไหนก็ได้ ผมก็เลยต้องไปนั่งด้านขวาติดหน้าต่าง เพราะอย่างน้อยหากมีเจ้าหน้าที่ขึ้นมาตรวจตั๋วและออกคำสั่งให้ไปนั่งตามหมายเลขก็จะได้ไม่ต้องเดินไกล

(มีภาษาอังกฤษเขียน "ข้อควรทราบเรื่องตั๋ว" แต่ในรายละเอียดล้วนเป็นภาษาจีน)

    รถไฟวิ่งไต่ความสูงขึ้นไปทีละนิด วิวสองข้างทางเป็นที่ราบสลับกับภูเขา บ่อยครั้งที่ต้องวิ่งเข้าอุโมงค์กลางเขา ซึ่งสัญญาณอินเทอร์เน็ตจะใช้การไม่ได้ ผมได้ซื้อซิมการ์ดมาจากเมืองไทยเพื่อใช้ดูแผนที่และหาข้อมูลต่างๆ ด้วยทราบดีว่าคงหาคนจีนพูดภาษาอังกฤษไม่ได้ง่ายๆ และซิมไทยนั้นดีกว่าตรงที่สามารถใช้กูเกิล เฟซบุ๊ก และไลน์ได้ ขณะที่ซิมจีนบล็อกหมด
    มีรถเข็นขายอาหารแบบบนเครื่องบิน แต่มีของไม่กี่อย่าง ผมเดินหาตู้เสบียงเจอก็ขอเมนูมาดู ชี้สั่งไปที่รูป เป็นอาหารแช่แข็งในจานหลุมพลาสติก พนักงานหยิบจากตู้เย็นเข้าอุ่นไมโครเวฟ ผมจ่ายเงิน 55 หยวนแล้วรับไปนั่งกินที่เก้าอี้ว่างในโบกี้ใกล้ๆ ในจานมีข้าวสวย แกงกะหรี่แกะ ไก่ผัดแตงกวา และผักดอง รสชาติโดยรวมถือว่าไม่เลว   
    รถไฟวิ่งเป็นระยะทางประมาณ 400 กิโลเมตร เข้าสู่เมืองคุนหมิง แวะจอดที่สถานีคุนหมิงใต้ จากนั้นเข้าสู่ปลายทางที่สถานีคุนหมิง (เฉยๆ) 17.26 น. ตรงตามตั๋วเป๊ะๆ ใช้เวลา 4 ชั่วโมง 18 นาที เดินออกจากสถานีสู่ถนน Zhanqian สะดุ้งนิดหน่อยเมื่อเงยหน้าขึ้นไปเห็นเจ้าหน้าที่ในชุดเขียวลายพราง 2 นายถือปืนไรเฟิลอยู่ในป้อมสูง คอยมองลงมายังกลุ่มผู้โดยสาร  
    จากหน้าสถานีผมเดินไปทางขวามือราว 500 เมตร ก็ถึงจุดที่ระบุในแผนที่กูเกิลว่าถึงที่พัก Kunming Yaju International Hostel ผมเดินหาอยู่ครู่หนึ่งในกลุ่มอาคารเดียวกันนี้ เห็นมีที่พักแห่งเดียว เขียนป้ายด้านหน้า The Elegant House Youth Hostel เดินขึ้นไปก็ปรากฏว่าเป็นที่เดียวกัน สองสามีภรรยาเจ้าของที่พักพูดภาษาอังกฤษไม่ได้ ใช้แอปแปลภาษาคุยกันไป-มาพอเข้าใจ ผมจ่ายเงิน 100 หยวน แล้วฝ่ายสามีก็เดินนำไปยังห้องพัก ผมจองห้องเตียงเดี่ยวไว้ เขาให้พักห้องเตียง 2 คู่บน-ล่าง รวม 4 เตียง ซึ่งเป็นห้องดอร์ม ยื่นมือถือให้ผมอ่านข้อความ “เตียงทุกเตียงในห้องเป็นของคุณ” ผมจึงใช้เตียงหนึ่งวางกระเป๋าและข้าวของ เตียงหนึ่งไว้นอน
    อากาศเวลานี้เริ่มหนาวแล้ว อุณหภูมิไม่ถึง 20 องศา ผมหยิบเสื้อแจ็กเกตมาใส่ทับเสื้อยืดเดินออกจากห้องพัก กะจะไปหามื้อเย็น แต่ตัดสินใจเดินขึ้นไปสำรวจบนดาดฟ้าก่อน มีระเบียงยื่นขึ้นไปอีกชั้น ชายคนหนึ่งตะโกนลงมาถามว่า “แวร์ ดู ยู คัม ฟรอม?” ผมตอบ “ไทยแลนด์” แกพูดกลับมาเป็นภาษาไทย “ขึ้นมาๆๆ” พร้อมเสียงหัวเราะ
    “คนจีนทำไมพูดไทยได้?” ผมถาม “คนจีนที่ไหน ผมคนญี่ปุ่น” ชายผมขาว มีผมดำแซมบางๆ ตอบด้วยรอยยิ้มกว้างจนเห็นฟันหลอโล่ง แนะนำตัวว่าชื่อโนบุ เคยอยู่เมืองไทยเมื่อ 30 ปีก่อน ทำงานให้กับบริษัทญี่ปุ่นที่มีสาขาในเมืองไทยอยู่เป็นสิบปีจนพูดไทยได้คล่อง แม้จะย้ายกลับญี่ปุ่นไปหลายปีแล้ว แต่ก็ยังไม่ลืมภาษาไทย

