โรคระบาดทางความรู้สึก


เพิ่มเพื่อน    

                บรรยากาศความเป็นไปของบ้านเมืองช่วงนี้...คงต้องยอมรับว่า ออกจะเป็นอะไรที่หนักหนา สาหัส พอสมควร ด้วยเหตุเพราะ อารมณ์-ความรู้สึก ที่มันประเดประดัง เข้ามาทางประตู มีทั้งความกลัว  ความเกลียด ความโกรธ ความหงุดหงิด งุ่นงาน ฯลฯ ทะลักเข้ามาเป็นสายๆ ส่วนประเภทความรัก  ความเห็นอก เห็นใจ ความห่วงใย เมตตา สงสาร ฯลฯ เลยหนีไม่พ้นต้อง พรั่งพรูออกไปทางหน้าต่าง จนหาทำยาแทบม่ายล่าย...

                                                                     --------------------------------------------------

                เรียกว่า...แค่เรื่อง อาจารย์โกวิท หรือเรื่องเชื้อไวรัส Covid-19 เรื่องเดียว ก็แทบทำให้ใครต่อใครออกอาการ หูแหก-ตาแหก ชนิด สติ แทบไม่อยู่กับเนื้อ กับตัว ส่วน สตังค์ นั้น...แทบไม่ต้องพูดถึง เพราะหนักไปทางหมดเนื้อ หมดตัว กันมานานแล้ว และในเมื่อทั้ง สติ และ สตังค์ แทบไม่เหลือ มันก็เลยเป็นตัวเปิดช่อง เปิดทาง ให้อารมณ์-ความรู้สึกอื่นๆ สามารถเข้ามาทำปฏิกิริยา หรือมา ปรุงแต่ง ได้ง่ายขึ้น เร็วขึ้น หรือแม้แต่แรงขึ้นๆ ไปตามลำดับ จนบรรดาความเกลียด ความโกรธ ความหงุดหงิด งุ่นง่าน ฯลฯ มันเลยชักแพร่กระจายไม่ต่างไปจากเชื้อไวรัสในแต่ละรูป แต่ละแบบ นั่นเอง...

                                                                      ----------------------------------------------------

                แม้ว่าความเกลียด เคียดแค้น อาฆาตและริษยา ของบรรดา ฝ่ายแค้น โดยเฉพาะในรัฐสภา ทำท่าว่าน่าจะซาๆ ลงไปบ้างแล้ว หลังจากหน้าแหก หน้าแตก ชนิดหมอไม่รับเย็บ ใน ศึกวันทรงชัย หรือศึกอภิปรายไม่ไว้วางใจที่เพิ่งผ่านพ้นไปหมาดๆ แต่เมื่อต้องเจอกับความโกรธ ความหงุดหงิด งุ่นง่าน ของบรรดา ฝ่ายค้านนอกสภาฯ อย่างพวกเด็กๆ หรือพวกนักศึกษาทั้งหลาย ที่ยากซ์ซ์ซ์จะลุกขึ้นมาชี้แจง อภิปราย กันด้วยคำพูด คำจา แต่เพียงล้วนๆ เท่านั้น แต่ยังต้องอาศัย ศิลปะ ในระดับลึกซึ้ง ถึงด้าม ต้อง เข้าถึง และ เข้าใจ ถึงเหตุปัจจัยต่างๆ กันแบบจริงๆ จังๆ มันถึงจะพอรับมือได้บ้าง...

                                                                      -----------------------------------------------------

                แต่เมื่อทุกสิ่งทุกอย่างมันดันประเดประดังเข้าในจังหวะเดียวกัน จนแทบไม่เหลือเวลา หรือแทบสายเกินไป กว่าที่จะ เข้าถึง และ เข้าใจ ต่ออารมณ์-ความรู้สึกในแต่ละแบบ โดยแนวโน้มเช่นนี้...โอกาสที่รัฐบาลจะ เละ...กับ...เละ จึงย่อมมีความเป็นได้สูงเอามากๆ ส่วนจะเละระดับเป็นขี้ เป็นโจ๊ก หรือเป็นเต้าหู้ตกโต๊ะ อันนั้น...คงต้องไปประมาณ หรือไปประเมินกันเอาเอง แต่ที่แน่ๆ ก็คือ...การกอบขี้ กอบโจ๊ก กอบเต้าหู้ เอามาเสกสรร ปั้นแต่ง เพื่อให้เป็นรูป เป็นร่าง ขึ้นมาใหม่นั้น น่าจะเป็นอะไรที่ค่อนข้างยากลำบาก หรือมีแต่ต้องเหน็ดเหนื่อย เมื่อยล้า ชนิดเหงื่อตกกีบ ไม่ก็อ้วกแตก อ้วกแตน เอาง่ายๆ...

