ลาเมืองจีนกลับถิ่นญวน


เพิ่มเพื่อน    

 


บัสทางไกลข้ามประเทศกับสองหนุ่มโชเฟอร์

     ฟ้ามืดสนิทพอดีตอนที่ผมกลับออกมาจากอุทยานภูเขาชิงชิ่ว ปวดส้นเท้าและหมดเรี่ยวแรงจะแวะที่ไหนอีก นั่งรถไฟใต้ดิน 2 ต่อไปโผล่ที่สถานี Macun เดินไปยังตึก Nanhu No.6 เข้าร้านสะดวกซื้อ หยิบขนมมาหลายห่อพร้อมด้วยเหล้าจีน 1 ขวดเล็ก นี่คือมื้อค่ำสิ้นคิดของวันนี้

            ขึ้นลิฟต์ไปชั้น 12 เดินเข้า South Face Hostel อาบน้ำเสร็จแล้วหอบขนมและเหล้าจีนขวดขนาด 220 มิลลิลิตรมาที่โต๊ะอาหารรวมของโฮสเทล เด็กวัยรุ่นสองสามคน-แขกประจำของโฮสเทลนั่งทำการบ้านกันอยู่บนโต๊ะ คืนนี้เทรซี่-เจ้าของโฮสเทลนอนค้างที่นี่ เธอนำกับข้าว 4 จานมาวาง เป็นผัดผักทั้งหมด นั่งกินกับข้าวสวย มีเพียงสาววัยรุ่นตัวสูงร่วมแจม เทรซี่หันมาเอ่ยปากชวนผมกินข้าวแล้วเดินเข้าครัวไปหยิบถ้วยและตะเกียบมาให้ ผมเกรงใจคีบตักมานิดๆ หน่อยๆ กินเหมือนนก แต่กินไปกินมารู้สึกว่าอร่อย สองสาวเลิกกินไปแล้วผมก็ยังจิกๆ อยู่

            มีชายเกาหลีใต้วัยกลางคนเข้ามาสอบถามข้อมูลและขอดูห้องพัก ในโฮสเทลนี้ห้องพักมีแต่แบบนอนรวมหรือที่เรียกว่า “ดอร์ม” เขาพูดภาษาจีนกับเทรซี่และพูดภาษาอังกฤษกับผม คงนึกว่านอกจากผมแล้วก็ไม่น่าจะมีใครพูดภาษาอังกฤษได้ เขากำลังหาห้องพักสำหรับวันพรุ่งนี้แต่บ่นว่าที่นี่ห้องนอนแคบไปหน่อย เทรซี่ได้ยินแต่เธอแกล้งฟังไม่ออก


ภายในตัวรถบัสหนานหนิง-ไห่ฟอง เที่ยวนี้มีผู้โดยสารเพียงหนึ่งสาวจีนและหนึ่งหนุ่มไทย

            เขาแนะนำตัวว่าชื่อโจเซฟ เป็นคาทอลิกจึงมีชื่อฝรั่ง ผมสงสัยที่เขาพูดภาษาจีนได้คล่องแคล่ว ก็ได้รับคำตอบว่าทำงานในจีนมาได้ 6 ปี อีกไม่นานจะย้ายไปเวียดนามและคงอยู่ที่นั่นอีกหลายปี ตั้งใจว่าจะเรียนภาษาเวียดนามด้วย โจเซฟให้ข้อมูลว่าเดี๋ยวนี้คนเกาหลีอยู่ในเวียดนามกันเยอะเพราะมีบริษัทเกาหลีมาปักหลักยึดเวียดนามเป็นฐานการผลิตอยู่หลายบริษัท พอรู้ว่าผมกำลังจะเดินทางไปไห่ฟอง เขาบอกว่าบริษัทแอลจีก็อยู่แถวๆ นั้น

