พล.อ.ประยุทธ์เดินเกมสภาฯซักฟอกฉลุย ฝ่ายค้านติดหล่ม-ส้มIOปลุกคนลงถนน


เพิ่มเพื่อน    

 

                หลายฝ่ายคาดหวังว่า หลังจาก “ยุทธพงศ์ จรัสเสถียร” ส.ส.มหาสารคาม พรรคเพื่อไทย หัวหมู่ทะลวงฟัน “ผิดฟอร์ม” ในวันแรก เอาแต่พายเรือวนในอ่าง 2 วันที่เหลือ “ฝ่ายค้าน” จะแก้ตัวได้... แต่ที่ไหนได้กลับกลัดกระดุมผิดก็ผิดไปหมด

                เพราะหลังจากนั้นเนื้อหาการอภิปรายของ ส.ส.ฝ่ายค้านยังเป็นในลักษณะของการ “เวียนประเด็น ตัดแปะข่าวจาก หน้าหนังสือพิมพ์” เหมือนเดิม แตกต่างกันแค่ตัวผู้อภิปรายและลีลาการซักฟอกที่เน้นเอามันส์ ดึงดราม่าเท่านั้น

                “ดาวฝ่ายค้าน” รายอื่นๆ ที่หวังจะเอามาสยบรัฐบาล อยู่ในสภาพ “ดาวดับ” เช่นเดียวกันระเนระนาด ไล่ตั้งแต่ระดับหัวอย่าง นายสมพงษ์ อมรวิวัฒน์ ผู้นำฝ่ายค้าน ที่เจอนายชวน หลีกภัย ประธานสภาผู้แทนราษฎร งัดข้อบังคับมาหวดจนเสียทรง อ่านผิดๆ ถูกๆ ไม่ปะติดปะต่อ

                แม้จะมีการปรับระดับ “การยั่ว” ด้วยการเสียดสี ถากถาง และค่อนแคะ แต่จนถึงวันนี้ยังไม่มีใครแตะ “ตบะ” ของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมได้เลย

                พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส ส.ส.บัญชีรายชื่อ และหัวหน้าพรรคเสรีรวมไทย ที่เคยยั่วประสาท “บิ๊กตู่” สำเร็จเมื่อคราวก่อน มาครั้งนี้ “เสียศูนย์” หนักกว่าเก่า เพราะนอกจากจะดื้อแพ่งอภิปรายประเด็นถวายสัตย์ปฏิญาณตนไม่สำเร็จ ยังถูก “สหายแสง” นายศุภชัย โพธิ์สุ รองประธานสภาผู้แทนราษฎรคนที่ 2 สอนเชิงจนลิ้นพันกัน สุดท้ายเผาเวลาไปฟรีๆ ไม่ได้สาระใดๆ

                ผ่าน 3 วัน พล.อ.ประยุทธ์ และอีก 5 รัฐมนตรี ที่ถูกอภิปรายไม่ไว้วางใจ ยังไม่อยู่ในจุดที่ใกล้เคียงกับคำว่าเพลี่ยง พล้ำเลย

                ขณะเดียวกัน ยิ่งฝ่ายค้านตี “บิ๊กตู่” และเหล่ารัฐมนตรีจะยิ่งแอ่นอกสู้ เรียงคิวกันออกมาชี้แจง พร้อมรายละเอียด

ประกอบ ไม่ปล่อยให้มีการตีกินฟรีๆ ไม่ว่าจะประเด็นเล็กหรือใหญ่

                ไม่ว่าโครงการไหน กระทรวงใด นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง งัดข้อมูลงัดง้างกับฝ่ายค้านได้ทันทีถ่วงทีและชัดเจนเคลียร์ทุกประเด็นจนสิ้นกระแสความ ไม่มีปล่อยให้ยืดเยื้อยาวนานถึงอรุณรุ่ง แต่กลายเป็นอรุณรุ่งริ่ง

                นอกจากนี้ ยังเปลี่ยนจากฝ่ายรับเป็นฝ่ายรุก พลิกวิกฤติเป็นโอกาส ใช้จังหวะฝ่ายค้านติดหล่ม เปลี่ยนเวทีอภิปรายไม่ไว้วางใจคณะรัฐมนตรี มาเป็นเวทีแถลงผลงานนโยบายต่อรัฐสภา

