อย่าให้ใครด่าว่าพ่อแม่ไม่สั่งสอน


เพิ่มเพื่อน    

 

      คนเราไม่ได้เกิดมาจากไม้กระบอก เรามีพ่อมีแม่ แม้คนที่โชคร้ายกำพร้าพ่อแม่ก็คงไม่ได้เติบโตด้วยตนเองโดยไม่มีใครเลี้ยงดูหรอกนะ และในการเลี้ยงดูลูกหลานให้เจริญเติบโตนั้น คนที่ดูแล ไม่ว่าจะเป็นพ่อแม่หรือญาติผู้ใหญ่ นอกจากจะจัดสรรให้คนเราโตมาพร้อมกับปัจจัยแล้ว คนที่เลี้ยงดูจะต้องให้ความสำคัญกับการอบรมเลี้ยงดูด้วย เพื่อให้ลูกหลานเติบโตเป็นคนที่มีคุณภาพ ที่สามารถวัดได้ ประเมินได้จากมโนกรรม วจีกรรม และกายกรรม นั่นคือคนอบรมสั่งสอนต้องให้ลูกหลานเติบโตมาเป็นคนที่คิดดี พูดดี และกระทำดี ทำตัวเป็นคนที่มีคุณค่าสำหรับตนเอง สำหรับครอบครัว สำหรับสังคม และสำหรับประเทศชาติ เมื่อมีใครคนใดคนหนึ่งที่ทำตัวเป็นคนไม่มีคุณภาพ คิดชั่ว พูดชั่ว และทำชั่ว คนอื่นเขาก็อดที่จะพูดไม่ได้ว่าคนคนนั้นเป็น “ลูกที่พ่อแม่ไม่สั่งสอน” ในเวลานี้ที่เรากำลังเผชิญกับ COVID-19 เราได้เห็นคนหลายๆ คนที่เราอยากจะถามว่าโตมาอย่างไร พ่อแม่ไม่สั่งสอนบ้างหรือไร ทำไมจึงเป็นคนที่มีพฤติกรรมที่ชั่วร้าย ทั้งมโนกรรม วจีกรรม และกายกรรม คือการแสดงออกหลายอย่างทำให้เราเห็นว่าเป็นคนคิดชั่ว จึงมีวาจาชั่ว และมีการกระทำชั่ว

            เรื่องหนึ่งที่พ่อแม่ควรจะสอนลูกก็คือ ความคิดเกี่ยวกับ “กาละและเทศะ” นั่นคือสอนให้ลูกรู้ว่า เวลาใด ณ ที่ใด เราควรจะทำอะไร หรือไม่ควรจะทำอะไร จึงจะได้ชื่อว่าเป็นคนเข้าใจสถานการณ์ เข้าใจบริบท และทำตัวได้เหมาะสม อย่างเช่นเวลานี้ ทั่วโลกรวมทั้งประเทศไทยกำลังต่อสู้กับโรคระบาดที่ทำให้คนเจ็บป่วยล้มตายกันเป็นจำนวนมาก และในการต่อสู้กับโรคระบาดนั้นก็เกิดผลกระทบในมิติอื่นๆ อีกมากมาย บางเรื่องรัฐบาลก็ขอความร่วมมือ บางเรื่องรัฐบาลก็ต้องออกกฎหมายห้าม ในความพยายามดังกล่าวนี้ เรามีผู้คนในฝ่ายต่างๆ ให้ความร่วมมือช่วยกันต่อสู้กับโรคระบาด และทำให้เศรษฐกิจของประเทศเดินหน้าต่อไปได้ ดังนั้นในเวลานี้ คนที่รู้กาละและเทศะจะต้องให้ความร่วมมือกัน ปฏิบัติตามมาตรการที่หมอ ผู้เชี่ยวชาญด้านระบาดวิทยาแนะนำ และเข้าใจรัฐบาลในการหามาตรการมาเยียวยาผู้ที่ได้รับผลกระทบทางเศรษฐกิจ และควรจะพูดจาให้กำลังใจกัน แต่ปรากฏว่ามีคนบางคนที่เราอดด่าไม่ได้ว่าพ่อแม่ไม่สั่งสอน ดันเอาเรื่องการเมืองมาเล่นงานรัฐบาล ไม่ว่ารัฐบาลจะขยับตัวไปทางไหน ทำอะไร จะต้องแสดงความคิดเห็นคัดค้าน แซะ แขวะ ด่า ทุกเรื่อง ด้วยเป้าหมายที่จะให้ผู้คนชิงชังรัฐบาล มองว่ารัฐบาลเฮงซวย และต้องการขับไล่รัฐบาล อยากจะตั้งคำถามว่า เวลานี้เราควรจะเล่นการเมืองกับความพยายามต่อสู้กับวิกฤติที่หลายฝ่ายกำลังร่วมมือกันหรือ พ่อแม่เคยสอนเรื่อง “กาลเทศะ” บ้างไหม

