
เวทีพิจารณ์นโยบายสาธารณะ
สถานการณ์ COVID-19 การระบาดยังคงแพร่กระจายไปสู่ประเทศต่างๆ มากขึ้น โดยจำนวนผู้ป่วยในจีนทรงตัว และกำลังลดลง ขณะที่ประเทศอื่นๆ ยังคงมีผู้ป่วยสูงขึ้นต่อเนื่อง โดยเฉพาะในยุโรปและสหรัฐฯ ที่เข้าสู่ภาวะวิกฤตมีจำนวนผู้ป่วยเพิ่มขึ้นทั่วทุกมลรัฐ
รัฐบาลได้ออกมาตรการทางกฎหมายของไทยที่มีเพื่อรับมือมีดังนี้
ประการที่ 1 กระทรวงสาธารณสุขออกประกาศเรื่อง ชื่อและอาการของโรคติดต่ออันตราย (ฉบับที่ 3) พ.ศ.2563 โดยกำหนดให้โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือโรคโควิด-19 (Coronavirus Disease 2019 : COVID-19) เป็นโรคติดต่ออันตรายตาม พ.ร.บ.โรคติดต่อ ปี 2558 ผลของประกาศดังกล่าวทำให้ พนักงานควบคุมโรคติดต่อมีอำนาจในการสั่งให้แยกกัก กักกัน หรือคุมตัวไว้สอบสวน ดังนี้ เมื่อมีคำสั่งให้ผู้เดินทางกลับจากประเทศที่มีความเสี่ยงต้องทำการกักตัวเองในเคหสถาน 14 วัน หากไม่ดำเนินการ ถือว่ามีความผิดตามมาตรา 51 พ.ร.บ.โรคติดต่อ ปี 2558 มีโทษปรับไม่เกิน 2 หมื่นบาท
ประการที่ 2 กระทรวงสาธารณสุขออกประกาศเรื่อง ท้องที่นอกราชอาณาจักรที่เป็นเขตติดโรคอันตราย กรณีโรคติดเชื้อโควิด-19 ปี 2563 มีการกำหนดให้สาธารณรัฐเกาหลี สาธารณรัฐประชาชนจีน (รวมถึงเขตบริหารพิเศษมาเก๊าและเขตบริหารพิเศษฮ่องกง) สาธารณรัฐอิตาลี และสาธารณรัฐอิสลามอิหร่าน เป็นเขตติดโรคติดต่ออันตราย โดยเจ้าพนักงานควบคุมโรคติดต่อมีอำนาจในการดำเนินการตามกฎหมายได้ทันที เช่น นำผู้ที่สงสัยว่าติดเชื้อมารับการตรวจหรือกักกัน ณ สถานที่ที่กำหนด รวมถึงดำเนินการตามกฎหมายกับผู้ที่มีหน้าที่ต้องแจ้งเมื่อพบผู้ที่ติดเชื้อหรือสงสัยว่าติดเชื้อ แต่ไม่ยอมแจ้งหรือไม่แจ้งภายในเวลาที่กำหนด
ประการที่ 3 กระทรวงสาธารณสุขออกประกาศเรื่อง กำหนดผู้ป่วยฉุกเฉินโรคติดต่ออันตรายตามกฎหมายว่าด้วยโรคติดต่อ กรณีโรคติดเชื้อโควิด-19 โดยกำหนดให้ผู้ป่วยจำเป็นต้องได้รับการรักษาพยาบาลโดยฉุกเฉินจากสถานพยาบาลตามมาตรา 36 แห่ง พ.ร.บ.สถานพยาบาล ปี 2541 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดย พ.ร.บ. สถานพยาบาล (ฉบับที่ 4) ปี 2559 กำหนดให้สถานพยาบาลมีหน้าที่ต้องควบคุมและดูแลให้มีการช่วยเหลือเยียวยาผู้ป่วยที่จำเป็นต้องได้รับการรักษาพยาบาลโดยฉุกเฉิน เพื่อให้ผู้ป่วยพ้นจากอันตรายตามมาตรฐานวิชาชีพและตามประเภทของสถานพยาบาลนั้นๆ และหากมีความจำเป็นต้องส่งต่อหรือผู้ป่วยต้องการจะไปรับการรักษาที่สถานพยาบาลอื่น สถานพยาบาลนั้นต้องจัดให้มีการส่งตัวไปยังสถานพยาบาลอื่นตามความเหมาะสม หากฝ่าฝืนต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 2 ปี หรือปรับไม่เกิน 4 หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