                ขณะที่ ส.ส.อดีตพรรคอนาคตใหม่ แม้นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร ส.ส.บัญชีรายชื่อ จะสร้างความหวือหวาจากการเปิดประเด็น “ไอโอ” แต่หากดูเจตนาในการอภิปรายในประเด็นนี้  เหมือนต้องการใช้ “สภาฯ” ไปล้อกับการเคลื่อนไหว “นอกสภาฯ” ในปัจจุบัน

                มีการแจก “คิวอาร์โค้ด” เพื่อให้บุคคลที่มีแนวคิดตรงข้ามรัฐบาล เข้าไปถล่มกลุ่มไลน์ เว็บไซต์ เพจ ของฝ่ายรัฐ หรือแม้แต่ขององคาพยพฝ่ายรัฐบาล เสมือนเป็นการ “ปักหมุด”

                ให้จนถูกมองว่า เป็นพฤติกรรมในลักษณะย้อนแย้งกัน เพราะนายวิโรจน์พยายามจะแสดงให้เห็นว่า มี “IO” ของฝ่ายรัฐ

                แต่กลับใช้วิธีเดียวกันในการเข้าไปแก้ปัญหา นั่นคือให้คนที่มีแนวคิดตรงข้ามกับรัฐเข้าไปถล่ม ซึ่งดูจะเหนือชั้นและเชี่ยวชาญกว่ามากเสียด้วย ไม่ต่างอะไรกับการกระทำในลักษณะ  “ว่าแต่เขาอิเหนาเป็นเอง” เพราะอย่างที่ทราบกันว่า ส่วนหนึ่งที่ทำให้พรรคอนาคตใหม่ประสบความสำเร็จ เนื่องจากมีผู้เชี่ยวชาญด้านไซเบอร์เป็นทีมงาน ตั้งแต่การทำประชาสัมพันธ์ หาเสียงเลือกตั้ง ตลอดจนประเด็นที่ต้องการจะชี้นำประชาชนให้เกิดความสับสน ปั่นป่วน จนถูกเรียกว่ากระบวนการกองทัพ IO สีส้ม

                บ่อยครั้งยังถูกตั้งข้อสังเกตว่า มีบุคคลในพรรคที่ถูกยุบมีส่วนเกี่ยวข้องและอยู่เบื้องหลังของเพจต่างๆ ที่มีแนวคิดตรงข้ามกับรัฐบาล

                อย่างไรก็ตาม เมื่อการอภิปรายไม่ไว้วางใจไม่สามารถชกแบบทะลุทะลวงเข้าเป้าได้ตลอด 3 วัน ดูเหมือนจะมีการเปลี่ยน

                เกมไปเน้นหนักที่การเคลื่อนไหว “นอกสภาฯ” แทน ภายใต้การนำของ นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ อดีตหัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ และแกนนำคนอื่นๆ เป็นตัวปลุกกระแส

                โดยเฉพาะการเคลื่อนไหวของนักศึกษาในเวลานี้ ที่มีความพยายามจะเข้าไปผสมโรง โดยการยุยง ปลุกปั่น ชี้นำ และบิดเบือนในเรื่องต่างๆ รวมทั้งหมิ่นเหม่ต่อสถาบัน เพื่อหวังให้กงล้อประวัติศาสตร์กลับไปสู่ 14 ตุลา 2516 และ 6 ตุลา 2519

                ซึ่งจบลงด้วยความสูญเสียอย่างประเมินค่าไม่ได้ ทั้งที่คดียุบพรรคอนาคตใหม่เกิดจากความไม่รอบคอบ หลบเลี่ยงกฎหมาย หรือการตีความข้อกฎหมายเข้าข้างตัวเอง

                แต่กลับใช้พลังบริสุทธิ์ของนักศึกษาเพื่อมาปกป้อง “ตัวเอง” ไม่ใช่ประโยชน์โภชผลของสาธารณะแต่ประการใด เป็นการวิ่งสวนทางกันระหว่าง “ฝ่ายรัฐบาล” ที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นเผด็จการ แต่กลับพยายามเดินตามครรลองประชาธิปไตย โดยใช้ระบบรัฐสภา อย่างเช่นการให้ความร่วมมืออย่างดีและสร้างสรรค์ในการอภิปรายไม่ไว้วางใจครั้งนี้

                ในขณะที่อดีตพรรคอนาคตใหม่ ที่ชูความเป็นฝ่ายประชาธิปไตย แม้จะมีสภาให้เล่น แต่เมื่อไม่ได้ผลลัพธ์ที่ตัวเองต้องการ หรือเสียประโยชน์ กลับออกไปปลุกระดมอยู่ด้านนอก ทำตัวเป็นเผด็จการความคิดเสียเอง และนำพาไปจุดสุ่มเสี่ยงความแตกแยก

