เศรษฐกิจกับเครือข่ายป้องกันทางสังคม


เพิ่มเพื่อน    

        ยังไงๆ...ก็คงต้องถือว่า โชคดี นั่นแหละทั่น ที่ได้เกิดมาเป็นคนไทย ได้อยู่ในเมืองไทย โดยเฉพาะในช่วงที่เชื้อโคโรนาไวรัส COVID-19 ท่านกำลังออกฤทธิ์ ออกเดช คืออย่างน้อย...ก็ไม่น่าจะถึงกับต้องหวาดเสียว ต้องใจหาย ใจคว่ำ เหมือนอย่างบรรดาชาวอเมริกา ชาวนิวยอร์ก ชาวลุยเซียนา ฯลฯ หรือแม้แต่ชาวสเปน ชาวอิตาลี ที่ตายกันไปแล้วเป็นพันๆ หมื่นๆ ติดเชื้อกันไปแล้วเป็นแสนๆ ล้านๆ...

                                    --------------------------------------------------

        เรียกว่า...ถึงแม้ผู้นำประเทศ อย่างท่านนายกฯ บิ๊กตู่ ท่านอาจขี้ยัวะ อาจวี้ดๆ แว้ดๆ อยู่มั่ง ในบางครั้ง บางครา แต่ก็น่าจะดีกว่า ชัวร์กว่าผู้นำอเมริกา อย่าง ทรัมป์บ้า ไม่รู้กี่เท่า ต่อกี่เท่า ที่ไม่ว่าจะเป็นเพราะตัดสินใจช้า หรือเพราะองค์การอนามัยโลกหันไป อวยจีน หรือจะด้วยเหตุผลกลใดก็แล้วแต่ แล้วแต่จะอ้างๆ กันไป แต่การที่ผู้นำอเมริกาสามารถทำให้ประเทศอภิมหาอำนาจสูงสุดระดับโลก ต้องกลายสภาพเป็น จ้าวโรค แทนที่จะเป็น จ้าวโลก อย่างที่ตัวเองปรารถนาและต้องการ หรือกลายเป็นประเทศที่ไม่ว่าจำนวนผู้ติดเชื้อ จำนวนผู้ตาย จากเชื้อ COVID-19 มาแรง แซงโค้ง กว่าใครเขาเพื่อน อันนี้...ต้องถือว่า โชคดีเอามากๆ ที่เราทั้งหลายไม่ได้สร้างเวร สร้างกรรม เอาไว้แต่ชาติปางก่อน จนต้องเกิดมาเป็น อเมริกันชน ในทุกวันนี้...

                                    ------------------------------------------------

        และแม้จะจัดอยู่ในประเภท ประเทศกำลังพัฒนา ก็เถอะ...แต่ระบบสาธารณสุขของไทยแลนด์ แดนสยามนั้น ก็น่าที่จะแข็งแกร่งและมีประสิทธิภาพมิใช่น้อย โดยเฉพาะในแง่ของการ เข้าถึง ได้ง่ายกว่า เร็วกว่า ต่างไปจากระบบสาธารณสุขของอเมริกา ที่ออกจะตอบสนองต่อพวก คนรวย หรือคนประมาณ 1 เปอร์เซ็นต์ของประเทศซะเป็นหลักใหญ่ ส่วนบรรดาคนจนหรือชนชั้นล่าง ไม่ว่าล่างระดับล่าง หรือล่างระดับบน ก็แล้วแต่ ล้วนแล้วแต่มีแต่ ตาย...กับ...ตาย ไปด้วยกันทั้งสิ้น การที่บรรดาทวยไทยจำนวนไม่น้อย ยังไม่ได้คิดจะ ดมก้น หรือ เดินตามก้น อเมริกาไปซะทุกเรื่อง ทุกราว โดยเฉพาะในเรื่อง ประชาธิปไตยแบบอเมริกา เหมือนอย่างที่บรรดาพวก ลิเบอร่าน ในบ้านเราทั้งหลาย พยายามชี้แนะ ชี้นำ กันมานาน เลยต้องถือเป็น โชคดี อีกอย่าง แม้ว่าอาจต้องอึดอัด ขัดข้องกับ เผด็จการละมุนภัณฑ์ อยู่บ้าง ในบางช่วง บางระยะ...

                                      ----------------------------------------------

        แต่เอาเป็นว่า...ด้วยฉากเหตุการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อโคโรนาไวรัส COVID-19 คราวนี้ อาจถือเป็นตัว กระชากหน้ากาก ของแต่ละประเทศ ได้ไม่น้อยทีเดียว ว่าใครกลวง ใครไม่กลวง หรือแม้แต่การเปิดเผยให้เห็นถึงรากฐาน ค่านิยม ของสังคมแต่ละสังคม ว่าเป็นไปในแนวไหน ดังนั้น...แม้ว่าภายใต้พื้นฐาน ความเป็นไทย มันอาจมีผู้ไร้ระเบียบ ไร้วินัย ผู้ที่เอาแต่ด่ากับด่า ปะปนอยู่บ้าง แต่การที่อะไรต่อมิอะไรเริ่ม นิ่งๆ ขึ้นมามั่งแล้ว ตัวเลขจำนวนผู้ติดเชื้อ ผู้ตาย ไม่ถึงกับระเบิดเถิดเทิง เหมือนกับอีกหลายต่อหลายประเทศ ก็น่าจะพอเป็นตัวพิสูจน์ได้ว่า สิ่งที่เรียกว่า เครือข่ายป้องกันทางสังคม ของบ้านเรา ไม่ว่าจะอยู่ในรูปใดๆ ก็แล้วแต่ น่าจะมีความแข็งแกร่ง มั่นคง อยู่พอสมควร...