จากมาตรการต่างๆที่ทะยอยออกมาเรื่อยๆทำให้ทุกคนต้องอยู่แต่ในบ้าน สถานบริการที่มีนับตั้งแต่ร้านค้าถีงห้างสรรพสินค้าต้องปิดตัวลง ให้เหลือเฉพาะด้าน อาหาร ยา และสิ่งอุปโภคเท่านั้น มีผลทำให้ บริษัท ร้านค้า ร้านบริการต่างๆต้องปิดตัวลง ส่งผลให้ แรงงานตกงาน บริษัทให้ลดเวลาทำงาน ลดเงินเดือน หรือเลิกจ้าง มีผลต่อประชาชนส่วนรวมเป็นอย่างมาก
ทางรัฐบาลก็ได้ออก พรก.ดูแลและเยียวยา ระยะที่ 1, 2 และ3 ออกมา ก็ต้องให้กำลังใจรัฐบาลในการพยายามจัดการปัญหา covid 19 ซึ่งกำลังถาโถมมาเป็นระลอกคลื่น และสิ่งที่จะช่วยธุรกิจให้อยู่รอดต่อไป ก็ขอเสนอแนะ ปัจจัยต่างๆที่เอื้อหนุนให้ผ่านพ้นไปได้ คือ
1.มาตรการช่วยเหลือภาคธุรกิจและ SMEs
-โดยให้เยียวยาธุรกิจขนาดกลางและขนาดเล็ก ขยายระยะเวลาการชำระภาษีเงินได้ประจำปี 2563 ออกไปอย่างน้อย 3 เดือน
-ให้ บสย.เป็นผู้ค้ำประกัน 80% ถึง 100% ของสินเชื่อที่ให้กับธุรกิจ SMEs เพื่อให้ SMEs ได้รับประโยชน์มากขึ้น
-อนุญาตให้พักชำระหนี้ทั้งเงินต้นและดอกเบี้ย
-สนับสนุน SMEs ที่เป็นธุรกิจส่งออกและขาดสภาพคล่อง
-ช่วยเหลือภาคธุรกิจให้สามารถเข้าถึงสินเชื่อได้ โดยไม่มีการคิดอัตราดอกเบี้ย เป็นเวลา 1 ปี
-สนับสนุนค่าจ้างแก่ SMEs เป็นจำนวนเงิน 50% ของค่าใช้จ่ายพนักงาน เป็นระยะเวลา 6 เดือน
-การให้ความช่วยเหลือต่อธุรกิจ ทุกบริษัทที่เข้ามาช่วยประเทศแก้ไขปัญหาประเทศ เช่น บริษัทที่ปรับไลน์การผลิตโดยใช้กําลังการผลิตที่มีมาผลิตสินค้าทางการแพทย์ที่ขาดแคลน
-การให้เงินสนับสนุนต่อ สินค้าที่ผลิตมาเพื่อช่วยเหลือประชาชน เช่น น้ำยาฆ่าเชื้อต่างๆ ตู้อบฆาเชื้อ อุโมงค์ฆ่าเชื้อ และให้สถาบันการศึกษา สนับสนุนห้องแลป นักวิจัยร่วมพัฒนาผลิตภัณฑ์
-ตั้งกองทุน “Covid Fund” เพื่อเป็นส่วนหนึ่งในการค้นคว้าเกี่ยวกับวัคซีนและวิธีการรักษา Covid-19-อย่าปิดโรงงานที่ผลิตสินค้าที่จำเป็นต่างๆ ควรมีการควบคุม กำกับที่ดีมาทดแทน
2) มาตรการดูแลประชาชน ครัวเรือนและการจ้างงาน
-การปรับลดภาษีรายได้ส่วนบุคคล
