หงหยาตงที่ฉงชิ่ง


เพิ่มเพื่อน    

 

 

   รถไฟกลางคืนความเร็วธรรมดา เส้นทางคุนหมิง-ฉงชิ่ง มีตั้งแต่ที่นั่งปรับเอน เตียงนอนแถวละ 3 ชั้น 3 เตียง และตู้นอนพิเศษแยกเป็นห้องมีประตูปิด ห้องละ 4 เตียง ทั้งหมดล้วนปรับอากาศเย็นสบาย ห้องน้ำอยู่ท้ายตู้ ห้องล้างหน้าแปรงฟันแยกออกไปต่างหาก จุดสูบบุหรี่ก็อยู่ใกล้ๆ กัน

                ในตู้นอนพิเศษของผม ตอนออกจากสถานีคุนหมิงนั้นมีผมเจ้าของเตียงล่างด้านซ้าย และหนุ่มรูปร่างอ้วนเตียงบนด้านขวา เขาเอื้อมมือลงมาหมุนปุ่มเสียงประกาศของเจ้าหน้าที่รถไฟ จากเสียงดังกลายเป็นไม่มีเสียง ผมไม่เดือดร้อน เพราะลงสถานีสุดท้ายพรุ่งนี้เช้า สถานีถัดมามีหนุ่มตัวผอมขึ้นมาสมทบ หมอนี่ขึ้นมาปุ๊บก็ปิดไฟดวงกลางแล้วนอนทันที แต่ผมยังสามารถใช้ไฟจากหัวเตียงได้อยู่


วิวจากห้องพักของผู้เขียน ฉงชิ่งมีลักษณะภูมิประเทศที่เต็มไปด้วยภูเขา

                ก่อนนี้เจ้าหน้าที่ได้นำตั๋วเราไปเก็บแล้วให้การ์ดมา 1 ใบ ระบุห้องและหมายเลขเตียง เจ้าหน้าที่เก็บตั๋วไว้ในแฟ้มช่องเดียวกับที่ดึงการ์ดออกมา โดยจะนำตั๋วมาแลกการ์ดคืนให้ก่อนถึงสถานีที่เราจะลง วิธีการนี้หากใครขโมยของผู้อื่นลงไปก่อนก็จะไม่มีตั๋วสำหรับใช้สอดเข้าเครื่องเปิดประตูตอนออกจากสถานี นอกจากว่าตอนจะลงแล้วมือไวฉวยทรัพย์สินชิ้นเล็กๆ ของคนที่ยังไม่ถึงปลายทางและกำลังหลับอุตุติดมือลงไปด้วย แต่ก็นั่นแหละครับ ในจีนหาขโมยยากกว่าคนพูดภาษาอังกฤษเสียอีก จึงวางใจหลับให้สบายจะดีกว่า ปัญหาที่จะหลับไม่สบายก็คือเสียงกรน


อนุสาวรีย์เสรีภาพฉงชิ่ง กลางจัตุรัสเจียฟางเบ่ย

                ผมหวั่นใจอยู่ตั้งแต่เห็นหุ่นตุ้ยนุ้ยของเพื่อนร่วมห้องในตอนแรกแล้ว หลับได้ไม่เท่าไหร่เขาก็กรนทันที กรนไม่หยุด และบางช่วงดังสนั่น แปลกใจที่หนุ่มผอมหลับสนิท ผมนึกเสียดายที่ลืมเหล้าจีน 32 ดีกรีไว้ที่โฮสเทลเมืองคุนหมิง เบียร์ หรือ “ผีจิ่ว” ที่ซื้อจากรถเข็นในรถไฟก็จืดเหลือเกิน หากซื้อมาเพิ่มก็มีแต่จะปวดฉี่ต้องลุกไปเข้าห้องน้ำ กว่าจะหลับได้ก็ดึกมากแล้วทั้งที่วันนี้ผมเพลียหนัก เพราะเดินเยอะ แถมยังชมป่าหินชือหลินด้วยการวิ่งหลายกิโลเมตร แต่หลับได้ไม่เท่าไหร่ก็ตื่นขึ้น เพราะเสียงชายหนุ่มคนหนึ่งลากกระเป๋าเข้ามานอนเตียงล่างฝั่งตรงข้าม

