อุทยานหลุมฟ้าสะพานสวรรค์ (1)


เพิ่มเพื่อน    

 

 

             หากว่าท่านใช้ชีวิตต่างไปจากมนุษย์ทั่วไป เป็นคนนอนดึกตื่นสาย จะด้วยธรรมชาติการงานบังคับหรือนอนหลับยากจนต้องบังคับให้ทำงานเข้ากับวิถีการนอน เคล็ดไม่ลับเพื่อการปรับให้การนอนกลับเข้ารูปรอยเหมือนย้อนสู่วัยเยาว์อีกครั้งวิธีหนึ่งก็คือ การเดินทางท่องเที่ยว


การจัดแสดงตัวอย่างหินหายากในพิพิธภัณฑ์หิน ศูนย์บริการนักท่องเที่ยวอูหลง

                 จะเป็นการเดินทางคนเดียวหรือแบบกลุ่มในบางกรณี ย่อมหนีไม่พ้นการออกแรงเดินเหิน โดยเฉพาะการเดินทางคนเดียวนั้นจะบังคับให้ต้องเดินเหินมากกว่าการใช้ชีวิตประจำวันไปหลายเท่าตัวด้วยบางสาเหตุ อาทิ ประหยัดเงิน กลัวแท็กซี่โกง นั่งรถเมล์ไม่เป็น และบางคนนั้นชอบเดินเป็นทุนอยู่แล้ว เพราะสามารถสัมผัสสิ่งอย่างรอบตัวได้ถนัดชัดเจนกว่า 

                 ถึงเวลาค่ำคืนไม่ต้องดึกดื่นมากร่างกายก็จะเรียกหาเตียงนอนแต่โดยดี ไม่นับที่ได้ดื่มเข้าไปสักนิดหน่อยพองาม บวกกับการที่สมองปลอดโปร่งไร้กังวลจากหน้าที่การงานที่อยู่ไกลออกไป ผมเป็นคนประเภทหลับยากเมื่ออยู่บ้าน (และเมื่ออายุมากขึ้น) จนกลายเป็นคนนอนดึกตื่นสาย แต่เมื่อได้เดินทางท่องเที่ยวก็จะกลับไปเป็นเด็กวัยรุ่น หลับง่ายโดยบางวันไม่ต้องพึ่งเครื่องดื่มประจำถิ่นเลยก็ยังได้ แถมตื่นเช้าอีกต่างหาก 


ตัวอย่างหินหายากในพิพิธภัณฑ์หินอูหลง

                 จาห่าว หนุ่มกว่างโจวเพื่อนใหม่ของผม เพื่อนร่วมเกสต์เฮาส์เพียงคนเดียวนัดหมายเวลากันไว้ที่ 06.45 น. ผมออกไปเจอเขาที่ล็อบบี้แล้วก็พากันเดินลงสู่ถนน เขาบอกว่า 7 โมงตรงต้องขึ้นรถทัวร์ ระหว่างทางเดินไปยังย่านเจียฟางเบ่ย เขาแวะซื้อแป้งทอดคล้ายๆ โรตี 2 แผ่นเพื่อเป็นอาหารเช้า ยื่นให้ผม 1 แผ่น ผมยังไม่หิวกะจะเก็บไว้กินทีหลัง เขาก็ขอกลับไปกินเองจนหมด

                ใช้เวลาไม่นานจาห่าวหารถทัวร์ที่จองไว้เจอแล้วก็ชวนผมขึ้นไปนั่ง เปิดเผยความจริงออกมาว่ารถออก 7 โมงครึ่ง แต่นัดเวลาเผื่อๆ เอาไว้ก่อน