            หลังโจเซฟกลับออกไปมีสาวจีนคนหนึ่งเดินเข้ามาเช็กอิน เพื่อนของเธอคนหนึ่งเข้ามาก่อนแล้วเมื่อตอนกลางวัน ทั้งคู่จะนั่งรถไฟไปเวียดนาม (ฮานอย) ในวันรุ่งขึ้น ผมนึกว่าคืนนี้จะได้นอนในห้องดอร์มชาย 4 เตียงแต่เพียงผู้เดียวเพราะเพื่อนร่วมห้องเมื่อคืน หนุ่มนักเดินทางจากเดนมาร์กเช็กเอาต์ไปแล้วเมื่อตอนเช้า แต่ราวๆ 5 ทุ่มก็มีหนุ่มจีนหน้าเกาหลีเดินเข้ามาเช็กอิน สาเหตุที่เทรซี่ต้องนอนค้างที่โฮสเทลก็คงเพราะมีแขกมาเช็กอินกลางดึกนี่เอง

            เด็กวัยรุ่นจีนที่เป็นลูกค้ารายเดือนของโฮสเทลมีอยู่ห้าหกคน พวกเขาชอบเข้ามาสนทนากับผม ทั้งอยากรู้เรื่องราวคนแบกเป้และอยากฝึกภาษาอังกฤษ พวกเขาเรียนจบชั้น ม.ปลายกันแล้ว กำลังเรียนภาษาอังกฤษเสริมทักษะก่อนจะไปเรียนระดับมหาวิทยาลัยในต่างประเทศ เด็กพวกนี้เข้านอนกันดึกมาก ยกเว้นสาวแว่นที่ฝึกภาษาอังกฤษอยู่กับผมได้ถึงประมาณ 4 ทุ่มก็เข้านอน


สาวมอเตอร์ไซค์ในเมืองตงชิง เขตปกครองตนเองกว่างซีจ้วง ใกล้ชายแดนจีน-เวียดนาม

            ราวเที่ยงคืนหนุ่มแว่นผู้ที่กำลังจะไปเรียนด้านภาพยนตร์ที่มหาวิทยาลัยศิลปากรกลับมาจากร้านเกม พร้อมด้วยเพื่อนอีกคนที่ไม่ค่อยพูดค่อยจา ตอนหลังเขาพูดออกมาว่า “เข้าใจที่พวกคุณคุยกันทั้งหมด แต่ผมชอบอยู่เงียบๆ มากกว่า”

            ขออนุญาตพูดถึงเหล้าจีนสักหน่อย ผมไม่มีความรู้เรื่องนี้เลย ตอนเปิดดื่มแล้วจึงได้ถามพวกเด็กวัยรุ่นว่าเหล้านี้เรียกว่าอะไร พวกเขาตอบว่า “ไป๋จิ่ว” มาหาคำตอบทีหลังจึงทราบว่ามีความหมายตามตัวคือ “เหล้าขาว” ได้จากการนำข้าวชนิดต่างๆ เช่น ข้าวสาลี ข้าวฟ่าง ข้าวบาร์เลย์ ข้าวเหนียว หรือธัญพืช เช่นลูกเดือยไปกลั่น ในจีนมีเหล้าขาวจำนวนมากมายมหาศาลแยกไปตามท้องที่ต่างๆ ทั่วประเทศ ไป๋จิ่วที่เลื่องชื่อมากก็คือ “เหมาไถ” มาจากเมืองเหมาไถ มณฑลกุ้ยโจว ทำจากข้าวฟ่างและข้าวสาลี ส่วนเจ้าไป๋จิ่วที่ผมซื้อมาเห็นทีจะทำจากข้าวเหนียว แอลกอฮอล์ราว 40 เปอร์เซ็นต์ มีกลิ่นหอม แต่รสชาติหวานไปนิด จิบได้ครึ่งขวดก็คิดจะเก็บไว้ต่อวันหลัง ทำท่าจะเข้านอนก็ถูกเทรซี่ยั้งไว้


​​​​​​​หันหลังกลับไปมองอาคารด่านชายแดนตงชิง ขอกล่าว “จ้ายเจี้ยนจงกั๋ว” ลาก่อนเมืองจีน