                ไม่นานต่อมาหนุ่มผอมเตียงบนก็ถึงที่หมายลงไปเป็นคนแรก ผมผิดหวังนิดหน่อยที่ไม่ใช่หนุ่มอ้วน จากนั้นหนุ่มผู้มาใหม่ก็เดินไปตามเมียจากห้องไหนไม่รู้มานอนแทนที่หนุ่มผอม เมียไม่มาเปล่า นอกจากกระเป๋าล้อลากหลายใบวางจนแน่นเต็มพื้นห้องแล้วก็ยังมีทารกน้อยมาด้วย

                ทารกน้อยเริ่มร้องให้ ดังขึ้นและดังขึ้นจนหนุ่มอ้วนหยุดกรน คาดว่าตื่นเพราะเสียงเด็กร้อง แต่ไม่นานเขาก็หลับลงได้อีกครั้งและบรรเลงเสียงแข่งกับทารกน้อย ผมจึงแทบไม่ได้หลับอีกเลย กระทั่งถึงสถานีฉงชิ่งตะวันตกเวลา 09.04 น. ซึ่งยังไม่ใช่ปลายทางที่แท้จริง


ผู้เขียนเดินหลงและหาทางลงเนินผาไม่ได้ แต่อย่างน้อยก็ได้วิวนี้มา

                สถานีฉงชิ่งตะวันตก (Chongqing Xi) ไกลจากตัวเมืองอยู่อีกโข ข้อมูลที่หาได้จากอินเทอร์เน็ตบอกว่ามี Long Distance Bus หรือรถบัสระยะไกลสำหรับเข้าเมือง แต่ผมเลือกนั่งรถไฟความเร็วสูงต่อไปยังสถานีฉงชิ่งเหนือ (Chongqing Bei) เที่ยว 10.27 น. มีตั๋วอยู่ในมือแล้ว หากแต่ต้องใช้ประตู Transit แบบเครื่องบิน ห้องผู้โดยสารของสถานีแห่งนี้ใหญ่โตมโหฬาร ยาว 420 เมตร กว้าง 276 เมตร ช่วงที่แคบสุด 150 เมตร พื้นที่รวมของอาคารเกือบ 120,000 ตารางเมตร สามารถรองรับผู้โดยสารในช่วงเวลาเดียวกันได้ถึง 15,000 คน

                พอถึงสถานีฉงชิ่งเหนือเวลา 10.51 น. ก็เดินไปตามป้ายบอกเพื่อต่อไปยังสถานีรถไฟใต้ดิน ผมสับสนสายรถไฟนิดหน่อยจึงเดินเข้าไปขอความช่วยเหลือจากเจ้าหน้าที่สาวบริเวณนั้น เธอมีหน้าที่ให้ข้อมูลอยู่แล้ว ออกตัวว่าภาษาอังกฤษไม่ค่อยดี แต่แนะนำเส้นทางได้เข้าใจง่ายมาก ความจริงภาษาอังกฤษเธออยู่ในเกณฑ์ดี เพียงแต่การออกเสียงอาจฟังยากเท่านั้นเอง

                ผมนึกว่าต้องขึ้นสาย 3 สถานีชื่อ Chongqing North Railway Station แต่เธอแนะนำให้ขึ้นสาย 10 สถานีชื่อ Chongqing North Railway Station – North Square มีคำว่า “จัตุรัสเหนือ” เพิ่มเข้ามา แล้วเปลี่ยนเป็นสาย 6 ที่สถานี Hongtudi วิ่งลงใต้ไป 4 สถานี โผล่ที่ Xiaoshizi Station ในเขตหยูจ้วง (Yuzhong) ย่านใจกลางเมือง ใกล้จุดบรรจบของแม่น้ำแยงซีและแม่น้ำเจียหลิง  


