เทคโนโลยีกับการเลือกตั้ง


เพิ่มเพื่อน    

      เพื่อเลี่ยงๆ ไม่ให้ต้องโดนมาตราฉี่ฉิบฉี่เพราะ พูดมากไป  วันนี้เลยต้องขอเปลี่ยนบรรยากาศไปดูเรื่องนอกบ้าน นอกประเทศกันดูมั่ง และเรื่องที่ออกจะน่าคิด น่าสนใจ ไม่น้อย ซึ่งกำลังฮอตๆ ฮิตๆ อยู่ในช่วงระหว่างนี้ น่าจะเป็นเรื่องที่บริษัทวิจัยข้อมูลทางการเมืองของผู้ดีอังกฤษ อ้างว่าไปล้วง ไปควัก ข้อมูลจากผู้ใช้ เฟซบุ๊ก ในอเมริกาอีท่าไหนก็มิอาจทราบได้ แต่ถือได้ว่ามีส่วน พลิก การเมืองในอเมริกา ส่งผลให้ ทรัมป์บ้า ขึ้นมาเป็นประธานาธิบดี หรือ มาเป็นนายขายหน้าเอย จนตราบเท่าทุกวันนี้...

                                                       -------------------------------------------------

       บริษัทที่ว่านั้น...ถ้าว่ากันตามรายงานข่าวที่ เว็บไซต์-เอเอสทีวี ของบ้านเรา เขาได้ถ่ายทอด เรียบเรียง ให้พอรับรู้ รับทราบ ก็คือบริษัทที่มีชื่อว่า เคมบริดจ์ แอนนาไลติกา (Cambridge Analytica) ที่ได้หลุดปาก (คนละแบบกับสมชัย) เปิดเผยความลับของบริษัทให้กับผู้สื่อข่าวที่ปลอมตัวเป็นลูกค้า เข้าไปติดต่อเพื่อขอใช้บริการสำหรับการเลือกตั้งในประเทศศรีลังกา อันพอสรุปได้ว่า...เพื่ออวดโชว์ผลงานว่าบริษัทตัวเองมีศักยภาพ มีประสิทธิภาพสูงโด่เด่ ขนาดไหน ผู้บริหารบริษัทจึงได้อ้างถึงการแอบเข้าไปนำเอา ข้อมูลส่วนตัว ของผู้ใช้ เฟซบุ๊ก ในอเมริกา จำนวนประมาณ 50 ล้านราย หรือที่เรียกว่า ยูสเซอร์ มาใช้ประโยชน์ในการพลิกขวา-พลิกซ้าย พลิกหน้า-พลิกหลัง ยังไงก็มิอาจทราบได้ (เนื่องจากเทคโนโลยีชนิดนี้เป็นสิ่งที่อยู่นอกเหนือการรับรู้ของ ท่านขุนน้อย อยู่พอสมควร) แต่ก็ว่ากันว่า...มีส่วนเอามากๆ ในการส่งผลให้ ทรัมป์บ้า สามารถนอนมาแบบไม่ต้องมีพระสวดนำหน้า โดยที่คู่แข่งของ ทรัมป์บ้า อย่าง ฮิลลารี คลินตัน ต้องถูกชันสูตรพลิกศพ ส่งขึ้นเมรุ สวดบังสุกุลกันไปตามระเบียบ...

                                                         ---------------------------------------------------------

       ถ้าว่ากันตามคำพูด คำจา ของผู้บริหารบริษัท อย่าง อเล็กซานเดอร์ นิกซ์ (Alexander Nix) ตามที่ เอเอสทีวี เขาได้ถ่ายทอดออกมาให้เห็นแบบคำต่อคำ ก็ว่าเอาไว้ประมาณว่า... เราแค่เอาข้อมูลใส่เข้าไปในระบบสายเลือดของอินเทอร์เน็ต และเฝ้ามองการเติบโตของมัน โดยอาจเพียงแค่...ปั่น...เล็กน้อยในช่วงระยะเวลาหนึ่ง แล้วคอยดูว่ามันจะเปลี่ยนรูปไปในทิศทางไหน ดังนั้น...สิ่งนี้มันจึงได้แฝงเข้าไปในสังคมโลกออนไลน์ แต่ด้วยเหตุเพราะมันไม่มีการปิดป้ายบอก จึงบอกไม่ได้ว่ามันมาจากไหน และหาต้นตอก็ไม่พบ... นี่...ฟังแล้วมึนซ์ซ์ซ์มั้ยทั่น ยิ่งโดยเฉพาะผู้ที่คุ้นเคยอยู่กับสังคม 0.4 อย่าง ท่านขุนน้อย ที่แค่ เมม เบอร์โทรศัพท์ใครต่อใครก็ยังเมมไม่เป็นด้วยแล้ว ยิ่งเป็นอะไรที่ งงง์ง์ง์เต๊กก์ก์ก์ เอามากๆ...