            เมื่อวานตอนบ่ายเธอจะให้ผมเขียนในสมุดเยี่ยมหรือสมุดบันทึกของโฮสเทลอันเป็นธรรมเนียมปฏิบัติของแขกทุกคน ผมผัดผ่อนว่าไว้ค่อยเขียนเพราะยังไม่ได้เห็นหรือสัมผัสอะไรเลยในตอนนั้น เธอรู้ว่าพรุ่งนี้เช้าผมก็ไม่อยู่แล้วจึงไม่ลืมหยิบสมุดเยี่ยมออกมาให้เขียน ผมก็เลยต้องเปิดขวดไป๋จิ่วอีกครั้ง นำสมุดไปนั่งเขียนในโซนนั่งเล่น เขียนภาษาไทยไป 1 หน้าเต็มๆ และภาษาอังกฤษไม่กี่บรรทัด มีคีย์เวิร์ดอยู่ที่คำว่า Young spirit, Energy และ Hope (จิตวิญญาณหนุ่มสาว, พลังงาน และความหวัง) เทรซี่บอกว่าเธอชอบคำว่า Hope มาก เธอยังพยายามใช้แอปในมือถือลากไปตามตัวหนังสือในสมุดเพื่ออ่านภาษาไทย แต่แอปไม่ช่วยอะไรเพราะผมเขียนหวัดเกิน

            ไป๋จิ่วหมดขวดจนได้ ผมเข้านอนประมาณตี 1 ครึ่ง ตื่นตามเสียงนาฬิกาปลุกตอน 7 โมงเช้า หนุ่มจีนหน้าเกาหลีลุกพร้อมๆ กับผม เขาเป็นชาวกว่างโจว เพิ่งเรียนจบมหาวิทยาลัยแต่ยังหางานทำไม่ได้ บอกว่านอนไม่หลับ ผมไม่ได้ถามต่อว่านอนไม่หลับทั้งคืนหรือว่าหลับๆ ตื่นๆ กลัวคำตอบจะออกมาว่า “หนวกหูเสียงกรนของคุณ” เพราะมันก็เป็นไปได้ที่ผมจะกรนหากว่าดื่มเข้าไปจนถึงขีดของมัน

            ผมเปิดประตูเดินออกไปที่ห้องนั่งเล่นเจอหนุ่มแว่นนั่งเล่นโทรศัพท์อยู่ แกล้งถามเขาว่าตื่นเช้าหรือ เขาตอบว่ากำลังจะนอนเดี๋ยวนี้แล้วก็เดินเข้าห้องดอร์มอีกห้อง ผมบอกเขาว่ากำลังจะไปแล้ว เผื่อว่าเขาจะขออีเมลไว้สำหรับติดต่อเมื่อต้องการความช่วยเหลือหรือขอคำปรึกษาใดๆ ที่เมืองไทย หนุ่มน้อยแค่โบกมือลา

            เมื่อคืนนี้เขาเล่าให้ผมฟังว่าตอนเรียนจบ ม.ปลายใหม่ๆ เคยเดินทางไปเมืองไทยมาแล้ว อีกทั้งเคยนั่งเรือจากเชียงของล่องน้ำโขงไปจนถึงสี่พันดอนในลาวใต้ ใช้เวลา 3 วัน 3 คืน ถ้าจำไม่ผิดเขาเหมือนจะพูดว่าตั้งต้นตะลุยแม่น้ำโขงที่เชียงรุ่ง เขตปกครองตนเองสิบสองปันนาด้วยซ้ำ เมื่อมีความมั่นใจสูงและชอบผจญภัยก็คงเอาตัวรอดในเมืองไทยได้สบายๆ

            ผมจัดการกับกระเป๋าเป้เสร็จ เข้าห้องน้ำแล้วก็ออกจากโฮสเทล หนุ่มกว่างโจวแบกกระเป๋าตามออกมา เขายังไม่รู้ว่าจะไปไหน ขอแค่ออกมาก่อนเท่านั้น หามื้อเช้ากินแล้วค่อยคิดหาหนทางว่าจะเอาไงต่อ ผมลาเขาบริเวณด้านล่างตึก ลังเลที่จะชวนไปเปิดหูเปิดตาที่เวียดนาม เขาดูเคว้งคว้าง ไร้จุดหมาย อาจยังไม่รู้จักตัวเอง หรือกำลังตามหาอะไรบางอย่าง คงจะดีหากเมื่อคืนได้พูดคุยกับเขาบ้าง ผมมาเช็กระเบียบการเข้าประเทศเวียดนามตอนหลังพบว่าคนจีนต้องขอวีซ่าก่อนเข้าเวียดนาม หรือหากจะเข้าแบบ Visa On Arrival ก็ต้องยื่นทางอินเทอร์เน็ตล่วงหน้าอย่างน้อย 2 วัน และต้องเข้าทางสนามบิน เท่ากับว่าชวนไปก็ไร้ประโยชน์