                เวลา 07.22 น. รถก็ออก คงเพราะผู้ร่วมคณะทัวร์มากันครบแล้ว ส่วนใหญ่เป็นผู้สูงวัย รุ่นอาโกว อาแปะ ขึ้นไป ไกด์สาวบรรยายจีน จาห่าวคอยแปลให้ผมฟังเป็นภาษาอังกฤษเท่าที่เขาเห็นว่าเป็นข้อมูลน่าสนใจและมีประโยชน์ ผมเกรงใจเหลือเกิน แต่ให้ทำไงได้ ไม่เช่นนั้นก็มืดบอดทุกอย่าง 

                ไกด์สาวขอเก็บเงินเพิ่มคนละ 50 หยวน สำหรับผู้ที่ต้องการเข้าชมพิพิธภัณฑ์หินและเดินบนระเบียงพื้นกระจกใสสูงเสียวไส้ ทุกคนในรถพร้อมใจกันจ่าย ไม่รู้ว่าทางบริษัททัวร์จะซ่อนโปรแกรมส่วนนี้ไว้ทำไม คงคิดว่าค่าทัวร์ 370 หยวนนั้นดูจะแพงไป สู้ขายที่ 320 หยวนไม่ได้ ลูกค้าตัดสินใจซื้อง่ายกว่า


​​​​​​​แล้วแต่จินตนาการของแต่ละคนจะบอกว่าเห็นเป็นสิ่งใด

                ผมลองตรวจสอบราคาทัวร์ที่มีไกด์บรรยายภาษาอังกฤษนั้นแพงกว่าไกด์จีนประมาณ 3 เท่า ส่วนคณะทัวร์ไทย (ไกด์จีนพูดไทย) ที่รวมตั๋วเครื่องบิน ที่พักและอาหารอยู่ในแพ็กเกจ เฉลี่ยออกมาแล้วถือว่าราคาไม่ค่อยแพง ครั้นจะเดินทางมาเองผมก็ไม่ได้หาข้อมูลไว้ก่อน มาทราบทีหลังว่ามีรถไฟและรถบัสมายังเขตอูหลง หารถเข้าไปยังศูนย์บริการนักท่องเที่ยวอูหลง (Wulong Karst Tourist Center) จากนั้นซื้อตั๋วแล้วจึงนั่งรถอีกต่อเข้าไปยังทางเข้าอุทยานอันกว้างใหญ่ไพศาลและทั้งลึกทั้งสูง เรียกว่า Wulong Karst National Geology Park

                หากไม่รู้จักกับจาห่าวผมก็คงต้องคลำๆ มาจนถึงที่หมาย แต่น่าจะเที่ยวโดยขาดตกบกพร่องไปหลายสถานที่ รวมถึงพลาดรายละเอียดดีๆ ไปอย่างแน่นอน กลับมาคิดดู ผมรู้สึกว่าโชคดีมากที่ได้ผู้มีน้ำใจและอัธยาศัยดีมาเป็นเพื่อนร่วมทาง แถมยังทำหน้าที่แทนการท่องเที่ยวฉงชิ่งทั้งที่เขามาจากมณฑลกวางตุ้ง


​​​​​​​หินรูปหัวใจดึงดูดความสนใจจากทุกคน

                ระยะทางเกือบๆ 200 กิโลเมตร รถทัวร์ใช้เวลาวิ่งประมาณ 3 ชั่วโมงถึงเขตอูหลงที่อยู่ภายใต้การบริหารของเทศบาลนครฉงชิ่ง ซึ่งฉงชิ่งเป็น 1 ใน 4 เทศบาลนครของจีนที่ขึ้นตรงกับรัฐบาลกลาง อีก 3 แห่ง ได้แก่ ปักกิ่ง, เซียงไฮ้ และเทียนจิน