                ถือเป็นเรื่องที่อันตรายมาก เพราะสิ่งที่กำลังทำคือ การนำนักศึกษาอันเป็นพลังที่ใสสะอาดมาปกป้องผลประโยชน์ของตัวเอง ที่ต้องการล้มรัฐบาล บวกกับสร้างความปั่นป่วนประเทศเพื่อความระบายความแค้นตัวเอง ซึ่งหากมีความเสียหา เกิดขึ้น อยากถามว่าจะแบกรับไหวหรือไม่

                เวลานี้คำเตือนเมื่อหลายวันก่อนของ นายจตุพร พรหมพันธุ์ แกนนำคนเสื้อแดง ซึ่งเคยผ่านการชุมนุม และยังต่อสู้คดีอยู่ทุกวันนี้ต่อ นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ เป็นสิ่งที่น่าสดับมากที่สุด

                "การชุมนุมแบบแฟลชม็อบ อาจจะทำได้เต็มที่ไม่เกิน 5 ครั้ง เพราะหลังจากนั้นผู้มาร่วมชุมนุมจะไม่ยอมกลับเพราะต้องการชัยชนะกลับบ้านกันทั้งนั้น เส้นทางของนายธนาธนจะจบแบบไหน นปช.จบลงด้วยการถูกปราบปรามคนล้มตายจำนวนมาก บางฝ่ายก็จบลงด้วยการมีคนมายึดอำนาจให้ แต่ทุกฝ่ายไม่ว่าจะจบลงอย่างไร ก็ถูกดำเนินคดีด้วยกันทั้งสิ้น”

                และวันนี้มันเริ่มยกระดับมากขึ้นเรื่อยๆ อย่างที่นายจตุพรระบุไว้ ดังนั้น หากมีอะไรเกิดขึ้น แกนนำเหล่านี้พร้อมรับผิดชอบอยู่ “แถวหน้า” นักศึกษาหรือไม่ หรือจะเลือก “หลบอยู่ด้านหลัง” เหมือนที่ผ่านๆ มา ซึ่งมีแต่ผู้ชุมนุมบาดเจ็บ

                ขณะที่แกนนำอยู่รอดปลอดภัย หลายครั้งได้เสวยสุขอยู่ในอำนาจ

                ล่าสุด พล.อ.ประยุทธ์กล่าวถึงเรื่องนี้ในสภาว่า ต้องเตือนว่าขณะนี้ได้มีการนำเรื่องหมิ่นสถาบันเข้ามาไปขับเคลื่อนด้วย ยอมหรือไม่ ถ้าท่านยอมตนก็โอเค ถ้าท่านเห็นว่าถูกต้องตนก็ไม่รู้จะทำอย่างไรเหมือนกัน จำเป็นต้องว่าไปตามกฎหมาย อย่าไปทำอย่างนั้น ตนขอโดยเด็ดขาด

                “ผมไม่โทษนักศึกษา แต่ผมอาจจะต้องกล่าวถึงคนที่ไปนำสิ่งเหล่านี้ออกมา ผมคิดว่าอันตรายที่สุดเลยนะแล้วอนาคตเขาจะหมดไปในวันหน้าด้วยคดีอาญา ผมไม่อยากให้เกิดขึ้นอีกจริงๆ ปี 14 ปี 16 ก็เป็นตัวอย่างแล้วมา 2553 ก็เป็นตัวอย่างใหญ่โต หลายคนก็เข้าไปเกี่ยวข้องอีก ปี 2557 เช่นกัน” นายกฯ เตือนสติ

                กลับมาที่แกนนำพรรคส้ม หากยึดมั่นในแนวทางนี้จับนักศึกษาเป็นตัวประกัน ใช้การเมืองนอกถนนแทนเวทีสภาฯ จนสร้างความเสียหาย จากที่แค่ถูกตัดสิทธิ์ทางการเมือง 10 ปีบางทีอาจจะเลวร้ายกว่าจนไม่มีแผ่นดินจะอยู่ ดังนั้นเมื่อรักประชาธิปไตย ก็ควรอยู่ในกลไกสภา แต่มานั่งคิดดูแล้ว ขอตั้งข้อสังเกตว่า...พรรคส้มคือเผด็จการตัวจริงใช่หรือไม่?. 


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"