            อีกเรื่องหนึ่งที่พ่อแม่ควรจะสอนลูกก็คือ “การรู้จักคิด วิเคราะห์ แยกแยะ” เพราะเวลานี้เราจะเห็นว่ามีคนจำนวนมากที่ไม่รู้จักคิด ไม่รู้จักวิเคราะห์ และไม่รู้จักแยกแยะ การที่เรากล่าวเช่นนี้ เพราะเราเห็นคนบางคนที่มีอคติ มีความแค้นจากความผิดหวัง จะตั้งหน้าตั้งตา ด่า แซะ แขวะ ทุกมาตรการที่รัฐบาลประกาศขอความร่วมมือจากประชาชน หรือออกเป็นกฎหมายบังคับประชาชน เพื่อให้ประเทศไทยสามารถเอาชนะโรคระบาดครั้งนี้ได้ และหากวิเคราะห์ตัวเลขที่หมอทวีศิลป์รายงานให้เราฟังทุกวัน ก็จะเห็นได้ว่ามาตรการต่างๆ นั้นได้ผล เพราะเราสามารถลดจำนวนคนติดเชื้อลงได้อย่างต่อเนื่อง เราสามารถรักษาคนให้หายได้อย่างต่อเนื่อง ทำให้มีหลายจังหวัดที่ไม่มีคนติดเชื้อเลย และมีหลายจังหวัดที่มีคนหายแล้ว จนทำให้สถิติจำนวนคนป่วยในจังหวัดนั้นๆ เป็นศูนย์ เรามีจังหวัดที่ไม่เคยมีคนติดเชื้อ และจังหวัดที่คนติดเชื้อหายป่วยจนหมดแล้วเกือบจังหวัด ตัวเลขเหล่านี้ หากรู้จักคิดและวิเคราะห์ก็จะสามารถชื่นชมการทำงานของรัฐบาลและหน่วยงานต่างๆ ได้ด้วยความเต็มใจ แต่ปรากฏว่าคนบางคนแยกแยะไม่ได้ว่าอะไรผิด อะไรถูก อะไรเหมาะ อะไรควร พวกเขาไม่รู้จักแยกแยะผิดชอบชั่วดี เราจึงอยากถามว่าพ่อแม่เขาไม่เคยสอนให้คิด วิเคราะห์ แยกแยะเลยหรือ จึงมีพฤติกรรมเช่นนี้

            พ่อแม่เขาไม่สอนบ้างเลยหรือว่า “ด่าหยาบคาย” และ “ติเพื่อก่อ” นั้นต่างกันอย่างไร เราสามารถยอมรับได้ว่าสิ่งที่รัฐบาลทำนั้นไม่ได้ถูกต้องไปทั้งหมด มีถูกบ้าง ผิดบ้าง สมบูรณ์บ้าง บกพร่องบ้าง ทั้งนี้ เพราะเรื่องไวรัส COVID-19 เป็นเรื่องใหม่ที่ไม่เคยมีมาก่อน การแก้ปัญหาต่างๆ ก็เป็นแนวทางการทำงานที่เป็น “ครั้งแรก” เป็นส่วนใหญ่ ดังนั้นก็จะต้องมีข้อบกพร่องบ้าง คนที่พ่อแม่เคยสอนให้รู้จักคำว่า “ติเพื่อก่อ” ก็คงจะพูดๆ ดีๆ ในการให้คำแนะนำ ให้ข้อเสนอแนะ หรือขอร้องให้รัฐบาลทำอะไรที่พวกเขาเชื่อว่าจะช่วยแก้ปัญหาได้ โดยที่ไม่ด่าด้วยถ้อยคำหยาบคายรุนแรง ตอนนี้มีคนหลายคนที่เอาแต่ด่า และถ้อยคำในการด่านั้นก็หยาบคาย เหมือนพ่อแม่ไม่เคยสอนว่าเวลาเห็นอะไรไม่ถูกไม่ควร จะติเพื่อก่อด้วยปิยวาจาอย่างไร หรือว่าเติบโตมาในบ้านที่พ่อแม่ติเพื่อก่อไม่เป็น เอาแต่ด่าด้วยถ้อยคำหยาบคายจนลูกเรียนรู้และติดนิสัยเหมือนที่พ่อแม่ทำให้ดูอยู่เป็นประจำ