หงหยาตงเต็มไปด้วยนักท่องเที่ยวชาวจีน

                ขณะที่ผมสับสนอยู่กับแผนที่กูเกิลในมือถือบริเวณด้านหลังประตูทางออก ได้ยินเสียงคนขากเสลดมาจากนอกสถานี แล้วเดินเข้ามาถุยในสถานี เฉียดตัวผมไปแค่คืบ เจ้าของเสลดคงไม่คิดว่าจะมีใครมายืนงงอยู่ตรงนี้ แต่ก็ไม่มีคำขอโทษ ผมเข้าใจในภายหลังว่าไม่มีการขอโทษกับเรื่องพรรค์นี้ นอกเสียจากว่าจะถุยลงบนใบหน้าหรือลำตัวเท่านั้น รวมถึงเข้าใจว่าการขากเสลดและถุยลงพื้นเป็นเรื่องธรรมดาสามัญยิ่งในฉงชิ่ง โดยเฉพาะจากคนรุ่นวัยกลางคนขึ้นไป

                ที่พักชื่อ Youdian Lang Homestay ที่ผมจองไว้ระบุตำแหน่งในแผนที่ว่าอยู่ใกล้ๆ สถานีรถไฟใต้ดิน Xiaoshizi แต่พอดูเลขที่ตั้งกลับพบว่าไกลออกไปมาก แถมยังหาในแผนที่กูเกิลไม่เจอ เป็นแบบนี้ก็จนปัญญา ผมค้นหาที่ใหม่ได้เกสต์เฮาส์ชื่อ Zhiqingchun-Ms.Dong Guest (Jiefangbei Branch) ห่างออกไปประมาณ 800 เมตร ในเว็บไซต์รับจองขึ้นตัวเลขห้องว่าง ผมไม่กล้ากดจอง เพราะการจองก่อนหน้านี้ยังไม่ได้ยกเลิก และที่ไม่ยกเลิกก็เพราะเป็นแบบที่ยกเลิกไม่ได้ ผมต้องเขียนอีเมลไปอธิบายว่ากรุณาอย่าตัดเงินจากบัญชี เพราะหาสถานที่ของคุณไม่เจอด้วยข้อมูลที่ให้ไว้เต็มไปด้วยความสับสน


ของกินเล่นแบบนี้มีหลายร้านในหงหยาตงและทั่วฉงชิ่ง

                จากนั้นก็เดินไปบนถนน Xinhua เป็นถนนที่ลาดชันขึ้นเนิน ด้านหลังห่างออกไปประมาณ 1 กิโลเมตร คือจุดบรรจบของแม่น้ำ 2 สาย ท่าเรือเชาเทียนเหมิน จัตุรัส ตึกสูงและห้างใหญ่ ผมเลี้ยวซ้ายเข้าซอย Gongyuan ไม่เห็นมีชื่ออาคารที่ตรงกับชื่อเกสต์เฮาส์ แต่ตำแหน่งในแผนที่บอกว่ามาถึงแล้ว มีตึกสูงอยู่ด้านซ้ายมือชื่อ Yedi ผมยื่นมือถือให้เจ้าหน้าที่ รปภ.ดูชื่อเกสต์เฮาส์เขาก็ชี้เข้าไปในตึก ผมเสี่ยงขึ้นลิฟต์ชั้น 28 เพราะเลขที่อยู่เกสต์เฮาส์คือ 2804 ปรากฏว่าอยู่ชั้น 28 จริงๆ

