นั่งเรือลอดถ้ำที่ “ตามก๊ก” จังหวัดนิญบิ่ญ


เพิ่มเพื่อน    

(ประตูพระราชวังฮัวลือ จังหวัดนิญบิ่ญเมืองหลวงแรกของเวียดนามหลังได้รับอิสรภาพจากจีน)

    ภาษาเวียดนามดูๆ ไปค่อนข้างเจ้าเล่ห์สำหรับคนที่ไม่ได้ร่ำเรียนมา หากอ่านโดยใช้หลักการออกเสียงในภาษาอังกฤษมาจับก็อาจจะถูกประมาณครึ่งหนึ่ง ที่เหลืออีกครึ่งเตรียมตัวออกทะเลได้เลย อย่าง “Dung” ชื่อของผู้อาวุโสที่มีเมตตากับผมอย่างสูงที่เกาะกั๊ตบา อ่านออกเสียงว่า “ซุง” ทั้งที่พยัญชนะต้นเป็นตัว D แท้ๆ จังหวัด Ninh Binh ที่ผมกำลังจะเดินทางไปเที่ยวแบบไปเช้าเย็นกลับในวันนี้ ภาษาเวียดนามออกเสียงว่า “นิงบิง” แต่ภาษาไทยเขียน “นิญบิ่ญ” บางทีก็ “นินห์บินห์” และ “นิงห์บิงห์” เอาเป็นว่าผมขออนุญาตเขียน “นิญบิ่ญ” ตามเว็บไซต์วิกิพีเดียก็แล้วกัน
    เวลา 8 โมง 5 นาที ไกด์ทัวร์โทรศัพท์มาแจ้งว่ากำลังรออยู่หน้าเกสต์เฮาส์ เมื่อคืนตอนซื้อทัวร์ผมได้ต่อรองเวลาขึ้นรถจาก 8 โมงตรงเป็น 8 โมงครึ่ง พนักงานขายก็น่าจะรับปากไปอย่างนั้นเพราะเธอคงนัดลูกค้าคนอื่นๆ ไว้ 8 โมงตรง โชคดีที่ผมอาบน้ำเสร็จแล้ว ขอเวลาไกด์ทัวร์อีก 5 นาทีสำหรับแต่งตัวและเตรียมของใส่เป้ ไม่ทันไรเด็กสาวจากเกสต์เฮาส์ก็ขึ้นมาตาม ผมรีบยัดกล้องมิเรอร์เลสใส่เป้แล้ววิ่งลงบันไดไป 4 ชั้น รถจากบริษัททัวร์หายไปแล้ว เหลือทิ้งไว้เพียงไกด์สาว รถอาจจอดแช่นานไม่ได้ หรือขับไปรับลูกค้าคนอื่นก่อน ไกด์สาวไม่รู้จักย่านนี้ เธอเดินถามทางคนขายของริมถนนไปเรื่อยๆ นานทีเดียวกว่าจะถึงจุดที่ได้นัดหมายกับโชเฟอร์
    รถของเราเป็นมินิบัสขนาด 15 ที่นั่ง ลูกทัวร์เกือบเต็มคัน เป็นการรวมมิตรนานาชาติอย่างแท้จริง ทั้งจากอเมริกา ยุโรป เอเชียใต้ เอเชียตะวันออก และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โชเฟอร์แวะจอดร้านอาหารและร้านขายของฝากริมทางตั้งครึ่งชั่วโมง ผมซื้อขนมทำจากแป้งมากินเป็นมื้อเช้าถุงหนึ่ง รสชาติหวานเหมาะกับกาแฟ แต่ไม่กล้าดื่มกาแฟเพราะกลัวจะปวดท้องถ่ายทุกข์ระหว่างเดินทาง ลูกทัวร์คนอื่นๆ ผมก็ไม่เห็นว่าใครจะซื้ออะไรมากไปกว่าเครื่องดื่มนิดๆ หน่อยๆ การแวะจอดลักษณะนี้รู้กันดีว่าเป็นข้อตกลงของร้านค้าและบริษัททัวร์

(เรือแจวพลังเท้านำนักท่องเที่ยวชมธรรมชาติอันดับ 1ของจังหวัดนิญบิ่ญ)

    จากกรุงฮานอยเราลงใต้ไปประมาณ 100 กิโลเมตร ใช้เวลา 2 ชั่วโมงครึ่งกว่าจะถึงเขต “ฮัวลือ” (Hoa Lu) ในจังหวัดนิญบิ่ญ ฮัวลือเป็นเมืองหลวงแรกของเวียดนามหลังได้รับอิสรภาพคืนจากจีน ชื่อว่าอาณาจักร “ได๋ โก เวียด” สร้างขึ้นโดยจักรพรรดิ “ดิญ เทียน เฮือง” เมื่อปี ค.ศ.968 มีชัยภูมิที่ดีในการป้องกันการรุกรานจากศัตรู แต่พื้นที่มีขนาดเล็กทำให้พัฒนาเมืองได้ยาก เมื่อจักรพรรดิ “ลี ไท โต” ขึ้นครองราชย์ได้ปีที่ 2 ก็ทรงย้ายเมืองหลวงไปยังเมือง “ไดลา” ในปี ค.ศ.1010 ระหว่างเดินทางไป “ไดลา” ได้ทรงเผลอหลับและทรงพระสุบินเห็นมังกร จึงเปลี่ยนชื่อไดลาเป็น “ทังลอง” หมายถึงมังกรลงจากฟ้า ซึ่งทังลองก็คือ “ฮานอย” ในปัจจุบัน ฮัวลือก็สิ้นสุดการเป็นเมืองหลวงแรกของเวียดนามลงที่ระยะเวลา 41 ปี

