แพ้-ชนะ...ในสภาฯ และนอกสภาฯ


เพิ่มเพื่อน    

                ฮื่ออ์อ์อ์...คงต้องยอมรับอย่างมิอาจปฏิเสธได้ ว่า ยุทธการอรุณรุ่ง ของ ดอกเตอร์เหลิม เอาไป-เอามา...น่าจะหนักไปทาง ยุทธการอรุณร่วง หรือ อรุณรุ่งริ่ง ซะล่ะมากกว่า ถ้าไม่ได้ ยุทธการพิน็อกคิโอ ของพวกเด็กๆ เข้ามาร่วมด้วยช่วยกัน ไปสภาฯ เที่ยวนี้ ยุคนี้ ก็คงไม่ต้องเสียเวลา กลัวฉลาม หรือ เฉลิม ใดๆ ต่อไปอีกแล้ว เพราะในแง่ระดับราคา ต้องเรียกว่า...ยังสู้ ลิง หรือสู้ งู แทบไม่ได้...

                                                               -------------------------------------------------------

                เอาเป็นว่า...หลังจากอดตาหลับ-ขับตานอน นั่งเฝ้าอยู่หน้าจอทีวีมาร่วม 2 วัน 2 คืน ก็ยังไม่ถึงกับเห็น หมัดน็อก แบบชนิด ขวาตาย-ซ้ายสลบ จากบรรดาพลพรรคฝ่ายค้านเอาเลยแม้แต่น้อย ยิ่งในช่วงวันแรกๆ หรือช่วงการเปิดฉาก เปิดผ้าม่านกั้ง ยุทธการอรุณรุ่ง ของ ดอกเตอร์เหลิม ด้วยการส่งศูนย์หน้าตัวเป้า อย่าง โจ้ ยุทธพงศ์ ออกมาร่ายยาว ชนิดยาวเฟื้อยเลื้อยลากดิน ตาม ราคาคุย ว่า แค่โจ้รายเดียว...ก็พอแล้ว แต่สุดท้าย...กลับออกไปทางรุ่งๆ ริ่งๆ เพราะโดยข้อมูลแบบเก่าเก็บ แถมยังหนักไปทาง ตัดแปะ ซะอีกต่างหาก อรุณเลยเป็นอันต้องร่วง หรือต้อง ดับสุริยา กันเห็นๆ...

                                                                    -------------------------------------------------------

                จนกระทั่งช่วงวันที่สองนั่นแหละ...ถึงพอได้เข้มๆ ข้นๆ ขึ้นมาอีกซักนิด โดยเฉพาะเมื่อได้พวกเด็กๆ  หรือบรรดา คนรุ่นใหม่ จากพรรค อนาคตหมด หรือ อนาคตไหม้ เข้ามาช่วยสอดๆ แทรกๆ เพิ่มระดับราคาให้พอกระเตื้องๆ ขึ้นมาได้มั่ง แต่ยังไงๆ ก็คงไม่ถึงกับ ขวาตาย-ซ้ายสลบ อีกเช่นเคย เพราะโดยสไตล์ โดยแผนการเล่น ของพวกเด็กๆ ช่วงนี้ น่าจะหันไปเน้นที่ นอกสนาม หรือ นอกสภาฯ นั่นแหละเป็นหลัก การอุบัติขึ้นมาของปรากฏการณ์ บอลแพ้-แต่คนไม่แพ้ ตาม มหาลัย ต่างๆ มันจึงเป็นอะไรที่น่าจับตา น่าสังเกต สังกา กว่าการพ่นไป-พ่นมา ในสนามหรือในสภาฯ อย่างมิอาจปฏิเสธ...

                                                                       ------------------------------------------------------

                พูดง่ายๆ ว่า...ระหว่าง ยุทธการอรุณรุ่ง ของฝ่ายค้าน กับ ยุทธการดับสุริยา ของฝ่ายรัฐบาล  ภายในช่วงระยะ 90 นาที หรือ 120 นาที โดยไม่ทดเวลาบาดเจ็บ ผลมันคงไม่ถึงกับแพ้ขาด-ชนะขาด  ไม่ว่าจะต่อ จะรอง แบบควบลูกครึ่ง หรือจะซักกี่ลูกก็แล้วแต่ ด้วยเหตุเพราะ ฝ่ายค้านเรื้อเวที หรือเพราะเหตุ ฝ่ายรัฐบาลเตรียมตัวมาดี โดยเฉพาะตัว นายกรัฐมนตรี ที่ตกเป็นเป้าหมายในการทำประตู คงต้องยอมรับอย่างมิอาจปฏิเสธได้ว่า งานนี้...ชั่งเป็นอะไรที่สุดอึด สุดทน เอาจริงๆ เก็บอาการได้แบบแทบไม่น่าเชื่อก็ต้องเชื่อ ชนิดไม่รู้ว่าแอบไปฝึกนั่งสมาธิ เจริญวิปัสสนา มาจากสำนักไหน ถึงได้  อานาปานัสสติ ระหว่างรับฟังการด่าว่า ด่าทอ ได้อย่างสงบเย็นเอามากๆ...

