จากคนจนเมืองจีนถึงคนจนเมืองไทย


เพิ่มเพื่อน    

                แอบแวะเข้าไปเยี่ยมเพื่อนเก่า เพื่อนร่วมกรง อย่าง คุณพี่แอ่น-มงคล วุฒิสิงห์ชัย (ทางเฟซบุ๊ก) เมื่อสองวันก่อน นอกจากได้เจอกับ อารมณ์ขัน แบบชนิดฮาขี้แตก-ขี้แตนของคุณพี่ท่านแล้ว ยังได้มีโอกาสเห็น คลิป ที่คุณพี่ แอ่น ท่านไปแอ่นเอามาจากไหนก็มิอาจทราบได้ มาโพสต์ มาแชร์ ไว้ในเฟซบุ๊กของท่าน ซึ่งต้องยอมรับว่า...เป็นอะไรที่น่าสนใจ น่าคิด น่าสะกิดใจ มิใช่น้อย นั่นคือคลิปที่ว่าด้วยหัวข้อเรื่อง รัฐบาลจีนช่วยเหลือคนจนอย่างไร...

                                                              ------------------------------------------------------

                คือเรื่องการ ช่วยเหลือคนจน หรือ การขจัดความยากจน ของรัฐบาลจีนนั้น...น่าจะเป็นเรื่องที่รับรู้กันชนิดทั่วทั้งโลกไปแล้ว ณ บัดนี้ เพราะเป็นเรื่องที่ถูกนำมาโจษจัน เล่าขาน ในฐานะตัวอย่าง แบบอย่าง ระดับไม่เพียงแต่เลขาธิการสหประชาชาติ ต้องออกมายกย่อง สรรเสริญ ประเทศคอมมิวนิสต์จีน อย่างเป็นทางการ หรืออย่างเป็นกิจการ กระทั่ง สื่อตะวันตก ในประเทศทุนนิยมทั้งหลายแท้ๆ แม้แต่หนังสือพิมพ์ นิวยอร์ก ไทม์ ของคุณพ่ออเมริกา ยังอดไม่ได้ที่จะแสดงความ ซูฮก ต่อรัฐบาลจีน ภายใต้การนำของประธานาธิบดี สีทนได้ (สีจิ้นผิง) ที่ได้วางเข็มมุ่ง นโยบาย จะเอาชนะความจนในประเทศจีนให้จงได้ ภายในปี ค.ศ.2020 จนทำให้ผลแห่งการปฏิบัติ (ที่ไม่ใช่แค่การพูดเรื่อยๆ เจื้อยๆ ไปตามเรื่อง ตามราว) ส่งผลให้โลกทั้งโลกต้องหันมาให้ความยอมรับอย่างมิอาจปฏิเสธได้ รวมทั้งส่งผลให้บรรดากุมารจีนทั้งหลาย พร้อมที่จะ ทนสีได้ ไม่ว่าสีคิดจะ อยู่ยาวว์ว์ว์ ไปอีกซักกี่ปีต่อกี่ปีก็ตาม...

                                                             -------------------------------------------------------

                อันที่จริง...นอกจาก คลิปวิดีโอ ที่ว่านี้ สำนักข่าว Thaipublica ของบ้านเรา ก็ได้นำเอาเรื่องราวเหล่านี้มาเสนอไว้เป็นรายงานตั้งแต่เมื่อปลายปีที่แล้วโน่นเลย โดยคุณพี่ ปรีดี บุญซื่อ ท่านได้เจาะ เกาะ ติด นำเอาความเคลื่อนไหวของนโยบายขจัดความยากจนในประเทศจีน มาเสนอไว้เป็นตอนๆ  ตั้งแต่ช่วงปลายปีที่แล้ว และช่วงต้นปีนี้ โดยให้รายละเอียดเอาไว้น่าสนใจเอามากๆ ใครที่อยากจะรับรู้ รับทราบ คงต้องไปหาอ่านกันเอาเอง แต่โดยสรุปคร่าวๆ...จุดที่ถือเป็น ความสำเร็จ ในการเอาชนะความยากจนของประเทศจีนนั้น นักคิด นักวิชาการ จากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ชื่อว่านาย Nara  Dillon ผู้เขียนบทความเรื่อง What Can China Teach Us About Fighting Poverty ได้สรุปเอาไว้แบบสั้นๆ ง่ายๆ แม้จะต้องอาศัยความยากลำบากในการปฏิบัติมิใช่น้อย นั่นก็คือการอาศัยองค์ประกอบทางยุทธศาสตร์ 3 ประการ คือ 1.ข้อมูล 2.กระบวนการพัฒนา และ 3.การจัดสรรสวัสดิการ...