                จาห่าวแปลให้ฟังว่าสถานะทางเศรษฐกิจของเขตอูหลงดีขึ้นอย่างรวดเร็วภายในไม่กี่ปีที่ผ่านมา เนื่องจากการท่องเที่ยวอุทยานธรรมชาติอูหลง เฉพาะอย่างยิ่งพระเอก “หลุมฟ้าสะพานสวรรค์”ถูกนำเสนอสู่ภายนอกและมีการจัดการอย่างเป็นระบบ ผมเชื่อว่าคงหลังจากภาพยนตร์เรื่อง “Curse of the Golden Flower” (ศึกโค่นบัลลังก์วังทอง) ของผู้กำกับดัง "จางอี้โหมว" ออกฉายในปี ค.ศ.2006 โดยโรงเตี๊ยมกลางหลุมฟ้าในฉากเด่นของเรื่องนั้นสร้างขึ้นใหม่ (แทนของเก่าที่ถูกทำลาย) เมื่อ 1 ปีก่อนหน้านั้น

                เวลาประมาณ 11 โมง รถทัวร์ของเราแวะให้ลูกทัวร์กินข้าวเที่ยง ร้านอาหารจัดโต๊ะจีนไว้แล้วหลายโต๊ะเต็มร้าน มีแยกออกเป็นห้องเล็กห้องใหญ่อีกจำนวนหนึ่ง นอกจากคณะของเราแล้วก็ยังมีคณะจากรถคันอื่นด้วยที่ทยอยกันเข้ามากิน แม้ยังไม่ถึงเวลาสำหรับมื้อเที่ยงของบางคน แต่บรรดาทัวร์และนักท่องเที่ยวที่เดินทางมาเองต่างก็ต้องกินอาหารก่อนเข้าไปในอุทยานหลุมฟ้าสะพานสวรรค์ เพราะในนั้นไม่มีการจำหน่ายอาหาร เข้าใจว่าห้ามพกไปกินด้วย ออกมาอีกทีก็ตอนเย็น หากไม่กินเสียก่อน รุ่นใหญ่อย่างอากง อาม่าทั้งหลายมีโอกาสหิวจนเป็นลมสูง 


​​​​​​​ตัวอย่างหินหายากในพิพิธภัณฑ์หินอูหลง

                จาห่าวบอกให้ผมเดินตาม เขานั่งลงที่โต๊ะตัวหนึ่ง เว้นเก้าอี้ให้ผมนั่งข้างๆ คณะทัวร์ล้อมเป็นวงกลมรอบโต๊ะจีน ตักข้าวสวยใส่ถ้วยใครถ้วยมันแล้วยื่นโถใส่ข้าววนๆ ไป จากนั้นจึงเริ่มหมุนโต๊ะทวนเข็มนาฬิกาใช้ตะเกียบคีบอาหารจากในจาน กินกับข้าวสวย อาหารวางไว้พร้อมหมดแล้ว มีอยู่มากกว่า 10 อย่าง ตอนแรกๆ เหมือนจาห่าวกังวลว่าผมจะกินไม่เป็น ไม่นานเขาก็ดูสบายใจ ผมกินเสร็จเป็นคนท้ายๆ ของโต๊ะ ไม่ใช่อาหารฉงชิ่งหรือเสฉวนที่เผ็ดร้อน ถือว่าเป็นมื้อที่อร่อยที่สุดในการเดินทางครั้งนี้ และอาจเป็นมื้อที่กินมากที่สุดด้วยเช่นกัน ผมรู้ดีว่าจะต้องเดินกันหลายกิโลในอีก 4-5 ชั่วโมงข้างหน้า

                จากนั้นพวกเราก็ขึ้นรถไปยังศูนย์บริการนักท่องเที่ยว อาคารรูปทรงพีระมิด ไกด์ของเราจัดการเรื่องตั๋วไว้เรียบร้อยแล้ว แต่เรายังไม่เดินทางไปยังอุทยานหลุมฟ้าสะพานสวรรค์ เพราะในศูนย์แห่งนี้มีส่วนที่เป็นพิพิธภัณฑ์หรืออาจเรียกส่วนจัดแสดงตัวอย่างหินหายาก สวยงาม ไปจนถึงขั้นแปลกประหลาด และเราได้จ่ายเงินสำหรับค่าเข้าชมไปแล้ว