            รถไฟใต้ดินวิ่งไม่กี่สถานีถึง Nanning Coach Station เดินขึ้นชั้น 2 ของอาคารผู้โดยสารสถานีขนส่งหลั่งตง เข้าไปรอบริเวณหน้าช่องประตูทางออกที่ 4 มีผู้โดยสารยืนเข้าคิวอยู่หลายคน แต่เห็นว่าเหลือเวลาเกือบครึ่งชั่วโมงก่อนรถออก 9 โมงตรง วางเป้ใบใหญ่ไว้บนเก้าอี้แล้วหิ้วเป้ใบเล็กเข้าห้องน้ำถ่ายท้องอีกรอบ จะไปหวังพึ่งส้วมบนรถบัสไม่ได้ เท่าที่เห็นมารถบัสจีนไม่มีห้องน้ำ

            ออกจากห้องน้ำเห็นแถวผู้โดยสารสั้นลงไปนิดเดียว มีคนกำลังโวยวายอะไรบางอย่างกับเจ้าหน้าที่ ผมรอจังหวะดีโชว์พาสปอร์ตและตั๋วขึ้นสูงๆ เจ้าหน้าที่เห็นว่าเป็นพาสปอร์ตต่างชาติก็ใส่ใจเป็นพิเศษ โบกมือให้เดินออกนอกประตูไปยังชานชาลาตอนที่เหลือเวลาไม่กี่นาที รถบัสไปเมืองไห่ฟองจอดรออยู่แล้ว ผมจะขอเอาเป้ใบใหญ่ใส่ใต้ท้องรถ โชเฟอร์ชี้ให้แบกขึ้นรถไปได้เลย พอขึ้นไปเห็นผู้โดยสารนั่งรออยู่เพียงคนเดียวจึงเข้าใจว่าเหตุใดไม่ต้องโหลดกระเป๋าให้เสียเวลา


​​​​​​​เหล่าหนุ่มเวียดจอมสำอางกางร่มรอทำธุรกิจบางอย่างบริเวณหน้าอาคารด่านตรวจคนเข้าเมืองหม่องไก๋ ประเทศเวียดนาม

            รถออก 9 โมงตรง ภายในรถดูสะอาดสะอ้าน เก้าอี้กว้างนั่งสบาย และไม่มีห้องน้ำตามคาด ผู้โดยสารร่วมคันของผมเป็นหญิงสาวชาวจีนวัยยี่สิบต้นๆ อาจจะทำงานอยู่ที่เมืองไห่ฟอง หรือไม่ก็เกาะกัตบา (เกาะท่องเที่ยวยอดนิยมไม่ไกลจากไห่ฟอง) ฝ่ายโชเฟอร์ก็มีเท่ากับจำนวนผู้โดยสาร ทั้งคู่ผลัดกันทำหน้าที่ คนที่ว่างเดินมาแจกขนมและน้ำเปล่าที่ได้กลายเป็นมื้อเช้าอย่างน่ายินดี มีเตียงนอนอยู่ด้านขวากลางตัวรถ ผมสงสัยว่าอาจมีไว้สำหรับผู้ป่วย ที่ไหนได้ตอนโชเฟอร์มือหนึ่งหมดกะเขาก็มานอนบนเตียงนี้ แม้ว่าจะแค่นอนเล่นโทรศัพท์ก็ตาม