(ก่อนรถไฟความเร็วสูงจะเข้าอุโมงค์แห่งหนึ่งในบรรดานับร้อยอุโมงค์)

    ตอนนี้ลุงโนบุอายุ 60 ปี ไม่ได้ทำงานแล้ว บ้านอยู่ที่จังหวัดโทยามะ แกบอกว่าบ้านแกมีชื่อในเรื่องการเดินป่าปีนเขา หน้าหนาวหิมะตกหนัก ต้องตักหิมะบนถนนไปกองไว้สองข้างทางจนสูงกว่ารถ เวลารถวิ่งให้ความรู้สึกเหมือนวิ่งผ่านอุโมงค์
    แกพักอยู่ที่นี่ได้ 2 วันแล้ว ผมถามเรื่องแผนการเดินทางของแกก็ได้ทราบถึงความไม่ธรรมดา ลุงโนบุนั่งเรือจากเมืองโกเบ ประเทศญี่ปุ่นมายังนครเซี่ยงไฮ้ของจีน ใช้เวลาถึง 45 ชั่วโมง แกซื้อตั๋วพิเศษแบบไม่มีเตียง ใช้ผ้าปูนอนกับพื้นเรือ โกเบ-เซียงไฮ้ ไปกลับ 3 หมื่นเยน หรือราวๆ 1 หมื่นบาท จากเซียงไฮ้นั่งรถไฟต่อมายังคุนหมิง แกบอกว่าไม่ได้หลับไม่ได้นอน เพราะเป็นรถไฟธรรมดา คนจีนเต็มขบวน พักที่โฮสเทลแห่งนี้แล้วนั่งรถไฟต่อไปเหอโข่ว เข้าสู่หล่าวกายของเวียดนาม เข้าลาวที่เมืองขวา ไปออกหลวงน้ำทา เข้าไทยที่เชียงของ จากเชียงของสู่ปลายทางที่เชียงราย เส้นทางนี้แกเดินทางไป-กลับครั้งนี้เป็นครั้งที่ 3  
    เวลานี้แกกำลังเดินทางย้อนกลับเส้นทางเดิม แวะพักที่คุนหมิงเกือบสัปดาห์แล้วจะนั่งรถไฟต่อไปเซี่ยงไฮ้ คราวนี้ยอมซื้อตั๋วรถไฟความเร็วสูง เพราะเข็ดขบวนที่เต็มไปด้วยคนจีน เบียร์ Tuborg หมดขวดพอดี ผมเดินตามแกลงไปที่มินิมาร์ทฝั่งตรงข้ามถนน แกซื้อ Tuborg มาอีกขวด บอกว่ากินเบียร์ทุกวัน วันละ 2 ขวด ผมซื้อเบียร์จีนมาด้วย 2 ขวด กับแกล้มขนมขบเคี้ยว และบะหมี่ถ้วยกึ่งสำเร็จรูป
    เรากลับขึ้นไปนั่งกินบนโต๊ะเก้าอี้ตัวเดิม ฟ้ามืดลงสนิทแล้ว อากาศหนาวขึ้นเรื่อยๆ หนุ่มเจ้าของโฮสเทลขึ้นมาถามว่าอากาศเย็นอย่างนี้ทำไมไม่ใส่เสื้อหนาว เดี๋ยวก็ป่วย ลุงโนบุตอบว่าป่วยก็ไม่เป็นไร มีเวลานอนพักอีกตั้งสี่ห้าวัน แกมีอุปกรณ์สื่อสารหลายชิ้น มือถือ 2 เครื่อง คอมพิวเตอร์แท็บเล็ต ลำโพงไร้สาย ยื่นมือถือให้ผมดูหน้าจอ ความสูงจากระดับน้ำทะเลของเมืองคุนหมิงระบุตัวเลขมากกว่า 1,800 เมตร
