ธ.ก.ส.-ออมสินเร่งปล่อยกู้ฉุกเฉินอุ้มประชาชนสู้ไวรัส


เพิ่มเพื่อน    

8 พ.ค.2563 นายกษาปณ์ เงินรวง รองผู้จัดการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 7 พ.ค. 2563 มีลูกค้าเกษตรกรเข้ามาขอสินเชื่อตามโครงการสนับสนุนสินเชื่อฉุกเฉิน วงเงิน 20,000 ล้านบาท เพื่อบรรเทาภาระค่าใช้จ่ายจำเป็นและฉุกเฉินในครัวเรือนที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 จำนวน 1,862,710 ราย คิดเป็นวงเงิน18,545 ล้านบาท ซึ่งธ.ก.ส. ได้เริ่มทยอยนัดหมายลูกค้ามานัดสัญญาพร้อมกันทุกสาขาทั่วประเทศ ตามที่เลือกไว้ในขั้นตอนลงทะเบียน โดยหากสินเชื่อได้รับการอนุมัติระบบจะทำการโอนเงินเข้าบัญชีเงินฝากโดยตรงภายใน 1 วันทำการ

ทั้งนี้ ยังคงเปิดลงทะเบียนเพื่อขอสินเชื่อต่อไปจนถึงวันที่ 30 ธ.ค. 2563 หรือจนกว่ายอดขอสินเชื่อเต็มวงเงิน 20,000 ล้านบาท ซึ่งเกษตรกรสามารถขอกู้เงินดังกล่าวได้รายละไม่เกิน 10,000 บาท อัตราดอกเบี้ยคงที่ 0.1% ต่อเดือน ปลอดดอกเบี้ย 6 เดือน ไม่ต้องใช้หลักประกัน

นายชาติชาย พยุหนาวีชัย ผู้อำนวยการธนาคารออมสิน เปิดเผยว่า ขณะนี้ธนาคารได้เริ่มนัดหมายให้ผู้ยื่นขอกู้สินเชื่อฉุกเฉินรายละ 10,000 บาท และ50,000 บาทเข้ามายื่นเอกสารและเซ็นสัญญากู้เงินแล้ว และจะเริ่มโอนเงินกู้ให้ลูกค้ากลุ่มแรกประมาณ 50,000 ราย ได้ตั้งแต่ช่วงเย็นของวันที่ 7 พ.ค.เป็นต้นไป หลังจากนั้นธนาคารจะทยอยส่งเอสเอ็มเอสแจ้งวันนัดหมายให้ลูกค้ามายื่นเอกสารอย่างต่อเนื่อง เฉลี่ยสาขาละ 50-150 คนต่อวัน เพื่อดูแลให้มีสถานที่รองรับเพียงพอ ไม่เกิดความแออัดตามมาตรฐานสาธารณสุข รวมถึงจะขอใช้สถานที่ราชการนัดหมายมาเซ็นสัญญาในช่วงวันหยุดด้วย

สำหรับยอดผู้ยื่นกู้สินเชื่อฉุกเฉินในกลุ่มอาชีพอิสระรายละ 10,000 บาท ล่าสุด มีผู้ยื่นกู้เข้ามาแล้ว 1.7 ล้านราย และยังเปิดให้ขอกู้ต่อเนื่องจนกว่าจะอนุมัติเต็มวงเงิน 20,000 ล้านบาท หรือประมาณ 2 ล้านราย ส่วนสินเชื่อฉุกเฉินสำหรับพนักงานเงินเดือนประจำรายละ 50,000 บาท ขณะนี้ได้ปิดรับแล้วเพราะมีคนขอกู้มากถึง 7 แสนราย มากกว่าวงเงินที่ตั้งไว้ 20,000 ล้านบาท ที่รองรับได้ 4 แสนราย โดยหลังจากนี้ธนาคารจะเร่งนัดหมายให้ยื่นเอกสาร และพิจารณาปล่อยกู้ให้เงินถึงมือพี่น้องประชาชนโดยเร็วที่สุด

นายสันติ พร้อมพัฒน์ รมช.การคลังเปิดเผยว่า กระทรวงการคลังพร้อมสนับสนุนการทำงานของบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) ในการเข้าไปช่วยเหลือผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อม (เอสเอ็มอี) ให้สามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนได้ ผ่านกลไกการค้ำประกันสินเชื่อ โดยขณะนี้ บสย. อยู่ระหว่างจัดทำโครงการ PGS 9 วงเงินรวม 2 แสนล้านบาท แต่จากข้อมูลพบว่าในช่วง 8-12 เดือนข้างหน้า หรือในปี 2564 กิจกรรมทางเศรษฐกิจจะค่อย ๆ ฟื้นตัวกลับมาเกิดการรีสตาร์ทธุรกิจซึ่งจะมีความต้องการเงินทุนหมุนเวียนอีกจำนวนมาก บสย.จะมีส่วนสำคัญในการเสริมสภาพคล่องให้กับภาคธุรกิจเป็นอย่างมาก ดังนั้นวงเงิน 2 แสนล้านบาทอาจน้อยเกินไป จึงให้ บสย. กลับไปทบทวนตัวเลขใหม่ โดยกระทรวงการคลังพร้อมสนับสนุนเต็มที่

ทั้งนี้ จากการรายงานข้อมูลของ บสย. พบว่า ตั้งแต่ต้นปีจนถึงวันที่ 23 เม.ย. 2563 บสย.ดำเนินการค้ำประกันสินเชื่อให้กับผู้ประกอบการเอสเอ็มอีแล้วกว่า 5 หมื่นล้านบาท ซึ่งเป็นการค้ำประกันตามโครงการ PGS 8 วงเงินรวม 1.5 แสนล้านบาท ล่าสุดใช้วงเงินไปแล้ว 1.2 แสนล้านบาท คาดว่าภายในเดือน พ.ค. นี้จะค้ำประกันเต็มวงเงิน

“ผมเห็นว่า 2 แสนล้านบาทอาจจะน้อยไปให้ไปทบทวนตัวเลขใหม่ เพราะต้องดูเผื่อช่วงที่ธุรกิจกลับมารีสตาร์ทด้วย หากจะเพิ่มวงเงินมากกว่า2 แสนล้านบาท ผมสนับสนุนเต็มที่ แต่นอกจากการสนับสนุนผู้ประกอบการรีสตาร์ทธุรกิจแล้ว อยากให้ บสย. มีเป้าหมายเน้นอุตสาหกรรมเอสเอ็มอีที่เป็นเครือข่ายกับสตาร์ทอัพ และอุตสาหกรรมปลายน้ำ ที่มีส่วนสนับสนุน หรือดึงการลงทุนเข้ามา ทั้งการลงทุนในพื้นที่ของอีอีซีหรือพื้นที่บริเวณอุตสาหกรรมต่อเนื่องต่าง ๆ ด้วย” นายสันติ กล่าว
 


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"