            บัสวิ่งลงใต้พุ่งไปยังชายฝั่งอ่าวตังเกี๋ย ผ่านด่านตำรวจทางหลวงแห่งหนึ่ง มีตำรวจขึ้นมาเก็บพาสปอร์ตของผมไป ตรวจสอบอยู่เกือบสิบนาทีก่อนนำมาคืน จากนั้นโชเฟอร์ทั้ง 2 คนแวะเข้าห้องน้ำในปั๊มน้ำมันโดยได้ชวนผมลงไปด้วย แล้วพวกเขาก็ออกจากห้องน้ำมาสูบบุหรี่รอหน้ารถ บัสวิ่งต่อไปอีกสักพักรวมระยะทาง 180 กิโลเมตรก็ถึงด่านชายแดนจีนชื่อ “ตงชิง” โชเฟอร์ทำมือบอกให้เอาของลงให้หมด และพูดบางอย่างกับสาวจีน น่าจะขอให้ช่วยดูผม

            สาวจีนเข้าแถวช่องคนจีน ผมเข้าคิวช่องพาสปอร์ตต่างชาติ เห็นมีคนถือใบขาออกนอกประเทศ (Departure Card) ผมไม่มีแต่ก็รู้จะหาที่ไหน ตัดสินใจเข้าคิวไปอย่างนั้น สาวจีนหลุดไปยืนรออยู่หลังด่านเจ้าหน้าที่อย่างรวดเร็ว แถวของผมค่อนข้างยาว สักพักมีการเปิดแถวใหม่ ป้าที่อยู่หน้าผมดึงมือให้ไปแถวใหม่กับแกอย่างน่าเอ็นดู แต่มีคนเดินไปก่อนหลายคนแถมยังถูกแซงคิวอีกต่างหากจนแถวที่เราจากมาสั้นกว่า ป้าเป็นคนเวียดนามและคงคิดว่าผมเป็นคนเวียดนามเหมือนแก สาวจีนดูเหมือนจะยืนรอแบบเซ็งๆ เพราะใช้เวลารวมประมาณ 20 นาทีกว่าจะถึงคิวของผม สุดท้ายไม่ต้องใช้ Departure Card ที่อาจเจาะจงใช้เฉพาะชาวเวียดนามเท่านั้น เจ้าหน้าที่พูดภาษาอังกฤษได้นิดหน่อย ถามว่า “มีวีซ่าเข้าเวียดนามหรือยัง?” ผมตอบอย่างภูมิใจว่า “เราเป็นชาวอาเซียนด้วยกัน ไม่ต้องใช้วีซ่า”   


​​​​​​​ทิวทัศน์ในจังหวัดกว่างนิงห์ขณะนั่งรถบัสผ่าน

            หลังอาคารด่านชายแดนของจีนเป็นสะพานข้ามแม่น้ำเป่ยหลุนในภาษาจีนหรือแม่น้ำกาลองในภาษาเวียดนาม พรมแดนธรรมชาติระหว่างสองชาติมังกร เราเดินเข้าสู่อาคารตรวจคนเข้าเมืองเวียดนาม ชื่อว่าด่าน “หม่องไก๋” อยู่ในจังหวัดกว่างนิงห์ จุดขวาบนสุดของแผนที่ประเทศ การตรวจสอบหนังสือเดินทางใช้เวลาไม่นานแม้คิวจะยาว และคราวนี้ผมออกไปรอสาวจีนอยู่หลายนาที เห็นหนุ่มเวียดยืนกางร่มถนอมผิวพรรณกันอยู่หลายคน อาจจะขายซิมการ์ดโทรศัพท์ เสนอโรงแรมที่พัก หรือรอทำธุรกิจบางอย่าง

            เราเดินไปขึ้นรถบัสที่ผ่านขั้นตอนออกเมือง-เข้าเมืองมาในจังหวะไม่ห่างกัน ถึงตอนนี้ผมได้เวลาคืนมา 1 ชั่วโมงหลังจากที่เสียไปตอนออกจากเวียดนามที่เมืองหล่าวกายไปยังเมืองเหอโข่วของจีนเมื่อเกือบ 2 สัปดาห์ก่อน มีหนุ่มคนหนึ่งหน้าตาออกไปทางเวียดนามขึ้นรถมาด้วย เขาแต่งตัวดี ยืนตั้งหลักอยู่พักใหญ่แล้วเดินมาหาผม โชว์ข้อความในมือถือที่แปลจากภาษาจีนเป็นภาษาอังกฤษ (เขาจึงน่าจะเป็นคนจีน) May I have your passport, please? ผมยื่นพาสปอร์ตให้เขาไปอย่างงงๆ โดยไม่รู้วัตถุประสงค์ว่าจะเอาไปทำไม รถวิ่งไปพักใหญ่เจอด่านตำรวจเล็กๆ เขาลงไปที่ด่าน พอกลับขึ้นมาก็นำพาสปอร์ตมาคืน

