
“วิปรัฐบาล" เคาะมติไม่เห็นด้วย “ฝ่ายค้าน” ดันเปิด สภาสมัยวิสามัญ ซักฟอก พ.ร.ก.กู้เงิน-แก้ปัญหาโควิด-19 เลขาฯก้าวไกลอัดตีเช็คเปล่าให้ “ลุงตู่” กับพวก จี้คลายล็อกเปิดสภาฟังเสียงประชาชน
เมื่อวันที่ 27 เม.ย.2563 นายวิรัช รัตนเศรษฐ ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคพลังประชารัฐ ในฐานะประธานคณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมรัฐบาล หรือวิปรัฐบาล เปิดเผยว่า ได้หารือร่วมกับแกนนำวิปรัฐบาล อาทิ นายชินวรณ์ บุณยเกียรติ ส.ส.นครศรีธรรมราช พรรคประชาธิปัตย์, นายชาดา ไทยเศรษฐ์ ส.ส.อุทัยธานี พรรคภูมิใจไทย ในฐานะรองประธานวิปรัฐบาล ผ่านทางโทรศัพท์ ถึงกรณีที่พรรคร่วมฝ่ายค้านเสนอให้เปิดประชุมสภาสมัยวิสามัญ เพื่อพิจารณาอนุมัติพระราชกำหนด (พ.ร.ก.) ให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินหรือไม่ รวมถึงระดมสมองแก้ปัญหาการระบาดของไวรัสโควิด-19 ว่าการหารือร่วมกันของวิปรัฐบาลมีมติไม่เห็นด้วยกับพรรคร่วมฝ่ายค้านในการเปิดประชุมสภาสมัยวิสามัญ เนื่องจากการประชุมสภาสมัยสามัญจะมีกำหนดเปิดประชุมในวันที่ 22 พ.ค.นี้อยู่แล้ว โดยเมื่อมีพระราชกฤษฎีกาเรียกประชุมก็เป็นหน้าที่ของประธานสภาฯ จะได้ดำเนินการต่อไป
"ในส่วนข้อเสนอของพรรคร่วมฝ่ายค้านนั้น ขณะนี้ยังไม่เห็นว่ามีเรื่องอะไรที่เป็นวาระเร่งด่วนที่จะต้องเปิดประชุมสมัยวิสามัญ เพราะรัฐบาลก็กำลังเร่งแก้ปัญหาการระบาดของโควิด-19 อย่างเต็มที่อยู่แล้ว จึงเป็นกำลังใจในการทำงานให้รัฐบาล" นายวิรัช กล่าว
นายเขตรัฐ เหล่าธรรมทัศน์ โฆษกพรรครวมพลังประชาชาติไทย (รปช.) กล่าวว่า ไม่เห็นด้วยกับการเปิดประชุมสภาสมัยวิสามัญ เนื่องจากการแก้ปัญหาวิกฤติของรัฐบาลนำโดยศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา (โควิด-19) หรือ ศบค. ได้บังคับใช้ พ.ร.ก.บริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินและมาตรการทางด้านสาธารณสุขควบคุมการแพร่ระบาดได้อย่างมีประสิทธิภาพ จนจำนวนผู้ติดเชื้อลดลงอย่างต่อเนื่องแล้ว ซึ่งการเฝ้าระวังและป้องกันยังต้องดำเนินต่อไปในระยะยาว ไม่อาจย่ามใจได้ การเปิดประชุมสภาที่จะเกิดการทำกิจกรรมร่วมกัน ไม่ได้มีเพียงแค่ ส.ส. 500 คน แต่ยังมีผู้ติดตาม เจ้าหน้าที่ และผู้สื่อข่าวจำนวนมากมารวมตัวกัน ก็อาจก่อให้เกิดความสุ่มเสี่ยงในการสัมผัสและแพร่กระจายเชื้อได้
"ผมคิดว่าควรรอการเปิดประชุมสภาสมัยสามัญที่มีกำหนดเปิดประชุมในวันที่ 22 พ.ค. จะมีความเหมาะสมกว่า เพราะระยะเวลาอีกหนึ่งเดือนจะทำให้เห็นความชัดเจนของประสิทธิภาพในการควบคุมโรคมากยิ่งขึ้น และมีเวลาในการจัดเตรียมมาตรการเฝ้าระวังของสภาในการอำนวยความสะดวกสำหรับการประชุมที่จะต้องยึดตามมาตรการเว้นระยะทางสังคม หรือ social distancing หรือหากต้องการช่วยเหลือสังคมไทย ส.ส.ก็ควรร่วมใจกันลงพื้นที่ช่วยสนับสนุนอุปกรณ์ที่จำเป็นต่อสถานการณ์ในยามวิกฤติ ส.ส.ต้องทำงานนอกสภา อยู่กับประชาชน" นายเขตรัฐกล่าว
