‘หน้าเดิม ปชป.’ บีบถอด ‘ธรรมนัส’ เจตนาแฝงสู่ผลพวง ‘ปรับ ครม.’


เพิ่มเพื่อน    

     เหตุใด ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ จึงไม่เป็นที่ภิรมย์ของสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์บางส่วน ที่ออกมาให้ผู้บริหารพรรคพิจารณา “ถอนตัว” จากรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ถึงขั้นใช้คำว่าหยุดพายเรือให้โจรนั่ง

                เป็นท่าทีที่รุนแรงเพียง 1 วัน หลังเกิดกรณีนายพิตตินันท์ รักเอียด อดีตผู้สมัคร ส.ส.สุราษฎร์ธานี พรรคพลังประชารัฐ ซึ่งเป็นคณะผู้ติดตามของ ร.อ.ธรรมนัส มีภาพถ่ายรวมกับนายศรสุวีร์ ภู่รวีรัศวัชรี หรือบอย ที่พัวพันกับการกักตุนหน้ากากอนามัย

                สมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ที่เรียกร้องให้ผู้บริหารพรรคทบทวนการอยู่ร่วมกับรัฐบาลระบุว่า เรื่องดังกล่าวเข้าเงื่อนไข 1 ใน 3 ข้อ ที่ขีดเอาไว้ก่อนร่วมรัฐบาล นั่นคือต้องไม่ทุจริตคอร์รัปชัน

                แต่ในขณะเดียวกันผู้บริหารพรรคที่เป็นรัฐมนตรีและสมาชิกคนอื่นๆ กลับมีปฏิกิริยาที่แตกต่างออกไป โดยเฉพาะนายชินวรณ์ บุณยเกียรติ ส.ส.นครศรีธรรมราชและรองประธานวิปรัฐบาล ที่นำ ส.ส.ตั้งโต๊ะแถลงสนับสนุนการทำงานของรัฐบาล

                เช่นเดียวกับนายชวน หลีกภัย ประธานสภาผู้แทนราษฎร ในฐานะผู้มากบารมีของพรรคประชาธิปัตย์ ที่ยึดหลักความถูกต้องมากกว่าเกรงใจใครหากมีเรื่องที่ไม่ดีไม่งาม ออกมาปรามลูกพรรคว่าอย่าหูเบา

                “อย่าเพิ่งไปเชื่ออะไรโดยยังไม่ไตร่ตรอง เพราะจริงๆ อาจเป็นคนละเรื่องก็ได้ สมมติถ้ามีข่าวออกมาว่าหน้ากากอนามัยมีการกักตุน ผมว่ามันเป็นเรื่องร้ายแรงในสถานการณ์อย่างนี้ ต้องดำเนินการทางกฎหมายเด็ดขาด” 

                “อย่าหูเบา” ของนายชวน น่าจะหมายถึงบรรดาลูกพรรคที่กำลังเคลื่อนไหวให้ถอนตัวจากการร่วมรัฐบาล จากประเด็นกักตุนหน้ากากอนามัยที่มีการเชื่อมโยงกับ ร.อ.ธรรมนัส

                ขณะที่บรรยากาศการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันอังคารที่ 10 มี.ค. หลังเกิดเรื่องไลน์พรรคประชาธิปัตย์หลุดออกมา ไม่ได้ขมึงตึง เหมือนเมื่อครั้งที่มี ส.ส.จากพรรคประชาธิปัตย์โหวตสวนวิปรัฐบาลในญัตติตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญเพื่อศึกษาผลกระทบจากการใช้อำนาจมาตรา 44 จนต้องไปมีตติ้งเคลียร์ใจกันแต่อย่างใด

                ตรงกันข้ามในที่ประชุม ครม.ให้น้ำหนักไปที่การแก้ไขปัญหาไวรัสโควิด-19 ส่วนประเด็นนี้มีเพียงการพูดคุยหยอกล้อกันในวงอาหารช่วงพักกลางวันเท่านั้น

                โดย “บิ๊กตู่” ได้กระเซ้า “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและประธานยุทธศาสตร์พรรคพลังประชารัฐ ว่า ให้ช่วยไปบริหารจัดการพรรคประชาธิปัตย์ ทำให้นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ที่นั่งอยู่วงเดียวกัน รับมุกว่า ยินดีครับ จนเรียกเสียงหัวเราะ

                นอกจากนี้ภายหลังการประชุม ครม. “บิ๊กตู่” ยังออกมาขอโทษ หลังจากที่ในช่วงเช้าวันเดียวกันปากเร็วตอบนักข่าวว่า “ก็ถอนไปสิ”

                บรรยากาศการทำงานของรัฐมนตรีจากพรรคประชาธิปัตย์กับแกนนำรัฐบาลยังดูปกติ ทั้งที่เรื่องการ “ถอนตัว” เป็นเรื่องใหญ่ ผูกความเป็นความตายของรัฐบาล หนักกว่าการ “โหวตสวน” ครั้งก่อนหลายเท่า