                สาวรีเซฟชั่นวัยประมาณยี่สิบต้นๆ หน้าตาดี แต่ดูเหมือนคนเพิ่งตื่นนอนเดินมาเปิดประตูให้ ผมถามถึงห้องนอนรวม 4 เตียง เธอบอกราคา 65 หยวน ผมเช็กมาจากเว็บไซต์รับจองแค่ 45 หยวน เธอเปิดประตูให้ดูภายในห้อง มีร่องรอยของผู้เข้าพัก 1 คน ส่วนอีกห้องที่ว่างทั้ง 4 เตียง เธอไม่เปิดให้พัก หากผมจองทางเว็บไซต์จะสามารถเข้าพักได้ เพราะเป็นห้องคนละแบบกับที่เธอให้ดู และราคาต่างกันนิดหน่อย


ความเผ็ดจัดจ้านคือแนวทางของอาหารฉงชิ่งและเสฉวน

                เธอเสนอห้องพักเตียงเดี่ยวในราคา 200 หยวน ถูกกว่าราคาในเว็บไซต์ ผมขอดูห้อง เปิดม่านออกจากผนัง 2 ด้านเป็นกระจกใสเห็นเมือง แม่น้ำแยงซี และภูเขา มีโต๊ะเขียนหนังสือ ห้องน้ำสะอาดติดกระจกใสมองเห็นวิวงามไม่แพ้กัน จึงตอบตกลง จ่ายเงิน อาบน้ำ แล้วก็ออกไปยังถนนซินหัว เดินย้อนไปตามเส้นทางที่เดินมาจากสถานีรถไฟใต้ดิน Xiaoshizi เพื่อหามื้อเช้าบวกมื้อเที่ยงกินในตอนบ่าย เมื่อไม่เจอของกินแบบง่ายๆ ก็ตัดสินใจแวะที่ร้านบะหมี่ริมถนนหน้าห้างเล็กๆ แห่งหนึ่ง ชี้ไปที่รูปเมนูด้านบน แม่ค้าเดินออกมาดูรูปว่าผมสั่งอะไรแล้วกลับเข้าไปลวกเส้นใส่เครื่อง เสิร์ฟมาชนิดที่ต้องตกใจ เพราะดูสีแดงแรงฤทธิ์มากกว่าในรูปหลายเท่า

                บะหมี่นี้ชื่อ “ฉงชิ่งเสี่ยวเมี่ยน” เป็นบะหมี่เส้นเล็กแบบฉงชิ่ง ส่วนความเผ็ดเป็นแบบเสฉวน ปกติในเมืองไทยผมไม่กินเผ็ด บะหมี่ชามนี้น่าจะเผ็ดกว่าทุกบะหมี่ในเมืองไทย ฝืนและทนกินเส้น เนื้อ และผักจนเกือบหมด เหลือน้ำไว้ครึ่งชาม จ่ายเงิน 20 หยวนแล้วเดินปากชากลับไปงีบในห้องพัก ตื่นมาตอนเย็นแล้วก็ออกท่องเขตหยูจ้วง

                เริ่มต้นที่ย่านธุรกิจเจียฟางเบ่ย (Jiefangbei) มีอนุสาวรีย์เสรีภาพฉงชิ่ง สร้างขึ้นเพื่อรำลึกชัยชนะในสงครามโลกครั้งที่ 2 ลักษณะเป็นหอนาฬิกา ความสูง 27.5 เมตร บนฐานอนุสาวรีย์มีทหาร 2 นายเดินวนซ้ายระวังไวไปพร้อมๆ กัน อนุสาวรีย์นี้ตั้งอยู่ตรงกลางจัตุรัสเจียฟางเบ่ยที่กินบริเวณกว้าง 25,000 ตารางเมตร ผู้คนกระจุกตัวกันแถวนี้หนาตา พ้นเขตจัตุรัสถนนแตกออกเป็น 4 แฉก สองฝั่งถนนทั้งสี่ล้วนอาคารสูงแข่งกันพุ่งขึ้นฟ้า ทั้งโรงแรม ห้างร้าน อาคารสำนักงาน ร้านค้าแบรนด์เนม ร้านอาหาร ป้ายโฆษณาแอลอีดีส่องสว่างจ้าตามอาคาร ตึกบางหลังเล่นแสงสีเคลื่อนไหวแพรวพราว บนถนนที่ออกไปทางทิศตะวันตกกำลังมีเทศกาลหนังสือตั้งแผงอยู่ยาวนับร้อยเมตร แต่ไม่ใคร่จะมีคนสนใจมากนัก

