ทางรอดภายใต้ความเป็นปกติแบบใหม่


เพิ่มเพื่อน    

 

     เห็นภาพบรรดาอเมริกันชน...ที่แห่ออกมานอนผึ่งพุง ตากอากาศ อยู่ริมชายหาด โดยไม่ได้คิดจะสวมหน้ากาก หรือไม่คิดโซเชียล ดิสแทนซิง ฟิสิเคิล ดิสแทนซิง อะไรเอาเลยแม้แต่น้อย ทั้งๆ ที่ประเทศตัวเองได้ผงาดขึ้นเป็น จ้าวโรค ไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ด้วยจำนวนคนติดเชื้อ คนตาย ด้วยจำนวนศพ ที่มากซะจนเผา จนฝัง แทบไม่ทัน ก็อดที่จะรู้สึกมึนซ์ซ์ซ์ๆ ขึ้นมาไม่ได้...

                                                               -----------------------------------------------

            คือระหว่างไอ้ความกลัว อดตาย กับความกลัว เป็นโรคตาย ของผู้คนในแต่ละประเทศนั้น...คงต้องยอมรับอย่างมิอาจปฏิเสธได้ว่า น่าจะส่งผลให้รัฐบาลแต่ละรัฐบาล หนีไม่พ้นต้องมึนซ์ซ์ซ์กันไปมิใช่น้อย ขณะที่ฝ่ายหนึ่งอยากกลับไปใช้ชีวิตอย่างเป็นปกติ อยากให้ธุรกิจ การงาน การค้า การขาย การเดินทาง การติดต่อ สื่อสาร ระหว่างกันและกัน เป็นไปอย่างปกติโดยเร็วที่สุด ไม่งั้นอาจมีสิทธิ์ อดตาย  หรือไม่งั้นเศรษฐกิจอาจพังกันไปทั้งประเทศ แต่ขณะที่อีกฝ่ายก็ยังไม่แน่ใจ ไม่มั่นใจ ว่าการกลับไปใช้ชีวิตอย่างเป็นปกตินั้น จะส่งผลให้คนติดเชื้อ คนป่วย คนตาย จะมหาศาลบานเบอะกันไปถึงขั้นไหน  เผลอๆ อาจตายกันระดับครึ่งโลก ครึ่งทวีป อย่างยุคโรคระบาดไข้ทรพิษ กาฬโรค ในยุโรปเมื่อครั้งอดีตกันเลยหรือเปล่า???

                                                                 --------------------------------------------

            ซึ่งก็คงต้องยอมรับนั่นแหละว่า...ความกลัวของแต่ละฝ่าย ต่างก็มีเหตุมีผลไปด้วยกันทั้งคู่ ขึ้นอยู่กับรัฐบาลแต่ละรัฐบาลจะชั่งน้ำหนักไปในทางไหน เพราะในแง่เศรษฐกิจแล้ว โอกาสที่แต่ละประเทศ หรือแม้แต่โลกทั้งโลก จะ พัง เพราะมาตรการต่างๆ ในการรับมือกับการแพร่ระบาดของเชื้อโรค อย่างมิอาจหลีกเลี่ยงและปฏิเสธ ก็น่าจะพอเห็นๆ กันอยู่ ไม่ว่าจะประเทศโลกเหนือ โลกใต้ ประเทศรวย ประเทศจน  ประเทศพัฒนาแล้ว หรือกำลังพัฒนา ต่างมีสิทธิ์ เดี้ยง...กับ...เดี้ยง ไปด้วยกันทั้งสิ้น รวมทั้งประเทศไทยแลนด์ แดนสยาม ของหมู่เฮา ก็ย่อมไม่มีข้อยกเว้น ส่งผลให้บรรดานักเศรษฐกิจจำนวนไม่น้อย ไปจนถึงบรรดาผู้คนที่หาเช้า-กินค่ำ ต่างออกมาด่าว่า ด่าทอ ออกมาสร้างแรงกดดันต่อรัฐบาล ให้ต้องเร่งเปิดบ้าน เปิดเมือง เร่งผ่อนคลายมาตรการต่างๆ ลงไปโดยเร็วที่สุด...

                                                                    ---------------------------------------------

            อเมริกานั้น...ถึงกับถือปืนผาหน้าไม้ออกมาประท้วง อ้างถึง เสรีภาพ กันแบบชัดถ้อย ชัดคำ ทั้งๆ ที่ผู้คนในประเทศตายเพราะเสรีภาพไปแล้วนับเป็นหมื่นๆ เผลอๆ อาจไปถึงขั้นหลักแสนจนได้ เพราะกระทั่งสถาบันศึกษาและวิจัยด้านโรคติดต่อของอเมริกาเอง คือ The Center for Infectious Disease  Research and Policy แห่งมหาวิทยาลัยมินนิโซตา เพิ่งออกมานำเสนอรายงานชิ้นล่าสุดว่า โอกาสจะเกิด การแพร่ระบาดระลอก 2 ของเชื้อ COVID-19 ในช่วงฤดูหนาวของปีนี้ หรือเกิดการแพร่ระบาดต่อเนื่อง ยาวนาน ไปอีกประมาณ 2 ปี (18-24 เดือน) เป็นอย่างน้อย ย่อมมีความเป็นไปได้สูงเอามากๆ  แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้อเมริกันชนบางส่วน บางราย คิดจะโซเชียล ดิสแทนซิง และฟิสิเคิล ดิสแทนซิง ต่อไปแต่อย่างใด ถึงได้ออกมานอนผึ่งพุงกลางชายหาด ดังที่ว่าๆ เอาไว้แล้ว...