    แกดาวน์โหลดหนังลงแท็บเล็ตไว้จำนวนหนึ่ง อยู่ๆ แกก็เปิดหนังไทยเรื่อง “กากี สหัสวรรษ” ปอกไส้กรอกชนิดกินได้สดๆ แกล้มกับเบียร์ ถามผมว่า “กากีแปลว่าอะไร?” ผมให้คำตอบ แกก็ถามว่าในภาษาอังกฤษจะตรงกับคำว่าอะไร ผมคิดหาคำตอบอยู่นานแล้วโยนให้แกเลือกเอาเอง ระหว่าง Bitch และ Slut แกระเบิดหัวเราะโชว์ฟันหลอ
    เบียร์จีนผมจำยี่ห้อไม่ได้ รสชาติจืด แอลกอฮอล์เบาแค่ 3 เปอร์เซ็นต์ ผมดื่มหมด 2 ขวดอย่างรวดเร็วต้องลงไปซื้อเพิ่ม ซึ่งจะเป็นโอกาสผละออกมาจาก “หญิง จุฬาลักษณ์” นางเอกของเรื่อง ผมโอเอ้อยู่นานในละแวกร้านขายของข้างล่างและบริเวณล็อบบี้โฮสเทล กว่าจะกลับขึ้นมาใหม่พร้อมเบียร์จีนอีก 2 ขวด ไม่นานหนังก็จบลงด้วยฉากละเลงเลือด
    จากนั้นผมจึงได้โอกาสถามถึงวิธีการเดินทางอันน่าทึ่งของแกว่า เหตุใดจึงไม่นั่งเครื่องบิน หากบ้านแกอยู่โทยามะก็แค่นั่งรถไปโตเกียวหรือโอซากา แล้วบินไปกรุงเทพฯ แล้วค่อยบินต่อไปเชียงราย ง่ายกว่าและน่าจะประหยัดกว่า ข้อสันนิษฐานของผมไม่ผิด แกกลัวเครื่องบิน
    ลุงโนบุเล่าว่า ครั้งหนึ่งในการขึ้นเครื่องบินจากกรุงเทพฯ ไปโตเกียว ตอนเครื่องจะลงมีลมพัดแรงมาก ทำให้เครื่องส่าย ล้อแตะพื้นครั้งหนึ่ง แล้วเชิดหัวขึ้นไปบินวน ตอนพยายามลงใหม่ก็ประสบเหตุการณ์แบบเดียวกันอีกครั้ง แม้ว่าในที่สุดเครื่องบินจะลงจอดได้และผู้โดยสารล้วนปลอดภัย แต่ลุงโนบุไม่กล้าขึ้นเครื่องบินอีกแล้ว   
    เบียร์ผมหมดไปอีกชุดโดยที่แกไม่แตะเบียร์ผมเลย ทั้งที่คะยั้นคะยอหลายครั้ง ถือว่ายึดกฎการดื่มส่วนตนไว้ได้ดีมาก เราลงจากระเบียงดาดฟ้าไปยังล็อบบี้โฮสเทล ลุงโนบุชงกาแฟดื่มก่อนเข้านอน
    ผมเจอน้องผู้หญิงคนไทยเดินออกมาจากห้องอาบน้ำ สอบถามกันได้ความว่ากำลังรอเพื่อนสาวอีกคนเดินทางมาสมทบเช้าวันรุ่งขึ้นแล้วจึงเดินทางต่อไปท้าความสูงที่ลี่เจียงและแชงกรี-ลา อวยพรให้เธอมีโชคและประสบการณ์ที่ดี จากนั้นผมเดินไปต้มน้ำร้อนในครัวของโฮสเทล เทลงถ้วยบะหมี่ กินเป็นมื้อค่ำและขับไล่ความหนาวในคราวเดียวกัน

(หมาน้อยมองไปทางอู่รถบัส เยื้องๆ กับสถานีรถไฟคุนหมิง)