                                                                         -----------------------------------------------------

                ส่วนอะไรจริง-ไม่จริง อะไรน่าเชื่อ-ไม่น่าเชื่อ อันนั้น...คงต้องแล้วแต่ สาวก หรือกองเชียร์ผีแดง  หงส์แดง คงต้องไปว่ากันเอาเอง ว่าจะให้ราคาฝ่ายไหนมาก-น้อยไปกว่ากัน แต่สำหรับฝ่ายที่ไม่คิดจะเสมอไหน หรือไม่ได้คิดจะเชียร์ข้างไหน ทีมไหน งานนี้คงต้องหันไปให้คะแนน กรรมการ อย่างคุณพี่  ชวน หลีกภัย อดีตนายกรัฐมนตรีผู้ผันตัวเองมาเป็นประธานสภาฯ อีกรอบ แบบชนิดเต็มๆ เนื้อๆ  อย่างมิอาจปฏิเสธได้ ยิ่งโดยเฉพาะในช่วงที่สะบัดมีดโกนเก่าๆ ว่า ขอแต่เพียงไม่เรียก...ไอ้...ก็พอแล้ว อันนี้...ต้องเรียกว่าเอาไปเลย คะแนนเต็มสิบ ได้ไปถึงร้อยกันเห็นๆ...

                                                                        ------------------------------------------------------

                และน่าจะด้วยความยึดมั่น ถือมั่น ความเชื่อมั่น ศรัทธา ต่อ แนวทางรัฐสภา นั่นเอง...ที่ทำให้คุณพี่ ชวน หลีกภัย ท่านยังอุตส่าห์ทนเหน็ด ทนเหนื่อย ทนต่ออาการเส้นเลือดไม่ไปหล่อเลี้ยงหัวใจ ยอมทำหน้าที่เป็น ประธานรัฐสภา เพื่อประคับประคองระบอบประชาธิปไตยและวิถีทางรัฐสภา ทั้งที่อายุปาเข้าไปอีกไม่กี่สิบปีก็ร่วมร้อย แต่การ เสียสละ ในลักษณะเช่นนี้ จะช่วยให้ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นไปตามความเชื่อ ความศรัทธา ของนักการเมืองรุ่นเก่า รุ่นแก่ รุ่นลายคราม ผู้ไม่เคยสอบตกเอาเลยแม้แต่สมัยเดียว หรือไม่ อย่างไร อันนี้นี่แหละ...ออกจะเป็นอะไรที่น่าสนใจมิใช่น้อย โดยเฉพาะสำหรับ ทิศทางการเมือง ที่กำลังอุบัติขึ้นมาในอนาคตเบื้องหน้า...

                                                                          ---------------------------------------------------

                เพราะดูเหมือนว่า...คำตอบทางการเมือง นับจากนี้ มันชักเริ่มไหลไปในแนว นอกสภาฯ ขึ้นมามั่งแล้ว จะด้วยเหตุผลกลใดก็แล้วแต่ อันเป็นสิ่งที่บรรดา นักการเมือง ทั้งหลาย ไม่ว่าพรรคไหนต่อพรรคไหน ฝ่ายค้านหรือฝ่ายรัฐบาลก็ตามที พึงต้องตระหนักให้มากๆ เข้าไว้ ว่าจะหาทางร่วมมือ ร่วมใจ กันแบบไหน? อย่างไร? ถึงจะทำให้ เวทีรัฐสภา หรือ วิถีทางรัฐสภา ยังคงพอเป็น ทางออก หรือเป็น ทิศทางการเมือง ในระยะต่อไป ไม่ว่าสำหรับคนรุ่นเก่า รุ่นใหม่ หรือรุ่นใดๆ ที่ล้วนแต่เหน็ดเหนื่อย เมื่อยล้า กับ การเมืองนอกสภาฯ มาแล้วด้วยกันทั้งสิ้น...

                                                                            ------------------------------------------------

                พูดง่ายๆ ว่า...ไม่ว่าฝ่ายค้าน หรือฝ่ายรัฐบาล จะแพ้ จะชนะ แต่ถ้าต่างฝ่ายต่างปล่อยให้ทิศทางการเมืองมันต้องไหลออกไป นอกสภาฯ กันอีกครั้ง ก็คงต้องเรียกว่า...ต่างฝ่ายต่าง พ่ายแพ้ ไปด้วยกันทั้งสิ้น ดังนั้น...นอกเหนือไปจากความพยายามเอาแพ้-เอาชนะกันภายในเวทีรัฐสภาคราวนี้ สิ่งที่ต้องถือเป็นภาระและหน้าที่ ของบรรดา นักการเมือง ทั้งหลาย ก็คือการหาทางทำให้ วิถีทางรัฐสภา ยังคงสามารถเป็น ทางออก สำหรับการเมืองไทย ไม่ว่านับจากนี้ ไปจนอนาคตเบื้องหน้าให้จงได้....

                                                                           -----------------------------------------------

                ปิดท้ายด้วยวาทะวันนี้ จาก Charles Yost (อีกครั้ง)...Democracy is not a matter of sentiment, but of fore-sight. Any system that does not take the long run into account will burn  itself out in the short run. - ประชาธิปไตยไม่ใช่เรื่องของอารมณ์ หากเป็นเรื่องการมองการณ์ไกล ระบบอะไรก็ตามที่ไม่คำนึงถึงการณ์ไกล ย่อมเผาไหม้ตัวเองไปในระยะอันใกล้...”

                                                                           ----------------------------------------------------

 


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"