                ไกด์ของศูนย์ทำหน้าที่บรรยายข้อมูลของหินที่จัดแสดง ผมบอกจาห่าวว่าไม่ต้องแปลให้ฟัง เพราะคงยากเอาการ อีกทั้งเกรงใจ เพราะตัวเขาไม่ใช่ไกด์ สุดท้ายก็แยกย้ายกันชม


ขออนุญาตสุภาพสตรีผู้ไม่กลัวความสูงทุกท่าน

                หินแต่ละก้อนแต่ละกลุ่มมีขนาด รูปร่างและสีสันที่หลากหลาย มีชื่อและชนิดของหินเขียนไว้ บ้างมีแต่ภาษาจีน บ้างก็มีภาษาอังกฤษกำกับด้วย ที่เป็นก้อนใหญ่ตั้งโชว์แยกกันไว้นั้นดูคล้ายประติมากรรม เห็นเป็นรูปสัตว์ ต้นไม้ พาหนะ สัตว์ประหลาด รูปเคารพ บางชิ้นสัณฐานบอกชัด บางชิ้นก็สุดแต่จินตนาการ จัดแสดงได้งดงาม อลังการ คล้ายศิลปะการจัดวาง บางชิ้นน่าเกรงขาม บางชิ้นดูแล้วอมยิ้ม ส่วนหินก้อนเล็กๆ จัดแสดงอยู่ในจานหลายใบ มองเผินๆ เหมือนอาหารตั้งเรียงรายรอคนมากิน

                ยังมีโซนที่แสดงการทับถมของซากพืชซากสัตว์ ส่วนมากใส่กรอบไว้ดูคล้ายผลงานจิตรกรรม พืชและสัตว์เหล่านี้เคยมีชีวิตในยุคดึกดำบรรพ์ สัตว์บางตัวที่ยังมีชิ้นส่วนโครงกระดูกครบถ้วน แต่กลับสูญพันธุ์ไปนานแล้วจากโลกใบนี้

                ไกด์ไม่ได้ให้เวลาพวกเรานานนัก จาห่าวเดินมาตามให้ผมรีบออกไปสมทบกับคณะ นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่ที่มาเยือนอูหลงไม่ได้เข้าไปชมในส่วนการจัดแสดงนี้ หากเดินทางมาด้วยตัวเอง ผมคงใช้เวลาในโซนนี้นานเป็นพิเศษ ใกล้ๆ กับศูนย์บริการนักท่องเที่ยวมีที่พักให้บริการหลายเจ้า ถ้ามีเวลานอนค้าง ก็จะได้ดูคนดูเมือง แล้วก็แวะมาดูพิพิธภัณฑ์หินเสียให้ฉ่ำใจ 

                ก่อนเที่ยงนิดหน่อยรถทัวร์ของเราก็มาถึงระเบียงพื้นกระจกใส ใช้ชื่อในภาษาอังกฤษว่า The Glass Sightseeing Balcony of the Three Natural Bridges สร้างยื่นไปจากยอดหน้าผา เป็นชะง่อนออกไปสู่เวหาเวิ้งว้าง ผนังระเบียงก็เป็นกระจก แต่มีราวเหล็กสูงระดับหน้าอกตีเป็นขอบกันตกและสำหรับไว้จับเดิน 

                ระเบียงพื้นกระจกใสนี้มีความสูงจากระดับน้ำทะเล 1,200 เมตร ส่วนพื้นดินเบื้องล่างนั้นอยู่ลึกลงไป 298 เมตร ข้อมูลในโบรชัวร์ภาษาอังกฤษที่เหลืออยู่เพียงชุดเดียวในศูนย์บริการนักท่องเที่ยวระบุว่าเป็นระเบียงกระจกที่สูงที่สุดในโลก อีกทั้งใช้แผ่นกระจกหนาที่มีขนาดแต่ละชิ้นใหญ่ที่สุดในโลกเช่นกัน ระเบียงมีพื้นที่ 220 ตารางเมตร ผมไม่เคยไปเยือนระเบียงพื้นกระจกใสที่ไหนมาก่อน แต่รู้สึกว่าระเบียงแห่งนี้ไม่ได้กว้างขวางอะไรนัก ทำให้น่าหวาดเสียวเข้าไปอีกหน่อย