                หรือสาเหตุที่เป็นแบบนี้ เพราะทั้งผู้บริหารพรรคประชาธิปัตย์และแกนนำรัฐบาลรู้เจตนาว่า ปฏิกิริยาของสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์บางกลุ่มในช่วงนี้ที่เกิดขึ้น มีบางอย่างแอบแฝงอยู่

                คำพูดของ “บิ๊กป๊อก” พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ที่ให้สัมภาษณ์ต่อประเด็นไลน์พรรคประชาธิปัตย์หลุด ที่ขอให้ปรับ ร.อ.ธรรมนัสออกจาก ครม. ชวนให้คิด

                “คิดหรือไม่ว่าพรรคร่วมควรปรับภายในพรรคตัวเอง หรือข้ามพรรคไป ผมคิดว่ามันอยู่ที่มารยาท อำนาจตัดสินใจอยู่ที่นายกฯ ถ้าอยากจะปรับในส่วนของพรรคตัวเองก็ให้ไปคุยกับนายกฯ ก็น่าจะได้”

                ตีความคำพูดได้ 2 นัย นั่นคือ หากต้องการจะปรับ ร.อ.ธรรมนัสออกจาก ครม. ให้ไปคุยกับ “บิ๊กตู่” แต่ความหมายนี่ไม่น่าจะใช่ เพราะ “บิ๊กป๊อก” เพิ่งจะบอกว่า การมาขอให้ปรับข้ามพรรคเป็นเรื่อง “มารยาท”

                มันจึงถูกมองว่า น่าจะหมายถึงหากต้องการจะปรับ ครม. ภายในพรรคตัวเอง ให้ไปคุยกับ “บิ๊กตู่” ซึ่งสอดคล้องกับข้อสังเกตการเคลื่อนไหวของ ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์กลุ่มนี้ก่อนหน้านี้ ว่าแท้จริงแล้ว จุดประสงค์ที่สร้างแรงกระเพื่อมเพราะอะไร

                นายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย ส.ส.ตรัง, นายพนิต วิกิตเศรษฐ์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ, นายอันวาร์ สาและ ส.ส.ปัตตานี และนายเทพไท เสนพงศ์ ส.ส.นครศรีธรรมราช คือชุดเดิมที่เขย่าพรรคตัวเองตั้งแต่ตอนโหวตญัตติตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญเพื่อศึกษาผลกระทบจากการใช้อำนาจมาตรา 44

                เป็นชุดเดียวกับที่ยืนเรียงแถวแถลงว่าไม่ไว้วางใจในตัว ร.อ.ธรรมนัส แต่ต้องลงมติไว้วางใจ เพราะเป็นมติพรรคประชาธิปัตย์

                เป็นชุดเดียวกับที่เรียกร้องให้ “บิ๊กตู่” ทบทวนการคงอยู่ของ ร.อ.ธรรมนัส แม้ที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรจะลงมติไว้วางใจก็ตาม เพราะสังคมเคลือบแคลงสงสัย รวมถึงประเด็นการกักตุนหน้ากากอนามัยล่าสุด

                ในทางปฏิบัติ การนำ ร.อ.ธรรมนัสออก สำคัญต่อการอยู่ร่วมรัฐบาลขนาดนั้นเลยหรือไม่ หรือเป็นเพราะ ร.อ.ธรรมนัสเป็นเพียงข้ออ้างเพื่อนำไปสู่การปรับ ครม.

                และแน่นอนว่า ต่อให้ ร.อ.ธรรมนัสออก แต่โควตาดังกล่าวก็ยังเป็นของพรรคพลังประชารัฐ ไม่ใช่ของพรรคประชาธิปัตย์อยู่ดี

                เพียงแต่สิ่งที่เกิดขึ้นคือ “บิ๊กตู่” คงไม่พิจารณาจะปรับเพียงเพราะต้องการเอา ร.อ.ธรรมนัสออกแค่คนเดียว แต่ต้องถือโอกาสปรับ ครม.ชุดใหญ่ที่มีแผนเอาไว้ไปเลยทีเดียว

                การปรับ ครม.มีประโยชน์ต่อ ส.ส.กลุ่มนี้? ซึ่งที่ผ่านมาถูกเพ่งเล็งว่า เขย่าเพื่อกำลังเรียกร้องสิทธิ์บางอย่าง เนื่องจากเป็นกลุ่มที่ไม่ได้รับการจัดสรรเรื่องต่างๆ ในพรรค โดยเฉพาะสัดส่วนรัฐมนตรี

                ซึ่งสุดท้ายแล้วเป็นเพียงแค่ “การเมืองภายใน” หรือไม่. 


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"