                                                                      -----------------------------------------------------

                พูดง่ายๆ ว่า...จะหาทางออก ทางไป หรือ ทางรอด ด้วยกรรมวิธีแบบเรียบๆ เรื่อยๆ หรือแค่เฉพาะการ ปรับคณะรัฐมนตรี เพื่อให้อะไรต่อมิอะไรมันดูแปลกๆ ใหม่ๆ ขึ้นมามั่ง เผลอๆ...อาจ เอาไม่อยู่ ขึ้นมาก็ไม่แน่!!! เพราะฉากเหตุการณ์ใหม่ๆ หรือสถานการณ์ใหม่ๆ ที่มันกำลังทยอยตามมาติดๆ และอย่างเป็นระลอกนั้น มันออกจะหนักหนา สาหัส และใหญ่โต มโหฬาร พอๆ กับ คลื่นสึนามิ เอาเลยก็เป็นได้ โดยเฉพาะในแง่ความเป็นไปทางเศรษฐกิจ อันเป็นตัวส่งผลให้ใครต่อใครต่างหงุดหงิด งุ่นง่าน มานานแล้ว แม้ไม่ถึงกับโกรธ ไม่ถึงกับเกลียดรัฐบาล มากมายซักเท่าไหร่ แต่ตลอดช่วงระยะ 4 ปี  5 ปีที่ผ่านมา อะไรต่อมิอะไรมันดูชักเริ่ม ตกผลึก ขึ้นมามั่งแล้ว และถ้าหากต้องเจอกับ คลื่นสึนามิทางเศรษฐกิจ สาดซัดเข้ามาจริงๆ โอกาสที่อารมณ์ความรู้สึกต่างๆ มันจะ กลายพันธุ์ ไปเป็นความโกรธ  ความเกลียด เคียดแค้น อาฆาต พยาบาท ก็ใช่ว่าจะไม่มีเอาซะเลย...

                                                                         -----------------------------------------------------

                อันนี้นี่แหละ...ที่คงต้องหาทางออกแบบ ดีไซน์ ต้องวาดฉากสถานการณ์เอาไว้ก่อนล่วงหน้า ตั้งแต่ดีสุด ไปจนเลวสุด และเตรียมรับมือกับฉากสถานการณ์ดังกล่าวไปตามลำดับขั้น จะปล่อยให้มันเกิด แล้วค่อยทรุดนั่งลงแก้ไปทีละเปลาะ สุดท้าย...คงไม่ต่างอะไรไปจาก ลิงแก้แห เหมือนกับหลายต่อหลายรัฐบาลที่ผ่านมา ไม่ว่าไล่มาตั้งแต่ รัฐบาลจอมพลถนอม รัฐบาลสุจินดา ฯลฯ ที่กว่าจะหลุดรอดจากการตกผลึกของอารมณ์-ความรู้สึกในลักษณะที่ว่า ก็แทบ แพ้กันไปทั้งประเทศ เอาเลยถึงขั้นนั้น...

                                                                           -----------------------------------------------

                และจากเหตุการณ์ จากฉากสถานการณ์เท่าที่เคยเป็นมา...คงต้องยอมรับว่า ส่งผลให้ พระสยามเทวาธิราช ท่านออกจะเหน็ดเหนื่อย เมื่อยล้า เอามากๆ จนอาจแทบไม่เหลือเรี่ยว เหลือแรง พอที่จะประคับประคองประเทศไทยแลนด์ แดนสยาม ให้รอดปากเหยี่ยว ปากกา ได้แบบครั้งแล้ว ครั้งเล่า และซ้ำแล้ว ซ้ำเล่าอีกต่อไปแล้ว นอกเสียจากบรรดาชาวไทย หรือทวยไทยทั้งหลายจะรู้จักเติบโต เติบใหญ่ ขึ้นมาได้ด้วยตัวเอง สามารถยืนบนแข้ง บนขา ตัวเอง ได้ด้วย สติ-ปัญญา คุณธรรม และ ขันติธรรม อันเป็นสิ่งที่ ผู้หลัก-ผู้ใหญ่ หรือผู้ที่มี วุฒิภาวะ พึงมีไปด้วยกันทั้งสิ้น...นั่นแล...

                                                                           -------------------------------------------------

                ปิดท้ายด้วยวาทะวันนี้ จาก Plato (อีกครั้ง)...Virtue does not spring from riches, and all other human blessings, both private and public, from virtue. - คุณธรรมมิได้เกิดจากทรัพย์ศฤงคารและการวิงวอนขอพรใดๆ ทั้งสิ้น คุณงามความดีของมนุษย์ทุกประการ ไม่ว่าในแง่ส่วนตัวหรือสาธารณะ ล้วนมีกำเนิดมาจากคุณธรรม...”

                                                                          ------------------------------------------------- 


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"