การทับถมของซากพืชซากสัตว์ในอดีตกาลกลายเป็นผลงานจิตรกรรม

                มีป้ายคำเตือนเขียนไว้ทั้งภาษาจีนและอังกฤษ ได้แก่ ระวังลื่น, ระวังตก, เดินช้าๆ, ห้ามกระโดด, ห้ามปีน และห้ามทุบห้ามเคาะ ผมรู้สึกไม่ดีที่เขียนว่า “ห้ามทุบห้ามเคาะ” แต่คงแค่เตือนกันไว้เป็นธรรมดา ไม่งั้นมนุษย์จอมซนและชอบทำอะไรแผลงๆ อาจข้ามขั้นไปทำอย่างอื่นที่อันตรายกว่า

                ก่อนเดินเข้าสู่ระเบียง เจ้าหน้าที่ให้หยิบรองเท้ากำมะหยี่ยืดหยุดที่วางไว้ในกรงตาข่ายเหล็กมาสวมหุ้มรองเท้าของเราเพื่อไม่ให้สร้างความเสียหายแก่กระจก ยอมรับว่าเกิดอาการขาสั่นอยู่เหมือนกันตอนที่เดินไปบนกลางแผ่นกระจก บ่อยครั้งที่ต้องยอมเสียฟอร์มเดินบนขอบหรือบริเวณรอยต่อระหว่างแผ่นกระจก ส่วนนี้จะเห็นคานเหล็กรองรับอยู่ ให้ความรู้สึกปลอดภัย เดินไปเดินมาสักพักก็กล้าที่จะเดินไปบนกลางแผ่นกระจก แต่เดินเชิดหน้า ไม่กล้ามองลงไปยังหุบเหวเบื้องล่าง

                ชาวจีนรุ่นใหญ่ทั้งหลาย โดยเฉพาะสุภาพสตรีกลับไม่มีความกลัวแสดงออกมาให้เห็น  ทั้งนั่งทั้งนอนลงกลางแผ่นกระจกแล้วเพ่งมองลงเบื้องล่าง บ้างก็รวมกันเป็นกลุ่มถ่ายรูปส่งเสียงสนุกสนาน แม้มีเสียงเอียดๆ แอดๆ ดังขึ้นเป็นบางคราว


ระเบียงกระจกใสห้อยอยู่คล้ายชะง่อนผา ถ่ายหลังจากลงลิฟต์แก้วสู่อุทยานหลุมฟ้าสะพานสวรรค์

                จาห่าวก็เป็นอีกคนที่ไม่มีอาการตื่นกลัว คงเป็นเพราะว่าระเบียงพื้นกระจกใสในจีนนั้นมีอยู่มากมาย เขาน่าจะไปเยือนมาแล้วหลายแห่ง เขาถ่ายรูปผมแล้วส่งให้ในภายหลัง ผมมาดูรูปก็พบว่าตัวเองยืนอยู่บนขอบรอยต่อของแผ่นกระจก

                สรุปกับตัวเองได้ว่ายังไม่ผ่านด่านทดสอบระเบียงริมผาชวนขาสั่นนี้ และถ้าจะต้องทดสอบใหม่โดยให้เดินไปบนสะพานพื้นกระจกข้ามภูเขาอย่างที่เคยเห็นกันในทีวี

                ก็คงต้องสอบตก เพราะทำได้แค่เดินบนขอบกระจกอีกเหมือนเดิม. 

แกลลอรี่


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"