ระวังอย่าให้เกิด Hong Kong Model ในเมืองไทย


เพิ่มเพื่อน    

                  หลังจากที่ศาลรัฐธรรมนูญตัดสินยุบพรรคอนาคตใหม่ ปฏิกิริยาของนิสิตนักศึกษาคือการจัดชุมนุมในมหาวิทยาลัยมากกว่า 10 แห่ง พวกเขาออกมาด้วยความ “รู้สึก” ว่า การตัดสินของศาลรัฐธรรมนูญไม่มีความยุติธรรม แต่ก็ไม่สามารถโต้แย้งในเรื่องข้อเท็จจริงและมาตราต่างๆ ที่ศาลรัฐธรรมนูญใช้เป็นพื้นฐานในการตัดสิน และเมื่อฟังคำปราศรัยและอ่านป้ายต่างๆ ที่พวกเขายกขึ้นมานั้น เราก็จะเห็นว่าการชุมนุมของเขานั้นไม่ใช่เรื่องการตัดสินยุบพรรคอนาคตใหม่แต่เพียงอย่างเดียว เพราะจะมีทั้งการพูดถึงรัฐประหาร เผด็จการ การสืบทอดอำนาจ และเลยไปถึงการหมิ่นสถาบันสูงสุดของประเทศ และดูเหมือนว่าเป้าหมายปลายทางของพวกเขาในการออกมาชุมนุมกันครั้งนี้คือการให้พลเอกประยุทธ์ลาออกจากการเป็นนายกรัฐมนตรี และจะต้องมีการแก้ไขรัฐธรรมนูญโดยยกร่างใหม่ทั้งฉบับ และที่แน่ๆ ขบวนการไล่รัฐบาลคงไม่จบเท่านี้ คงจะต้องมีพัฒนาการไปอีกไม่น้อย และที่น่าเป็นห่วงมากๆ ถ้าหากพัฒนาการที่กำลังเกิดขึ้นจะเดินหน้าไปเป็น Hong Kong Model ที่นักศึกษาออกมาประท้วงกันด้วยการกระทำที่รุนแรง จนสร้างความเสียหายให้แก่ประเทศ

การออกมาของนิสิตนักศึกษาครั้งนี้ พวกเราคงต้องยุติการพูดว่าพวกเขาถูกครอบงำโดยพรรคการเมืองใดพรรคการเมืองหนึ่ง หรือพูดว่ามีนักการเมืองอยู่เบื้องหลังการออกมาชุมนุมของพวกเขา ทั้งนี้เพราะพวกเขาต้องการให้เราเคารพการตัดสินใจของพวกเขา มองว่าพวกเขามีความคิดเป็นตัวของพวกเขาเอง ไม่มีใครสามารถครอบงำเขาได้ การบอกว่าพวกเขาถูกครอบงำโดยพรรคการเมือง หรือบอกว่าพวกเขาถูกนักการเมืองหลอกให้ออกมาชุมนุมนั้นเป็นการดูถูกความคิดของพวกเขา พวกเราควรจะมองว่าการออกมาแสดงความคิดเห็นของเขานั้นเป็นความงดงามของประชาธิปไตยที่ประชาชนทุกหมู่เหล่าสามารถแสดงความคิดเห็นได้โดยเสรี แม้ว่าการแสดงความคิดเห็นนั้นจะเป็นการต่อต้านรัฐบาลก็ตาม และที่สำคัญอีกอย่างหนึ่ง รัฐบาลอย่าได้ใช้ความรุนแรงในการระงับการชุมนุมของพวกเขา อย่าทำให้เขาเอาไปกล่าวอ้างได้ว่า รัฐบาลใช้นิติสงครามเล่นงานคนที่คิดต่าง เวลานี้สิ่งที่รัฐบาลจะทำได้ก็คือเตือนให้พวกเขาใช้สิทธิเสรีภาพให้อยู่ภายในกรอบของกฎหมาย อย่าทำผิดกฎหมาย ส่วนฝ่ายที่อยู่ตรงกันข้ามกับรัฐบาล ก็อย่ากล่าวหารัฐบาลที่แสดงความห่วงใยเรื่องการทำผิดกฎหมาย เป็นการใช้กฎหมายมาข่มขู่นิสิตนักศึกษาที่ออกมาชุมนุม