                                                                       -----------------------------------------------

            ซึ่งก็คงต้องติดตามกันต่อไปนั่นแหละว่า...ระหว่าง ความกลัวอดตาย กับ ความกลัวเป็นโรคตาย อย่างไหนจะสร้างความพังพินาศให้ประเทศผู้นำโลกอย่างอเมริกาได้มากกว่า แต่สำหรับบ้านเรานั้น ด้วยความมี สติ หรือด้วยการเดินไปในแนวกลางๆ มาตั้งแต่แรก นอกจากจำนวนผู้ที่มี เสรีภาพในการตาย ออกจะน้อยเอามากๆ เมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆ การหันมามองหาแนวทาง ทิศทาง ในการอยู่รอดปลอดภัย แบบไม่ถึงขั้นต้อง อดตาย ก็ใช่ว่าจะไม่มีเอาซะเลย โดยเฉพาะถ้าหากผู้คนในบ้าน ในเมือง ต่างหันมาร่วมมือ ร่วมใจกันจริงๆ แม้ว่าความเป็นไปทางเศรษฐกิจมันอาจไม่ได้เป็นไปเช่นเดิม ไม่ได้โต 4 โต 5 ไม่ได้ส่งออกกันชนิดพลั่กๆๆ แบบก่อนๆ แต่ก็ยังพอมี เศรษฐกิจแบบใหม่ ที่อาจพอช่วยให้เกิด ความปกติแบบใหม่ ขึ้นมาได้บ้าง...

                                                                    ----------------------------------------------------

            ยิ่งถ้าหากบรรดาปวงชนชาวไทยทั้งหลาย ไม่ว่าเศรษฐี อภิมหาเศรษฐี ปุถุชนคนธรรมดา ไปจนถึงยาจก ภาครัฐบาล ภาคเอกชน ฯลฯ สามารถสร้างความร่วมมือ ร่วมใจ นำเอาแนวทาง ทิศทางเศรษฐกิจ ที่ล้นเกล้าฯ ในหลวงรัชกาลที่ 9 ท่านพระราชทานไว้ให้เป็น มรดก สำหรับประเทศไทยทั้งประเทศมานานแล้ว มาดัดแปลง ประยุกต์ใช้ ในสัดส่วนต่างๆ ได้อย่างเหมาะสม สอดคล้อง กับข้อเท็จจริงทางเศรษฐกิจ ที่กำลังจะพังกันไปทั้งโลก หรือกำลังถึงเวลาต้องเปลี่ยนแปลงกันไปทั้งโลก โอกาสที่จะไม่ถึงขั้นต้อง อดตาย และไม่ต้อง เป็นโรคตาย อีกด้วยต่างหาก จึงน่าจะพอเป็นไปได้ไม่มากก็น้อย...

                                                                    ------------------------------------------------------

            แต่ที่สำคัญอันดับแรก...คือต้องเลิกหันมาด่าว่า ด่าทอ กันเอง โดยเฉพาะประเภทไม่ปิดบ้าน ปิดเมือง ก็ด่า ไม่เปิดบ้าน เปิดเมือง ก็ด่า หรือประเภท ด่าได้ทุกเรื่อง เพียงเพราะความเหม็นหน้า ความไม่ชอบขี้หน้ารัฐบาล เป็นการเฉพาะ อันนี้...ถ้าหากพอลด-ละ-เลิก ลงไปได้บ้าง ก็จะเป็นพระคุณต่อชาติ บ้านเมือง เป็นอย่างยิ่ง เพราะ ณ ช่วงขณะนี้...ไม่ว่า อดตาย หรือ เป็นโรคตาย คงไม่มีใครอยากให้บังเกิดขึ้นกับผู้ซึ่งตัวเองรักและผูกพันไปด้วยกันทั้งสิ้น ดังนั้น...ในฐานะเพื่อนผู้ร่วมวัฏสงสาร หรือเพื่อนผู้ร่วมแผ่นดินเดียวกัน น่าจะลองหันมาสวม ตะกร้อครอบปาก ไปพร้อมๆ กับ หน้ากากอนามัย นั่นแหละเข้าท่าที่สุด...

                                                                      ------------------------------------------------------

            ปิดท้ายด้วยวาทะวันนี้ จาก Swedish proverb...Shared joy is a double joy and shared  sorrow is half a sorrow. - ความสุขที่มีการแบ่งปัน คือความสุขสองเท่า ความทุกข์ที่มีการแบ่งปัน คือความทุกข์ครึ่งเดียว...”

                                                                      ------------------------------------------------------

 


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"