            เรามาช่วยกันแก้ไขปัญหาประเทศดีกว่าที่จะมาตั้งหน้าตั้งตาแซะ แขวะ ด่ากันอย่างที่หลายคนกำลังทำอยู่เวลานี้ โดยไม่รู้จักกาละและเทศะ ไม่รู้จักใช้สมองในการคิดดี พูดดี ทำดี เรียนรู้ที่จะแยกแยะผิดชอบชั่วดี วิเคราะห์เหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นในเวลานี้ และวิเคราะห์มาตรการต่างๆ ที่รัฐบาลประกาศออกมาขอความร่วมมือจากประชาชน และได้รับความร่วมมือเป็นอย่างดี แทนที่เราจะเอาแต่ด่า ณ เวลานี้เราชมกัน เพื่อให้กำลังใจกันดีไหม ถ้าหากคุณทำใจให้ชมรัฐบาลไม่ได้ อย่างน้อยก็หยุดด่าไปก่อน แล้วชมบุคลากรทางการแพทย์ เจ้าหน้าที่ทางการปกครอง ทหาร ตำรวจ ผู้มีน้ำใจที่เป็นผู้ให้ และที่สำคัญก็คือควรจะชมประชาชนส่วนใหญ่ที่ให้ความร่วมมือปฏิบัติตามมาตรการของรัฐบาล และช่วยตักเตือนคนที่ยังฝ่าฝืนมาตรการต่างๆ ให้เลิกการฝ่าฝืนเหล่านั้น ด้วยจิตสาธารณะที่มีความรับผิดชอบต่อสังคม เวลานี้ไม่ใช่เวลาที่เราจะมาเรียกหาเสรีภาพ หรือความเป็นประชาธิปไตย เพราะเวลานี้เป็นเวลาที่ “สุขภาพอยู่เหนือเสรีภาพ” ตามที่นายกรัฐมนตรีได้กล่าวเอาไว้ เราคงเห็นแล้วนะว่าประเทศที่ประชาชนคลั่งเสรีภาพ และให้อยู่เหนือสุขภาพนั้นเกิดอะไรขึ้น มีคนติดเชื้อเท่าใด มีคนตายเท่าใด ดังนั้นใครที่ยังสร้างวาทกรรมทางการเมือง ยุยงส่งเสริมให้ประชาชนเรียกหาสิทธิเสรีภาพในเวลานี้ ลองพิจารณาเรื่อง “กาละและเทศะ” และลองใช้การ “คิด วิเคราะห์ แยกแยะ” ดูบ้างนะ จะได้ไม่มีพฤติกรรมที่ทำให้คนอื่นก่นด่าว่าเป็นลูกที่พ่อแม่ไม่สั่งสอน คนเราไม่ได้เกิดจากไม้กระบอก ดังนั้นใครทำดีทำชั่ว ก็คงจะหนีไม่พ้นที่คนเขาจะถามว่าโตมาอย่างไร พ่อแม่ไม่เคยสั่งสอนให้รู้จักการเป็นคนดีเลยหรือไร อย่าให้พ่อแม่ต้องโดนตำหนิเพราะการกระทำของเราเลยนะ เดี๋ยวจะกลายเป็นลูกอกตัญญูโดยไม่ตั้งใจนะคะ.  

 

 


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"