เป็นสถานการณ์ที่ต้องเตรียมความพร้อมเพื่อรับมือกับการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 ในระยะที่ 3 หลังจากมีพระราชกิจจานุเบกษาประกาศให้เป็นโรคระบาดไปแล้วเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา อย่างไรก็ตาม การเตรียมพร้อมเพื่อสนับสนุนกระทรวงสาธารณสุขในห้วงต่อไป จึงต้องมีหลายกระทรวง ทบวง กรม เข้ามาเกี่ยวข้อง รวมถึงกระทรวงกลาโหมด้วย
    ทั้งมาตรการป้องกัน เพื่อไม่ให้คนติดเชื้อเพิ่มเติมทั้งคนที่เข้ามาในประเทศ และคนไทย มาตรการรับมือสำหรับผู้ที่ติดเชื้อ ซึ่งต้องมีความระมัดระวัง มีขั้นตอนการดำเนินการที่เป็นระบบ ป้องกันความวุ่นวาย ตื่นตระหนก รวมถึงแนวทางในการให้ข้อมูลที่ถูกต้องเป็นจริงต่อสังคม ด้วยการแถลงข่าวเป็นระยะอย่างเช่นทุกวันที่กระทรวงสาธารณสุขดำเนินการอยู่
    ล่าสุด ในการประชุมคณะกรรมการปรับย้ายนายทหารชั้นนายพล ที่มี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม เป็นประธาน พร้อมด้วย พล.อ.ชัยชาญ ช้างมงคล รมช.กลาโหม พล.อ.ณัฐ อินทรเจริญ ปลัดกระทรวงกลาโหม พล.อ.พรพิพัฒน์ เบญญศรี ผู้บัญชาการทหารสูงสุด (ผบ.ทสส.) พล.อ.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) พล.ร.อ.ลือชัย รุดดิษฐ์ ผู้บัญชาการทหารเรือ (ผบ.ทร.) และ พล.อ.อ.มานัต วงษ์วาทย์ ผู้บัญชาการทหารอากาศ (ผบ.ทอ.) เข้าร่วมประชุม ก็ได้มีการสอบถามความคืบหน้าในการเตรียมความพร้อมในเรื่องนี้ด้วย 
    โดยการประชุมสภากลาโหมช่วงก่อนอภิปรายไม่ไว้วางใจ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม ได้สั่งการให้ทุกเหล่าทัพพร้อมมาตรการ 1.ยกระดับการทำงานของศูนย์อำนวยการป้องกันและแก้ไขปัญหาโรคระบาดของกระทรวงกลาโหมเพื่อสนับสนุนการทำงานของกระทรวงสาธารณสุข โดยมอบหมายให้สำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหมเป็นหน่วยประสานการปฏิบัติ 2.เพิ่มช่องทางการรับรู้ของประชาชนในการป้องกันและดูแลตัวเองให้มากขึ้น 3.ให้กองกำลังป้องกันชายแดนเพิ่มมาตรการการคัดกรองพื้นที่ชายแดนอย่างต่อเนื่อง
    4.ได้กำชับให้มณฑลทหารบกทั้ง 35 แห่ง โรงพยาบาลเหล่าทัพสนับสนุนการรักษาผู้ป่วย รวมทั้งเตรียมการจัดตั้งโรงพยาบาลสนามรองรับ เตรียมพื้นที่ในหน่วยทหารซึ่งอาจเป็นในหน่วยมณฑลทหารบกเพื่อรองรับการควบคุมและรักษาผู้ติดเชื้อหากสถานการณ์ระบาดเกินการควบคุมเข้าสู่ระยะที่ 3 พร้อมขอให้กองทัพอากาศประสานกับอดีตนักบินเพื่อเตรียมพร้อมไปรับคนไทยที่อู่ฮั่น ซึ่งยังไม่ได้เดินทางกลับมา 
    นอกจากนั้นได้กำชับให้หน่วยขึ้นตรงกระทรวงกลาโหมเตรียมพร้อมศูนย์แพทย์อาเซียนมีความพร้อมรองรับการเพิ่มระดับความร่วมมือของกลไกศูนย์แพทย์อาเซียนในการฝึกปฏิบัติร่วมกัน เป็นไปตามแถลงการณ์ร่วมด้านความมั่นคงว่าด้วยการรับมือกับโรคระบาดที่ได้ประชุมกันไว้