            โชเฟอร์แวะจอดให้กินข้าวเที่ยงที่จุดแวะพักแห่งหนึ่ง ผมมีเงินดองเหลืออยู่พอสมควร เดินไปที่ร้านข้าวแกง ในโซนที่ดูคล้ายฟู้ดคอร์ต ชี้กับข้าวหลายอย่างให้แม่ค้าตักราดจนพูนจาน ราคาแค่ 4 หมื่นดอง น้ำเปล่าขวดละ 1 หมื่นดอง รวมแล้วประมาณ 70 บาท ผมรีบกินเพราะหนุ่มจีนหน้าเวียดบอกว่าจอดพักแค่ 20 นาที กินเสร็จเข้าห้องน้ำแล้วเดินไปขึ้นรถ เห็นคู่หูโชเฟอร์ยังนั่งกินไม่เสร็จอยู่ในห้องอาหารที่แยกออกไป และเมื่อรถบัสล้อหมุนอีกครั้ง หนุ่มจีนหน้าเวียดก็หายตัวไปแล้ว ทายว่าเขาน่าจะเป็นนายตรวจของบริษัทเดินรถ

            ถนนหนทางในฝั่งเวียดนามแม้จะไม่เลิศหรูดูดีเท่ากับฝั่งจีนแต่ก็ได้มาตรฐาน ผมดูวิวสองฝั่งซ้ายขวาอย่างเพลิดเพลิน กระโจนไปเก้าอี้ตัวไหนก็ได้ตามสบาย ฝั่งขวามือมีภูมิประเทศเป็นแนวภูเขาเตี้ยๆ สลับกับนาข้าว และป่าชายเลน ฝั่งซ้ายคือทะเลและป่าชายเลน รวมถึงเกาะน้อยใหญ่จำนวนมากในทะเล นั่นก็คือเกาะในอ่าวฮาลอง

            ระยะทางจากหนานหนิงถึงไห่ฟองประมาณ 400 กิโลเมตร ใช้เวลาราว 8 ชั่วโมงรถบัสก็ถึงลานจอดรถของสถานีขนส่งเมืองไห่ฟอง สาวจีนที่มาด้วยกันเดินหายเข้าไปในสถานีอย่างรวดเร็ว พี่โชเฟอร์ชี้ให้ผมเดินตามเธอไปแต่ผมไม่มีอะไรจะสอบถามกับเธออยู่แล้วเพราะเธอพูดภาษาอังกฤษไม่ได้ มีคนขับมอเตอร์ไซค์รับจ้างเดินเข้ามาถามว่าจะไปไหน ผมตอบว่าขอตั้งหลักก่อนแล้วก็เดินเข้าสถานีไปด้วยกัน

            ผมบอกเขาว่าจะนั่งแท็กซี่ ให้ดูชื่อโรงแรมที่จองไว้และแผนที่แบบออฟไลน์ในมือถือ อยู่ห่างไป 1.2 กิโลเมตร เขาก็ให้คนขับแท็กซี่เข้ามาคุย แท็กซี่เรียก 1 แสนดอง (ประมาณ 140 บาท) ผมต่อเหลือ 5 หมื่นดอง เสริมไปว่ากิโลกว่าๆ เดินได้สบายๆ เขาว่าถ้า 5 หมื่นดองต้องมอเตอร์ไซค์ สุดท้ายก็ได้นั่งมอเตอร์ไซค์ของชายคนเดิม

            เรามาถึงหน้าโรงแรมอย่างรวดเร็ว พี่มอเตอร์ไซค์รับเงินไปแล้วยื่นมือมาขอจับ พร้อมส่งยิ้มหวาน.

/////


 







แกลลอรี่


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"