                                                        -------------------------------------------------------------

       แต่ก็นั่นแหละ...การที่บริษัทที่ว่า มันสามารถหยิบเอา อารมณ์-ความรู้สึก ของผู้คนจำนวนนับสิบๆ ล้านมาใช้ประโยชน์ในการเลือกตั้งด้วย กรรมวิธี ดังกล่าว ได้อย่างเกิดประสิทธิภาพ ประสิทธิผลมิใช่น้อย มันจึงเป็นเรื่องน่าคิด น่าสนใจ และ น่าอันตราย อยู่ไม่น้อยเช่นกัน โดยเฉพาะในสังคมที่อะไรต่อมิอะไรมันออกไปทาง สวิงไป-สวิงมา มาโดยตลอด อย่างเช่นสังคมอเมริกันที่เต็มไปด้วยพวก สุดโต่ง ในแทบจะทุกเรื่อง ทุกกรณี ไม่ว่าเรื่องสีผิว เผ่าพันธุ์ เรื่องทัศนคติทางการเมือง เศรษฐกิจ สังคม ที่ถ้าหากใครได้เคยอ่านบทวิจัยภาคสนามของ สำนักข่าวรอยเตอร์ ที่ส่งผู้สื่อข่าวนับสิบๆ ราย ลงไปสำรวจสภาพอารมณ์-ความรู้สึกของชาวอเมริกันในรัฐต่างๆ หลังการเลือกตั้งได้ผ่านพ้นไปแล้ว โดยเฉพาะรัฐที่มีอาการ สวิงไป-สวิงมา อย่างเป็นพิเศษ จะเห็นได้ชัดเจนว่า...ลักษณะอาการแบบ สุดโต่ง มันได้แผ่ซ่าน ครอบคลุม ความรู้สึกของบรรดาอเมริกันชน ไม่น้อยกว่าความรู้สึกสุดโต่งในแบบเหลืองๆ-แดงๆ ในบ้านเรา ในแทบทุกๆ กรณีเอาเลยก็ว่าได้...

                                                      --------------------------------------------------------------

       การอาศัยบรรดาสิ่งที่เรียกว่า ข้อมูล ในโลกโซเชียลมีเดียทั้งหลาย กระทำการพลิกขวา-พลิกซ้าย โดยไม่สามารถจับไล่ทันว่ามันเป็น ข่าวจริง หรือ ข่าวปลอม ไม่สามารถสืบหาต้นตอ ไม่รู้ว่าอะไรถูกใส่สีหรือตีไข่ แต่อาศัยการตอบสนองไปยังอารมณ์ ความรู้สึกของผู้คนที่ได้เปิดเผยตัวตนของตน หรือได้ แก้ผ้า อยู่ในอินเทอร์เน็ต ในเฟซบุ๊ก กันในแต่ละราย เป็นเครื่องมือในการพลิกขวา-พลิกซ้ายเช่นนี้ ต้องยอมรับว่า...มันออกจะเป็นอะไรที่ เอาเรื่อง มิใช่น้อย ถึงขั้นผู้ที่แทบไม่น่ามีโอกาสขึ้นเป็นประธานาธิบดีของประเทศมหาอำนาจสูงสุดได้เลย กลับได้  มาเป็นนายขายหน้าเอย กันเห็นๆ ชนิดแทบไม่ต้องไปเสียเวลาโทษรัสเซียว่าแทรกแซงการเลือกตั้งอเมริกาอีกต่อไปแล้ว แค่อาศัยบริษัทวิจัยข้อมูลทางการเมืองเข้าไปล้วงๆ-ควักๆ ข้อมูลของใครต่อใครใน เฟซบุ๊ก ทุกสิ่งทุกอย่างก็เรียบโร้ยย์ย์ย์โรงเรียน ทรัมป์บ้า เอาง่ายๆ...

                                                          -----------------------------------------------------------

       และคงต้องถือเป็นอุทาหรณ์ สอนใจ สำหรับประเทศที่อยากจะเป็น 4.0 ในขณะที่การเมืองยังเป็น 0.4 อย่างบ้านเรามิใช่น้อย เพราะประเทศไทยแลนด์ แดนสยาม ของหมู่เฮานั้น ถือว่าเป็น ประเทศอันดับ 8 ของผู้ใช้บริการ เฟซบุ๊ก มากที่สุดในโลก คือมีจำนวน ยูสเซอร์ พร้อมใจที่จะเข้าไป แก้ผ้า ในพื้นที่แห่งนี้ จำนวนปาเข้าไปถึง 41 ล้านราย อะไรต่อมิอะไรมันเลยออกไปทาง บ้า...ก็...บ้าวะ หนักยิ่งขึ้นเรื่อยๆ ชนิดที่แทบจะส่งผลให้ ทหาร กับ นักการเมือง ชักมีสภาพไม่ต่างอะไรไปจาก ครูปรีชา กับ หมวดจรูญ ไปแล้วในทุกวันนี้...คือ ไม่รู้จะเชื่อใครกันดี ถ้าหากไม่คิดหน้า-คิดหลังเอาไว้มั่ง เจอเข้ากับ คนรุ่นใหม่ ที่มันออกจะเชี่ยวชาญ ช่ำชอง เรื่องราวประเภทนี้ เทคโนโลยีประเภทนี้ เผลอๆ...มีสิทธิ์ บ้าตาย กันทั้งประเทศเอาเลยก็ไม่แน่!!!

                                                              --------------------------------------------------------------

               ปิดท้ายด้วยวาทะวันนี้ จาก Peter Howard (อีกครั้ง)... We have become industrial and technical giants but we have remained moral and spiritual pigmies.- ในยุคปัจจุบัน...เราได้กลายเป็นยักษ์ใหญ่ทางอุตสาหกรรมและวิชาการด้านเทคนิค แต่ในทางจริยธรรมและจิตใจแล้ว เรายังเป็นได้แค่...คนแคระ...

                                                       ------------------------------------------------------

 


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"