    เงินหยวนเหลืออยู่ไม่เท่าไหร่แล้ว ดังที่ได้เล่าไว้ก่อนหน้านี้ว่าโดนคนขโมยไปแบบหวังดี (หรืออาจจะเป็นวิถีของมืออาชีพ) เหลือไว้ให้ในซอง 700 หยวน และเมื่อถึงคุนหมิงผมเหลืออยู่แค่ 400 หยวน หรือไม่ถึง 2,000 บาท ผมได้ทำบัตรเดบิตแบบพิเศษก่อนเดินทางออกจากเมืองไทย บัตรเดบิตสีบานเย็นนี้ผูกกับบัญชีเงินฝากออมทรัพย์ เราจะต้องโอนเงินสกุลบาทจากบัญชีเงินฝากเข้าไปไว้ในบัญชีบัตรเดบิตพิเศษนี้ จากนั้นทำการแลกเงินสกุลบาทเป็นสกุลที่ต้องการ มี 12 สกุลหลัก แน่นอนว่าเงินหยวนคือหนึ่งในนั้น อัตราแลกเปลี่ยนเท่ากับร้านแลกเงินขนาดใหญ่ในกรุงเทพฯ และมีการเปลี่ยนแปลงขึ้น-ลงตามการซื้อขายในแต่ละช่วงของวัน สามารถแลกในเวลาใดก็ได้  
    ผมแลกเงินบาทเป็นเงินหยวนไว้แล้วเป็นจำนวนที่เพียงพอสำหรับค่าอาหารและค่าที่พักตลอดระยะเวลาในการเดินทางในจีนตามที่ได้วางแผนไว้ ส่วนค่ารถไฟสามารถจ่ายด้วยบัตรเครดิตใหม่เอี่ยมที่ทำก่อนออกเดินทางไม่นานเช่นกัน   

(อาคารร้านค้าในละแวกสถานีรถไฟคุนหมิง)

    บัตรเดบิตพิเศษของผมใบนี้ใช้กับพันธมิตร Visa สามารถรูดซื้อสินค้าได้ ในแต่ละครั้ง Visa จะหักไปเท่ากับจำนวนจริงของราคาสินค้าที่ระบุเป็นเงินสกุลท้องถิ่น (เพราะเรามีเงินสกุลท้องถิ่นอยู่ในบัตรนี้แล้ว) และประเสริฐยิ่งขึ้นไป เพราะไม่ถูกหักเพิ่ม 2.5 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งเป็นค่าประกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยน
    ปัญหาที่พบหลังจากอยู่ในจีนได้ไม่กี่วันก็คือ ผมหาร้านค้าที่มีเครื่องหมาย Visa (รวมถึง Mastercard) ได้ยากเหลือเกิน ตลอดทริปผมรูดซื้ออาหารได้แค่ในห้างขนาดยักษ์ในนครฉงชิ่งเท่านั้น บรรดาเมืองในจีนที่ผมไปเยือนมีแต่เครื่องหมาย UnionPay และเห็น JCB อยู่บ้าง ผมจึงต้องพึ่งการกดเงินสดจากตู้เอทีเอ็ม บัตรเดบิตพิเศษของผมให้ข้อมูลว่ากดเงินสดได้เสมือนว่าบัตรนี้เป็นบัตรท้องถิ่น เพราะเรามีเงินท้องถิ่นอยู่ในบัตรแล้วนั่นเอง โดยทั่วไปหากเรากดเงินในต่างประเทศจะต้องถูกบวกเพิ่ม 2.5 เปอร์เซ็นต์ จากอัตราที่ถูกกำหนดโดยยี่ห้อบัตร (ซึ่งถูกกว่าอัตราแลกเปลี่ยนจริงอีกนิดหน่อย) บัตรเดบิตนี้บอกว่าหากจะเสียก็แค่ค่าธรรมเนียมในการกดจากธนาคารเจ้าของตู้ โดยปกติก็ไม่มากกว่า 100 บาทต่อครั้ง
    เช้าวันต่อมาผมเดินหาตู้เอทีเอ็มในย่านที่พัก เจอหลายแห่งที่รับบัตรระบบ Visa แต่กดเงินออกมาไม่ได้ เดินจนทั่วในย่านการค้าใจกลางเมืองก็พบแต่ข้อความระบุว่าระบบมีปัญหา พอติดต่อกลับคนที่ทำงานอยู่ในธนาคารเจ้าของบัตรนี้เธอหาข้อมูลให้จากฝ่ายที่เกี่ยวข้อง บอกกลับมาว่าให้ลองกดใหม่ ผมลองกดบัตรพิเศษนี้อยู่อีกหลายวันหลังจากนั้นก็ไม่สำเร็จ ระหว่างนี้ก็ต้องกดบัตรเดบิตธรรมดาเอาเงินออกมาประทังชีวิตไปก่อนทีละไม่มาก แต่โดน 2.5 เปอร์เซ็นต์ทุกครั้ง   
    จนสุดท้ายก็มีคำตอบอันแท้จริงจากธนาคารเจ้าของบัตรเดบิตพิเศษนี้ว่า “ตู้เอทีเอ็มในจีนยังไม่รองรับระบบของบัตร”.


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"