                ห่างออกไปจากโซนไข่แดงแห่งฉงชิ่งนี้มีร้านอาหาร ร้านขายของกินง่ายๆ และราคาไม่แพง ผมแวะซื้อพายผัก 2 ชิ้น สื่อสารอยู่นานกว่าจะได้มากิน จากนั้นเดินไปตามแผนที่กูเกิลมุ่งหน้า “หงหยาตง” (Hognyadong) เข้าซอยที่มีวิทยาลัยการแพทย์ มีป้าคนหนึ่งตั้งแผงเล็กๆ ขายถุงเท้า ผมกำลังขาดแคลนถุงเท้าอยู่พอดี เดินเข้าไปใกล้ๆ เห็นแม่ค้าเป็นคนตาบอด แกพูดออกมาเป็นภาษาจีน มีคำว่า “ซาน” และ “ฉือ” ผมเดาว่าน่าจะหมายถึง 3 คู่ 10 หยวน หยิบมา 3 คู่ใส่มือแม่ค้าแล้วยื่นธนบัตร 10 หยวน ป้าแกคลำๆ เงินแล้วมั่นใจว่าเป็นแบงก์สิบ ยื่นถุงเท้ามาให้แล้วพูดว่า “เซี่ยเสียะ” ขอบใจ นึกแล้วขำเพราะรู้สึกว่าผมคุยกับคนตาบอดรู้เรื่องกว่าคุยกับคนตาดี


ประติมากรรมชั้นบนสุดของหงหยาตง

                แผนที่นำทางลัดเลาะไปออกที่เนินผา มีบ้านเรือนแต่คล้ายร้างผู้อยู่อาศัย เบื้องล่างคือแม่น้ำเจียหลิง ถัดเข้ามาคือถนน Jiabin และช็อปปิ้งคอมเพล็กซ์ “หงหยาตง” คล้ายสร้างพิงเนินผา ผมหาทางลงไม่เจอ ต้องกลับออกมายังถนนใหญ่แล้วเดินไปตามความรู้สึก สุดท้ายก็ถึงหงหยาตง ทางเข้านี้อยู่บนถนน Cangbai ชั้นบนสุดของหงหยาตงอยู่ในระนาบเดียวกับพื้นถนน

                หงหยาตงที่แปลว่า “ถ้ำหงหยา” ไม่ได้มีลักษณะเป็นถ้ำ หากแต่เป็นสถานจับจ่ายใช้สอยและดื่มกินขนาดใหญ่ สร้างขึ้นเมื่อปี ค.ศ.2006 เป็นอาคารไม้สไตล์โบราณ 11 ชั้น รูปทรงคล้ายในหนังแอนิเมชั่นเรื่องดังของญี่ปุ่น “Spirited Away” ไฟสว่างขับแสงนวลทองออกมาจากตัวอาคารตั้งแต่ 6 โมงเย็นจนถึง 4 ทุ่ม หากใครมาเยือนตัวเมืองฉงชิ่งแล้วไม่ได้เที่ยวหงหยาตงและถ่ายรูปให้เต็มเฟรมจากอีกฝั่งถนน Jiabin หรือจากเรือล่องแม่น้ำเจียหลิงก็เหมือนมาไม่ถึง