ขณะที่นายชัยธวัช ตุลาธน เลขาธิการพรรคก้าวไกล กล่าวถึงการประกาศใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินว่า โดยเนื้อแท้แล้วเป็นการรวมศูนย์อำนาจมาไว้ที่ พล.อ.ประยุทธ์ ให้สามารถใช้อำนาจเบ็ดเสร็จได้โดยไม่ต้องรับผิดชอบ จึงเห็นการใช้กฎหมายไปดำเนินคดีกับผู้ที่นำอาหารไปบริจาค จับขังคนงานก่อสร้างที่จำเป็นต้องเดินทางระหว่างเคอร์ฟิว หรือจับขังคนไร้บ้าน ใช้กฎหมายไปปิดปากประชาชนที่วิพากษ์วิจารณ์ความผิดพลาดของรัฐบาลในสื่อสังคมออนไลน์ กระทั่งขู่จะจัดการกับนักศึกษาที่ต้องการเรียกร้องขอคืนค่าเทอม
ก่อนหน้านี้ ประชาชนให้ความร่วมมือเป็นอย่างดีกับมาตรการรักษาระยะห่างทางสังคม จนส่งผลให้การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 คลี่คลายลงตามลำดับ แต่สิ่งที่พวกเราได้รับตอบแทนคือมาตรการเยียวยาของรัฐบาลที่สับสน ไม่มีประสิทธิภาพ ไม่ทันท่วงที และไม่ทั่วถึง อีกทั้ง พล.อ.ประยุทธ์ประเมินความทุกข์ร้อนของประชาชนต่ำและช้าเกินไป รัฐบาลเข้มแข็งเสมอเวลาสั่งห้ามประชาชนทำสิ่งต่างๆ แต่เฉื่อยแฉะเวลาประชาชนไม่มีเงิน หนี้สินท่วมหัว ไม่มีข้าวสารกรอกหม้อ ต้องรอคอยการสงเคราะห์อย่างไร้ศักดิ์ศรี
นายชัยธวัชกล่าวว่า เราเห็นภาพประชาชนในหลายจังหวัดรวมตัวกันรอรับอาหารบริจาคโดยไม่กลัวไวรัสมากขึ้น โดยไม่สนใจมาตรการล็อกดาวน์ของรัฐอีกแล้ว เพราะกลัวจะอดตายมากกว่า หากรัฐบาลยังไม่คลายล็อก ประเมินกันว่าจะมีคนตกงานไม่ต่ำกว่า 7 ล้านคนในเดือนมิถุนายน ดังนั้น พล.อ.ประยุทธ์ต้องเชื่อมั่นในประชาชนว่าไม่มีใครอยากให้ไวรัสระบาดไปมากกว่านี้ พวกเรายินดีจะร่วมมือปฏิบัติตามมาตรการควบคุมโรค แต่ไม่มีใครอยากให้ครอบครัวตนเองอดตายหรือล้มละลาย และไม่มีใครอยากให้ประเทศไทยการ์ดตก แต่อยากให้ประเทศนี้ปล่อยหมัดชกกับปัญหาความเดือดร้อนของพี่น้องประชาชนได้ด้วย เพราะยังต้องอยู่กับโควิด-19 ไปอีกนาน และนี่คงไม่ใช่การระบาดใหญ่ครั้งสุดท้าย ดังนั้นเราต้องควบคุมโรคอย่างมีสติ ไม่ให้ความทุกข์ยากและความตายจากพิษเศรษฐกิจแซงหน้าความป่วยไข้และความตายจากไวรัส
นายชัยธวัชกล่าวอีกว่า พ.ร.ก.ฉุกเฉินดูจะเป็นยาบำรุงของผู้นำที่ชอบยึดอำนาจ แต่ไม่ใช่ยาวิเศษในการแก้ปัญหาวิกฤติของชาติ แน่นอนเราต้องการการบริหารประเทศที่มีวิสัยทัศน์ มีประสิทธิภาพ และเห็นแก่ประชาชนส่วนใหญ่ แต่ไม่ใช่การใช้อำนาจควบคุมประชาชนโดยไม่ต้องรับผิดชอบ การประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินอาจมีประโยชน์เพื่อให้รัฐบาลควบคุมสถานการณ์ก่อนหน้านี้ และเตรียมพร้อมมาตรการรับมือทางด้านสาธารณสุข ทว่าจากนี้ไปเป็นเวลาที่รัฐบาลต้องเริ่มคลายล็อก คายอำนาจ เปิดสภา และฟังเสียงของประชาชน ดังนั้นจึงขอเรียกร้องให้รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์คลายล็อก-คายอำนาจ เพื่อคืนการทำมาหากินให้แก่ประชาชน เลิกการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินในลักษณะที่บังคับทั้งประเทศ แต่ปรับความเข้มข้นในการใช้กฎหมายควบคุมโรคให้ได้สัดส่วนกับสถานการณ์การแพร่ระบาด พร้อมกับใช้มาตรการทางสาธารณสุขเชิงรุกเพื่อรองรับการคลายล็อก โดยเพิ่มอำนาจและทรัพยากรให้ท้องถิ่นมีบทบาทมากขึ้น