    ท้ายสุดได้ฝากให้ พล.อ.ชัยชาญ ช้างมงคล รมช.กลาโหม ขอบคุณกองทัพเรือที่ได้สนับสนุนอาคารรับรองในการใช้เป็นพื้นที่เฝ้าระวังการแพร่กระจายของเชื้อโควิด-19 ของคนไทยที่เดินทางกลับจากประเทศอู่ฮั่น ประเทศจีน พร้อมขอบคุณทีมนักบิน ที่เป็นอดีตนักบินของกองทัพอากาศทั้งหมดของแอร์เอเชียที่ไปรับกลับมา และขอบคุณทุกหน่วยงานทุกเหล่าทัพที่จัดทีมแพทย์เฉพาะกิจสนับสนุนกระทรวงสาธารณสุขออกคัดกรองตรวจตราประชาชน โดยเฉพาะใน 10 สนามบิน
    ในขณะที่เหล่าทัพเองต้องการมีการจัดการฝึกกับทหารนานาประเทศหลายรหัสการฝึกในเดือนที่ผ่านมา ต่อเนื่องถึงต้นเดือนนี้ โดยใช้มาตรการคุมเข้มตลอดเวลาที่มีกิจกรรมการฝึก สันทนาการ เลยไปถึงที่พัก กองอำนวยการฝึก ไล่ตั้งแต่ คอบร้าโกลด์ หนุมานการ์เดียน โดยเฉพาะการฝึกคอบร้าโกลด์ที่มีทหารเข้าร่วมฝึกเกือบ 1 หมื่นนาย จาก 29 ประเทศ 
    โดยเฉพาะประเทศจีนที่มีการคัดกรองและตรวจทั้งจากทั้งต้นทางและปลายทาง และได้เข้าร่วมฝึกเฉพาะโปรแกรมช่วยเหลือประชาชน ไม่ได้เข้าร่วมฝึกภาคสนาม จึงได้ยอมให้กำลังพลของจีนเข้าร่วม 
    ทั้งนี้ เมื่อเดินทางมาถึงประเทศไทยก็ผ่านการคัดกรองตามมาตรฐานของกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข ร่วมกับกรมแพทย์ทหารบก สำนักงานแพทย์กองบัญชาการกองทัพไทย ในการวัดอุณหภูมิไม่เกิน 37.5 องศา จากนั้นก็เฝ้าสังเกตการณ์เพิ่มเติมว่ามี อาการไอ น้ำมูกไหลหรือไม่ ซึ่งมีการตรวจวัดไข้ทุกวันก่อนไปทำงาน เพื่อให้เกิดความมั่นใจ และหากมีอาการ ก็จะรับทราบอย่างน้อย 12 ชั่วโมง ในพื้นที่ส่วนรวม เช่น บริเวณค่าย โรงแรม โต๊ะอาหาร ที่จับประตู จะมีการทำความสะอาดตลอดเวลา ใช้น้ำยาเดทตอลเช็ดถูตลอด
    ขณะที่สาธารณรัฐเกาหลี จากเดิมที่ส่งกำลังพลฝึก 300 นาย แต่ในปีนี้งดส่งกำลังพลเข้าร่วม รวมถึงกำลังพล 30 นาย ที่จะร่วมฝึกในที่บังคับการด้วย เนื่องจากสถานการณ์แพร่ระบาดในเกาหลีน่าเป็นห่วง
    นอกจากนี้ การฝึกหนุมาน การ์เดียน 2020 นับเป็นครั้งแรกที่มีการฝึกระดับหมวดทหารราบยานเกราะสไตรเกอร์ (Stryker) โดยรูปแบบการฝึกจะเป็นการใช้ยานเกราะเบื้องต้น และการฝึกปฏิบัติทางยุทธวิธีของหน่วยทหารราบยานเกราะครั้งแรกระหว่างทหารบกไทยกับสหรัฐก็มีมาตรการคุมเข้มเช่นกัน
    แม้กระทั่งการแข่งขันกีฬาภายในกองทัพบก ครั้งที่ 70 ที่เริ่มขึ้นระหว่างวันที่ 6-11 มี.ค.2563 มีกองทัพภาคที่ 2 เป็นเจ้าภาพก็ต้องเลื่อนออกไปอย่างไม่มีกำหนด จนกว่าสถานการณ์จะคลี่คลาย ทั้งนี้ เพื่อสวัสดิภาพและเป็นการป้องกันไม่ให้กำลังพลเสี่ยงต่อการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสดังกล่าวด้วย 
    ด้วยความพร้อมของเหล่าทัพ ทั้งบุคลากร เครื่องมือ พื้นที่ ในการดูแลสนับสนุนกระทรวงสาธารณสุข ในการดูแลประชาชนที่หากได้รับเชื้อโควิด-19 จำนวนมากในระยะต่อไป จึงทำให้ต้องเตรียมความพร้อมไว้ ทั้งป้องกันไม่ให้กำลังพลของตัวเองมีความเสี่ยงในการรับเชื้อ และเตรียมความพร้อมทุกๆ ด้านไว้เมื่อถึงเวลานั้น.