                                                              -------------------------------------------------------

                และดูเหมือนว่าภายใน 3 องค์ประกอบที่ว่านี้...ประการแรกคือ ข้อมูล นั้น น่าจะเป็น จุดเริ่มต้น ที่สำคัญที่สุด โดยจะต้องผ่านกระบวนการสืบเสาะ ค้นหา ไล่มาตั้งแต่การพิสูจน์อัตลักษณ์ ด้วยการเปิดให้ลงทะเบียนคนจนทั่วประเทศ สั่งการให้เจ้าหน้าที่ของรัฐ หรือของท้องถิ่นเข้าไปจับเข่า จับหัวหน่าว  พูดคุยกับคนจนกันถึงที่ ก่อนที่จะนำมาวิเคราะห์จัดลำดับให้กลายเป็นโครงการแต่ละโครงการที่เหมาะสม สอดคล้อง กับสภาพแวดล้อมและตัวตนของผู้คนเหล่านั้นกันจริงๆ เสร็จแล้วยังต้องนำไปประเมินผล  ตั้งแผนกประเมินผลขึ้นมาติดตามผลงานกันในแต่ละระยะ ฯลฯ สิ่งที่เรียกว่า ข้อมูล อันถือเป็นจุดเริ่มต้นของยุทธศาสตร์ขั้นแรก ว่าไปแล้ว...จึงแทบไม่ต่างไปจากสิ่งที่ล้นเกล้าฯ รัชกาลที่ 9 ของเรา ท่านทรงใช้คำว่า เข้าใจและเข้าถึง นั่นเอง

                                                               --------------------------------------------------------

                ดังนั้น...เมื่อ เข้าใจ และ เข้าถึง แล้ว สิ่งที่ตามมาคือ กระบวนการพัฒนา มันจึงค่อนข้างไหลลื่น ตรงเป้า ตรงวัตถุประสงค์แถมตรงใจกับบรรดาผู้ได้รับความช่วยเหลือทั้งหลาย อีกทั้งยังตรงกับสภาวะแวดล้อม ไม่ได้ออกไปทางยังไงๆ ต้องสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหินให้จงได้ อะไรประมาณนั้น แต่เป็นกระบวนพัฒนาที่อาศัยข้อเท็จจริงตามสภาพแวดล้อมของผู้คนในพื้นที่นั้นๆ หรืออาศัยผู้คนในพื้นที่นั้นๆ เป็นผู้กำหนดสิ่งที่สอดคล้อง เหมาะสม กับตัวของตัวเองเป็นหลัก โดยที่บรรดา สวัสดิการ ต่างๆ ซึ่งถูกแจกจ่ายไปยังคนจนในแต่ละพื้นที่ ไม่ว่าการที่รัฐเข้าไปแบกรับค่ารักษาพยาบาล 70 เปอร์เซ็นต์ เพื่อประกันสุขภาพของผู้คน การยกเลิกการเก็บค่าเล่าเรียนของบรรดาโรงเรียนในชนบท โดยรัฐเป็นผู้จ่ายเงินชดเชยให้โรงเรียนแต่ละโรงเรียน ฯลฯ จึงไม่ได้ออกไปทาง ประชานิยม ใดๆ ทั้งสิ้น การแก้ปัญหาคนจนในเมืองจีน เลยกลายเป็นแบบอย่าง ตัวอย่าง ที่ทำให้โลกทั้งโลก อดทึ่ง อดประทับใจ ขึ้นมามิได้...