ถ้าหากเราจะติดตามขั้นตอนของขบวนการ Hong Kong Model เราก็จะมองเห็นพัฒนาการ 5 ขั้นตอนดังต่อไปนี้ ขั้นตอนที่ 1 การปลุกระดมให้นักศึกษามีความไม่พอใจผู้บริหารในรัฐบาล เพื่อให้นักศึกษาเกิดความรู้สึกต่อต้านรัฐบาล ขั้นตอนที่ 2 เมื่อมีนักศึกษามีความไม่พอใจรัฐบาลเป็นจำนวนมากแล้ว ก็ต้องพยายามใส่ข้อมูลล้างสมองนักศึกษาให้มองว่าพวกเขาถูกกดขี่ข่มเหง ถูกลิดรอนเสรีภาพ หรือประเทศไม่มีความเป็นประชาธิปไตยเพราะการกระทำของรัฐบาล เพื่อให้เกิดความเกลียดชังรัฐบาลให้มากขึ้น จนลุกขึ้นมาชุมนุมต่อต้านรัฐบาล เมื่อถึงจุดนี้ก็จะเคลื่อนเข้าสู่ขั้นที่ 3 ของขบวนการ นั่นคือ การออกมาชุมนุมของนักศึกษาหลายๆ มหาวิทยาลัย โดยในการชุมนุมนั้นจะต้องมีวาทกรรมต่างๆ นานาที่เป็นการด่าทอต่อว่ารัฐบาล เหมือนเป็นการยั่วยุให้รัฐบาลออกมาปราบ (ในกรณีนี้รัฐบาลฮ่องกงตกหลุมของผู้ชุมนุมหรือผู้วางแผนการชุมนุม เพราะว่ามีการออกมาปราบปรามนักศึกษา) ความรุนแรงที่เกิดจากการปะทะกันระหว่างเจ้าหน้าที่กับนักศึกษาที่ออกมาชุมนุม ก็จะเป็นขั้นตอนที่ 4 ของขบวนการ นั่นคือ การออกมาชุมนุมบนท้องถนน และผู้ชุมนุมจะก่อความรุนแรงที่มีการทำร้ายกัน ทำให้เกิดการบาดเจ็บล้มตาย ซึ่งจะสร้างความโกรธแค้นให้กับพวกที่มาชุมนุมมากขึ้น สถานการณ์ก็จะทวีความรุนแรงมากขึ้น เพราะการชุมนุมบนท้องถนนของนักศึกษาที่ชิงชังรัฐบาล เมื่อมีความรุนแรงถึงขนาดนี้แล้วก็จะทำให้ต่างชาติที่ต้องการแสวงผลประโยชน์จากพื้นที่ที่มีความขัดแย้งเข้ามายุ่งเกี่ยว เป็นการชักน้ำเข้าลึก ชักศึกเข้าบ้าน ทำให้ประเทศสูญเสียอธิปไตย เพราะมีต่างชาติเข้ามาแทรกแซง

ที่กล่าวมาข้างต้นนั้นเป็นขั้นตอนของขบวนการ Hong Kong Model ที่สามารถมองเห็นพัฒนาการที่ทำให้ Hong Kong อยู่ในสภาพพังพินาศจนยากที่จะฟื้นกลับคืนมาได้ดังเดิม ถ้าหากไม่มี COVID-19 เหตุการณ์น่าจะรุนแรงกว่านี้ ถึงแม้ว่าสถานการณ์ที่เป็นความรุนแรงจากการชุมนุมของนักศึกษาจะเบาลงไป แต่การที่จะให้ Hong Kong กลับไปเป็นเมืองที่มีเศรษฐกิจดี มีเสน่ห์เป็นเมืองท่องเที่ยวอย่างที่เป็นมานั้นคงจะเป็นไปไม่ได้แล้ว ดังนั้นปรากฏการณ์การชุมนุมของนิสิตนักศึกษาของประเทศไทยในยามนี้ ขออย่าได้มีพัฒนาการเหมือนกับกระบวนการ Hong Kong Model เลย เพราะหากเป็นเช่นนั้น เศรษฐกิจของเราจะย่ำแย่ และประเทศไทยที่เป็นเมืองน่ามาเที่ยว จะหมดเสน่ห์ และหากประเทศไทยไม่มีรายได้จากการท่องเที่ยวอย่างที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน เศรษฐกิจไทยคงตกต่ำ แม้ว่าวิกฤติของ COVID-19 จบลง เราก็อาจจะไม่ฟื้นกลับไปเป็นเหมือนดังเดิม

พวกเราต้องช่วยกันป้องกันไม่ให้การชุมนุมของนิสิตนักศึกษาของประเทศไทย มีพัฒนาการตามแนวทางของขบวนการ Hong Kong Model เมื่อวิกฤติของ COVID-19 จบลง เราต้องการให้ประเทศไทยเป็นเมืองท่องเที่ยวเป้าหมายของนักท่องเที่ยวต่อไป เราต้องการให้ธุรกิจของภาคส่วนต่างๆ เดินหน้าต่อไป เพื่อความเจริญรุ่งเรืองของประเทศ รัฐบาล ข้าราชการ พ่อแม่ ครูบาอาจารย์ และสื่อมวลชน ทั้งที่เป็นองค์กร และปัจเจกที่มีการสื่อสารกับบนพื้นที่ของ Social Media ต้องช่วยกันสร้างความเข้าใจให้นิสิตนักศึกษา ให้พวกเขามีสำนึกของความรักชาติ ห่วงใยประเทศชาติ และใช้เสรีภาพของเขาภายใต้กรอบของกฎหมาย และมุ่งมั่นที่จะเสริมสร้างศักยภาพในการแข่งขันของประเทศ ให้เราดำรงอยู่ด้วยความมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืน บนพื้นฐานของความรักสามัคคีและการเทิดทูนสถาบันที่สำคัญของประเทศ

นิสิตนักศึกษาทั้งหลายจะต้องหาข้อมูลให้ครบด้าน อย่าฟังความข้างเดียว หาข้อมูลให้ครบมิติ ใช้ตรรกะที่มีอยู่เพื่อให้เกิดทัศนคติที่ถูกต้องสมเหตุสมผล เพื่อให้มีพฤติกรรมทางสังคมและทางการเมืองที่ถูกต้อง อย่าได้มีความคิดชังชาติ หรือดูถูกประเทศไทย แต่ให้มองหาการกระทำที่จะมีส่วนในการช่วยพัฒนาประเทศชาติ ทำตนเป็นทรัพยากรมนุษย์ที่มีคุณภาพของประเทศ ใช้เสรีภาพภายใต้กรอบของกฎหมาย อย่าทำผิดกฎหมายกันเลยนะ. 


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"