“รัฐบาลต้องเร่งเปิดประชุมสภาสมัยวิสามัญเพื่อฟังเสียงประชาชน เพราะเงินกู้และเงินงบประมาณรวมกันกว่า 2 ล้านล้านบาทในการแก้วิกฤติโควิด-19 ต้องไม่ใช่การเซ็นเช็คเปล่าให้ พล.อ.ประยุทธ์กับพวก แต่จำเป็นต้องถูกตรวจสอบให้ใช้จ่ายอย่างโปร่งใส รวดเร็ว มีประสิทธิภาพ และเพื่อคนส่วนใหญ่อย่างแท้จริง ขณะนี้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของพรรคก้าวไกลทั้ง 54 คน ได้ร่วมลงชื่อขอเปิดประชุมสภาสมัยวิสามัญเรียบร้อยแล้ว เราขอเรียกร้องไปยัง ส.ส.ฝ่ายรัฐบาลให้ร่วมกันแสดงบทบาทของผู้แทนราษฎร เปิดประชุมสภาโดยเร็วที่สุด เพื่อให้อำนาจของประชาชนมีความหมายและภาษีของพวกเราทุกคนถูกใช้ไปอย่างโปร่งใส คุ้มค่ามากที่สุด” นายชัยธวัชกล่าว
นายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด โฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า ขอเรียกร้องไปยังรัฐบาล ให้ดำเนินการ 3 คลาย 4 เข้ม คือ 1.เลือกธุรกิจที่จะผ่อนคลาย 2.เลือกพื้นที่ที่จะผ่อนคลาย 3.เลือกเส้นทางสัญจรที่ปลอดโรคผ่อนคลาย 4 เข้ม คือ 1.เข้มการตรวจควบคุมโรค กักตัว รักษา 2.เข้มการเดินทางเข้า-ออกระหว่างประเทศ 3.เข้มการเยียวยาทางเศรษฐกิจ 4.เข้มการรับฟังความเดือดร้อนของประชาชน คนในสังคม ทราบว่าอย่างน้อยอาจต้องสู้กับโควิด-19 อีกเป็นปี แต่การดำเนินมาตรการที่ไม่สอดรับกับสถานการณ์ ทำให้ประชาชนเสียโอกาส ใช้เวลาในการแก้ปัญหานานเกินไปและไม่ตรงกับสภาพปัญหาที่แท้จริง ขณะนี้มีผู้ที่เข้าไม่ถึงการเยียวยามากถึง 80% สิ้นเดือนเมษายน 2563 รัฐบาลบอกว่าจะมีประชาชนผู้ผ่านเกณฑ์รับเงินเยียวยา 5,000 บาท 6.4 ล้านคน เฉพาะผู้ลงทะเบียนในโครงการเราไม่ทิ้งกัน 23.5 ล้านคน ถูกทิ้งให้รอมา 2 เดือน 17.1 ล้านคน ซึ่งเป็นสิ่งที่รัฐบาลต้องพิจารณาอย่างเร่งด่วน เพื่อหยุดสถิติคนฆ่าตัวตายรายวัน
นายสุภรณ์ อัตถาวงศ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำนายกฯ กล่าวถึงกรณีคุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ประธานยุทธศาสตร์พรรคเพื่อไทย ได้โพสต์เฟซบุ๊กค้านการตัดงบบัตรทอง 2,400 ล้านบาท และตัดงบกระทรวงสาธารณสุขอีก 1200 ล้านบาทว่า ขอให้เลิกเต้าข่าว เลิกนำข่าวเฟกนิวส์มากล่าวหาโจมตีรัฐบาลเสียที เพราะทุกครั้งที่คุณหญิงโพสต์ ล้วนแต่ไม่เป็นเรื่องจริงทั้งนั้น ขืนทำแบบนี้บ่อยๆ คุณหญิงจะหมดความน่าเชื่อถือจากสังคม.
|
เมื่อวานคุยเล่น เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด |
| อนาคต 'คนนินทาเมีย' |
| 'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ' |
| ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ |
| วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง" |
| "การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา. |
| เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?" |