                ดินแดนแห่งนี้เมื่อประมาณ 2,300 ปีก่อนเคยเป็นเมืองหลวงของอาณาจักรปา เนินผานี้ก็คือป้อมปราการเมือง มีรายงานการศึกษาที่เชื่อว่าชาวปามีเชื้อสายเดียวกับชนชาติไต เชื่อมโยงโดยตรงกับหนานผิงลาว ปัจจุบันยังคงอยู่อาศัยในฉงชิ่งและพื้นที่ใกล้เคียงหลายพันครอบครัว มีวัฒนธรรมที่เรียกว่า “ปาหยู” สืบทอดกันมาหลายชั่วอายุคน ในหงหยาตงทุกวันนี้ก็มีโซนการจัดแสดงทางวัฒนธรรมดังกล่าวอยู่

                ผมเดินชมวิถีชีวิตและธุรกิจการค้า เดินไปเดินมาหลายชั้น จนลงไปถึงชั้น 1 รู้สึกเริ่มปวดเท้า หาบาร์น่านั่งไม่เจอ ที่พอจะกล้อมแกล้มคือบาร์คาราโอเกะให้ลูกค้าขึ้นไปร้องเพลง พนักงานชี้ให้ผมเข้าไปนั่งฝั่งตรงข้าม อาจจะเป็นเจ้าของเดียวกัน ในเมนูมีไวน์ขายเป็นขวด ขอสั่งเป็นแก้วเธอก็ดูมึนๆ งงๆ ตอนนั้นผมยังจำไม่ได้ว่าเบียร์เรียกว่า “ผีจิ่ว” พูดว่าเบียร์พนักงานก็ไม่เข้าใจ


หงหยาตงจากมุมหนึ่งของถนน Jiabin ริมแม่น้ำเจียหลิง 

                ยิ่งดึกอากาศยิ่งหนาวขึ้นเรื่อยๆ จึงตัดสินใจเดินกลับที่พัก ระหว่างทางแวะซื้อเบียร์จาก 7-11 ติดมือ 2 กระป๋องพร้อมไก่ทอดไร้กระดูก ถึงชั้น 28 แล้วผลักประตูเกสต์เฮาส์เข้าไป ชายในห้องดอร์มเพียงหนึ่งเดียวเดินมาหา พอรู้ว่าผมไม่ใช่พนักงานส่งอาหารเขาก็เดินกลับไป พื้นที่ล็อบบี้ค่อนข้างกว้างและน่านั่ง ผนังเป็นกระจกใสเห็นวิวอาคารแต้มแสงสียามราตรี ผมเลือกนั่งที่โต๊ะตัวหนึ่ง เปิดเบียร์ชิงเต่าขึ้นจิบ ครู่ต่อมาอาหารของเพื่อนร่วมเกสต์เฮาส์มาส่ง เขารับถุงอาหารใบโตแล้วเดินมานั่งโต๊ะเดียวกับผม แนะนำชื่อ “จาห่าว” มาจากกว่างโจว พูดภาษาอังกฤษพอใช้ได้ แต่มีปัญหาอยู่ที่การออกเสียง บางครั้งจึงต้องใช้แอปแปลภาษาช่วย

                เขาชวนให้ผมกิน “เชาข่าว” เนื้อสัตว์เสียบไม้ปิ้งคลุกเครื่องเทศ บอกว่าสั่งเป็นครั้งแรก ได้ฟรีมาเยอะ รสชาติไม่เผ็ดอย่างที่คิด ผมกินกับเบียร์เข้ากันได้ดีเหลือเชื่อจนต้องเก็บไก่ทอดใส่เป้ ยื่นเบียร์อีกกระป๋องให้จาห่าว แต่เขาเป็นคนไม่ดื่ม ถามเขาว่าชอบอาหารฉงชิ่งหรือไม่ จาห่าวส่ายหน้า พิมพ์ข้อความลงในมือถือ แปลเป็นภาษาอังกฤษยื่นให้ผมอ่าน “Rough” คงหมายถึง หยาบ แข็ง ทื่อ เผ็ด ทำนองนั้น

                แต่เขาก็กินจนหมดเกลี้ยง.

 

แกลลอรี่


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"