                                                              ---------------------------------------------------------

                ส่วนประเทศไทยแลนด์ แดนสยาม ของหมู่เฮา...ที่เคยมีพระมหากษัตริย์ผู้ทรงมีสถานะไม่ต่างอะไรไปจาก ภูมิปัญญาแห่งสังคม เคยได้ทรงชี้แนะ ชี้นำ อะไรต่อมิอะไรเอาไว้เยอะแยะ มากมาย ไม่ใช่แค่เฉพาะเรื่อง เข้าใจ-เข้าถึง-และพัฒนา เท่านั้น แต่ยังมีเรื่อง เศรษฐกิจพอเพียง ที่ตรัสเอาไว้ตั้งแต่เมื่อเกือบ 40 ปีที่แล้ว แต่ทุกวันนี้...ยังคงไม่ไปไหน ไม่ว่าโลกจะยอมรับแทบจะทั่วทั้งโลกไปแล้วก็ตาม จุดที่น่าสนใจและน่าติดตามอยู่ไม่น้อย ก็คือรัฐบาลปัจจุบัน อย่างรัฐบาล คสช.ท่านก็ดูจะเริ่มต้นเอาจริงเอาจัง หลังจากผ่านไปแล้วประมาณ 3 ปี คือเริ่มจะ เอาแบบจีน หรือจะ เอาตามแนวทางพระราชดำริ ในเรื่อง เข้าใจ-เข้าถึง-และพัฒนา ก็แล้วแต่ ด้วยการเปิดให้ลงทะเบียนคนจน เริ่มคิดจะส่งเจ้าหน้าที่  (กระทรวงการคลัง) เข้าไปจับเข่า จับหัวหน่าว บรรดาผู้ที่ลงทะเบียนคนจนขึ้นมามั่งแล้ว...

                                                                  ---------------------------------------------------------

                แต่ที่ออกจะน่าหวั่นใจอยู่บ้างตามสมควร...ก็คือบรรดาคนไทยทั้งหลาย ไม่ว่ายาก ดี มี จน จะเกิดอาการ ทนตู่ได้ เหมือนอย่างที่ ทนสีได้ แบบบรรดาชาวจีนไปอีกซักนานขนาดไหน อีกทั้งบรรดา ข้าราชการไทย ที่แม้ถูกสั่งให้ไปจับเข่า จับหัวหน่าว ชาวบ้าน ชาวช่อง แต่ถ้าจับไป-จับมา ดันหันไปจับเงินสงเคราะห์คนจน คนไร้ที่พึ่ง เงินชาวเขา เงินเด็ก ฯลฯ เอามาเข้ากระเป๋าตัวเองซะยังงั้น!!! จะไล่ตบ ไล่บี้ ไล่ขจัดกวาดล้างแบบที่ผู้นำจีนกวาดล้าง แมลงวัน ไปจนถึง เสือ นับเป็นล้านๆ ราย ก็อาจต้องเจอกับ เพื่อน-พ้อง-น้อง-พี่ หรือเจอกับ แหวนแม่-นาฬิกาเพื่อน เข้าอีกจนได้ โอกาสที่ ต้นตำรับเศรษฐกิจพอเพียง อย่างประเทศไทย จะสามารถบรรลุเป้าหมาย ได้เหมือนอย่าง สังคมพอเพียง ของประเทศจีน สามารถขจัดอาการ รวยกระจุก-จนกระจาย ขณะที่คนจนต้อง รูดบัตร ตามร้านธงฟ้าต่อไปเรื่อยๆ จึงเป็นอะไรที่หนักไปทางวอต เอฟเวอร์ วิลบี วิลบี นั่นแล...

                                                                -----------------------------------------------------------             

               ปิดท้ายด้วยวาทะวันนี้ จาก C.S. Lewis...“What you see and hear depends a good deal on  where you are standing; it also depends on what sort of people you are.- ท่านได้เห็นและได้ยินอะไร ขึ้นอยู่กับว่าท่านยืนอยู่ ณ จุดจุดใด รวมทั้งขึ้นอยู่กับว่า...ท่านเป็นคนประเภทใด...”

                                                               ---------------------------------------------------------------


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"