                                     --------------------------------------------

        แต่ก็นั่นแหละ...เฉพาะแค่ตัวเลขคนติดเชื้อ คนตาย มันคงไม่อาจถือเป็น ข้อสรุป ถึงความแข็งแกร่ง มั่นคง ได้แบบเบ็ดเสร็จ เด็ดขาด เพราะสิ่งที่กำลังตามมาจากการออกฤทธิ์ ออกเดช ของ “COVID-19” นั้น ยังมีอยู่อีกเยอะแยะ มากมาย โดยเฉพาะในเรื่อง เครือข่ายป้องกันทางเศรษฐกิจ นั่นแหละ ที่ออกจะน่าห่วง น่ากังวล เอามากๆ เพราะงานนี้...ดูเหมือนท่านเชื้อไวรัส COVID-19 ท่านกะจะเปลี่ยนโลก เปลี่ยนระบบ เปลี่ยนระเบียบกันใหม่เอาเลยถึงขั้นนั้น ไม่ว่าจะระบบการเงิน การค้า การลงทุน หรือแม้แต่การไหลไป-ไหลมาของเงินทุน ที่เคยสร้าง ห่วงโซ่แห่งอุปทาน เอาไว้ชนิดสลับซับซ้อนเป็นอย่างยิ่ง มาคราวนี้ทุกสิ่งทุกอย่าง ดูเหมือนกำลังถูกฉีกขาดออกไปเป็นชิ้นๆ...

                                      ----------------------------------------------

        ความพยายามทั้งอัด ทั้งฉีด เม็ดเงินนับเป็น ล้านล้าน ของบ้านเรา ไม่ว่าจะเพื่อช่วยบรรเทา เบาบาง ความทุกข์ ความยากของผู้คน (แม้ว่า ไอ้ทุเรศ บางรายจะเอาไปฉีดโบทอกซ์ หรือเอาไปใช้เป็นเศษเงินหลังตู้เย็นก็แล้วแต่) หรือไม่ว่าเพื่อช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจไม่ให้เลวร้ายยิ่งไปกว่านี้ อันเป็นสิ่งแทบทุกประเทศนั่นแหละ หนีไม่พ้นต้องเดินไปในแนวนี้ เพราะต่างก็ไหลไปตามกระแส ทุนนิยม ด้วยกันทั้งสิ้น คือไม่อัด ไม่ฉีด...ก็คงไม่ได้ แต่ถึงจะอัด จะฉีด ก็คงไม่ได้ช่วยให้อะไรดีเด่ขึ้นมากมาย ดังนั้น...ผลกระทบ ผลข้างเคียง ที่กำลังตามมา จึงเป็นอะไรที่น่าห่วง น่ากังวล มิใช่น้อย...

                                    -----------------------------------------------

        อันนี้นี่แหละ...ที่อาจต้องคิดนอกกรอบ หรือฉีกกรอบ แหวกกรอบ เอาไว้มั่ง จะไปเดินตามแนวคิด ทฤษฎี ของพวกฝรั่งทุนนิยมทั้งหมด มันอาจมีแต่ ตาย...กับ...ตาย ลูกเดียวเท่านั้นเอง แบบประเภทเดินตามกันไปลงเหว หรือ พัฒนาไปสู่ความฉิบหาย อย่างที่ใครต่อใครเขาได้เตือนๆ เอาไว้นานแล้ว การหันมาอาศัย “ค่านิยมทางสังคม” ที่ช่วยให้เกิด เครือข่ายป้องกันทางสังคม ไม่ว่าในคราวนี้ หรือเมื่อครั้งอดีตที่ผ่านมา ไม่รู้กี่หน ต่อกี่หน จึงถือเป็นสิ่งที่ควรนำไปใคร่ครวญ ไปพินิจ พิจารณา หาทางฉีกกรอบ แหวกกรอบ เอาไว้บ้าง ส่วนจะ ประยุกต์ ให้มีรูปร่าง หน้าตา ออกไปในแนวไหน อย่างไร? อันนี้...คงต้องเป็นเรื่องของผู้เชี่ยวชาญ หรือผู้ซึ่งมีหน้าที่และความรับผิดชอบ คงต้องไปประดิษฐ์ คิดค้น กันเอาเอง แต่ที่แน่ๆ ก็คือ...ยังไงๆ คงหนีไม่พ้นไปจาก คาถาศักดิ์สิทธิ์ อันว่าด้วย เศรษฐกิจพอเพียง นั่นแหละ เป็นสำคัญ...

                                    ----------------------------------------------

        ปิดท้ายด้วยวาทะวันนี้ จาก Seneca (อีกครั้ง)... “It is not the man who has to little who is poor, but the one who craves more. - ผู้ที่มีไม่มากไม่ใช่...คนจน เพราะคนจน...คือผู้ที่อยากมีโดยไม่รู้จักพอ...”

                                     -----------------------------------------------


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"