-ผ่อนปรนการชำระค่างวดผ่อนบ้าน งวดรถและไม่มีการรายงานข้อมูลไปที่ศูนย์ข้อมูลเครดิต (ควรยกเลิกศูนย์นี้)
-ให้เงินช่วยเหลือบุคคลและครอบครัวที่มีบุตร โดยไม่ต้องตรวจสอบเนื่องจากเป็นการช่วยคนที่ปฎิบัติตาม กฏระเบียบของรัฐ (เป็นเหตุการณ์ที่ไม่ปกติ เป็นอันตรายต่อชีวิต)
-สินเชื่อบุคคล ที่เข้าถึงง่าย โดยไม่มีดอกเบี้ย เพื่อให้ทุกคนเข้าได้อย่างทั่วถึง
-สนับสนุนการจ้างงานเพื่ออุปโภค บริโภค ไม่ควรเอาเงินงบประมาณจ้างคนไปสร้างถนน ขุดลอกต่างๆที่ไม่จำเป็นอีกต่อไป
-ให้เงินช่วยเหลือลูกจ้างที่ได้รับผลกระทบแบบถาวร และแบบชั่วคราว (permanent, self-employed) ที่ได้รับผลกระทบ
-ให้ประชาชนสามารถกู้เงินฉุกเฉินได้คนละ 10,000 – 30,000 บาท โดยไม่มีการคิดอัตราดอกเบี้ย
-คืนเงินอาหารกลางวันให้ผู้ปกครองภายหลังการปิดโรงเรียน จนถึงเดือนกรกฎาคม และดูแลธุรกิจที่เกี่ยวข้อง
-ให้เงินช่วยเหลือแก่ผู้ว่างงานคนละ 10,000 บาทต่อเดือน โดยจ่ายทุก 2 สัปดาห์ เป็นระยะเวลา 6 เดือน
-อนุญาตให้ถอนเงินกองทุนสำรองเลี้ยงชีพเพื่อการเกษียณอายุได้ก่อนกำหนด
-สนับสนุนเงินทุนใน โครงการ จ้างงานเพื่อพัฒนาบุคลากรและสนับสนุนการจ้างงานใน SMEs โดยเน้นในธุรกิจสนับสนุน สินค้าที่ขาดแคลนและที่ใช้ในทางการแพทย์เท่านั้น
สิ่งสำคัญต่อจากนี้ไปคือ “การสร้างงาน ต้าน covid” รัฐบาลต้องกล้าที่จะคิดและหาหนทางใหม่ๆ เพื่อช่วยประชาชน ไม่ใช่ใช้วิธีเดิมๆที่ ยุคสมัยก่อนใช้แก้ไขได้ นำมาใช้ในปัจจุบัน ซึ่งบริบทได้เปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง ต้องนำคนรุ่นใหม่ๆมาช่วยงานจำนวนมากๆ ให้โอกาสและเน้นความคิดสร้างสรรค์ จะนำประเทศก้าวข้าม คำกล่าวที่ว่าเป็น”ประเทศทันสมัยแต่ไม่พัฒนา”
เชื่อมั่นประเทศไทย คนไทยทำได้ (อยู่บ้าน หยุดเชื้อ เพื่อชาติ)
ดร.ภก.ณัฐพศุตม์ ภัทธิราสินสิริ
อนุกรรมาธิการและเลขานุการ
คณะกรรมาธิการพัฒนาการเมือง วุฒิสภา
|
เมื่อวานคุยเล่น เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด |
| อนาคต 'คนนินทาเมีย' |
| 'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ' |
| ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ |
| วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง" |
| "การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา. |
| เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?" |