(ประตูทางเข้าวัดของจักรพรรดิดิญ เทียน เฮืองผู้สร้างราชธานีฮัวลือ)

    อากาศใกล้เที่ยงแม้ในช่วงกลางเดือนพฤศจิกายนยังคงร้อนอบอ้าว มินิบัสจอดแล้วไกด์สาวก็เดินนำลูกทัวร์ข้ามสะพานลอดซุ้มประตูโบราณเข้าไป ตัวพระราชวังฮัวลือในปัจจุบันเหลือให้เห็นเฉพาะส่วนฐาน แต่วัดของจักรพรรดิ “ดิญ เทียน เฮือง” และวัดของจักรพรรดิ “เล ได ฮัน” ปฐมกษัตริย์ราชวงศ์เล (ยุคต้น) ยังอยู่ดี รวมถึงสุสานของจักรพรรดิทั้งสองและเจดีย์เสาเดียว “ยัตจู” อายุประมาณ 1 พันปี เพียงแต่ว่าเราไม่มีเวลาเดินดูให้ครบ

(พระราชวังฮัวลือในปัจจุบัน ขุดพบเหลือแต่เฉพาะส่วนฐาน)

    วัดขององค์จักรพรรดิทั้ง 2 วัดตั้งอยู่ห่างกันราว 400 เมตร หน้าประตูวัดมีแท่นหินสี่เหลี่ยมแกะสลักนูนต่ำเป็นรูปมังกรนอนขดอยู่ด้านบน เขียนกำกับไว้ว่า “เตียงมังกร - สมบัติชาติ” วัดทั้งสองมีกำแพงล้อมรอบ มีสวนสวยงามและสระน้ำเต็มไปด้วยปลาคาร์ป ในวิหารที่คนเข้ามากราบไหว้ขอพรมีโบราณวัตถุตั้งวางอยู่มากมาย ในห้องด้านหลังวิหารของวัดจักรพรรดิดิญ เทียน เฮือง มีของไหว้หรือชุดสังฆทานวางอยู่บนโต๊ะตัวใหญ่หลายชุด เกือบครึ่งเป็นชุดบรรจุเบียร์กระป๋องเรียงกันสูงแหลมเหมือนเจดีย์ ทั้งเบียร์เวียดนามและเบียร์นอก ก็ไม่รู้ว่าเป็นการทำบุญตามความโปรดขององค์จักรพรรดิหรือตามใจชอบของคนไหว้กันแน่
    ดังที่ได้กล่าวไปว่าในอดีตเมืองฮัวลือมีความเหมาะสมในการตั้งเป็นราชธานี นั่นก็เพราะมีภูเขาหินปูนหลายลูกล้อมอยู่เป็นป้อมปราการ บริเวณไหนที่เป็นช่องระหว่างภูเขาก็ก่อกำแพงดินขึ้นสูงประมาณ 10 เมตร หนาราว 15 เมตร ช่วงที่มีความยาวมากที่สุดประมาณ 500 เมตร ที่สั้นสุดราว 65 เมตร นักโบราณคดีขุดพบหลายส่วนอยู่เหมือนกัน แต่ไม่รู้ว่าอยู่ตรงไหนบ้าง ไกด์สาวไม่ได้พาเราไป เพราะว่าทัวร์เมืองโบราณไม่ใช่ความจำเป็นแรกๆ ของการเที่ยวนิญบิ่ญของกรุ๊ปนี้ คนที่เดินเข้าไปซื้อทัวร์ในกรุงฮานอยจะประทับใจกับภาพติดผนังที่นักท่องเที่ยวกำลังล่องเรือแหวกผ่านนาข้าวสีทองโดยมีภูเขาเขียวสูงๆ ต่ำๆ รายรอบ เรียกนิญบิ่ญบริเวณนี้ว่า “ตามก๊ก” เป็นส่วนหนึ่งของแหล่งภูมิทัศน์จางอัน (Tràng An Scenic Landscape Complex) องค์การยูเนสโกได้ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกเมื่อปี ค.ศ.2014 โดยวังฮัวลือก็รวมอยู่ในนี้ด้วย
    เวลาเที่ยงนิดๆ ไกด์สาวของเราก็เรียกให้เดินกลับไปขึ้นมินิบัสแล้วแวะที่ศูนย์อาหารขนาดใหญ่ มีการจัดบุฟเฟต์อาหารเที่ยงไว้มากมายหลายชนิดเผื่อนักท่องเที่ยวที่มากับกรุ๊ปทัวร์หลายบริษัท ไกด์สาวให้เรานั่งโต๊ะรวมกันอย่างหลวมๆ ที่มุมหนึ่ง ผมตักอาหารเสร็จก็ไปนั่งตรงข้ามลุงชาวอินเดีย ทราบว่าแกเป็นชาวอินเดียก็เพราะวิธีการจัดวางอาหารคล้ายการกิน “ถาลี” ในจานใบใหญ่ของแกมีอาหารวางแยกกันเป็นกองเล็กๆ รวมถึงข้าวสวยและข้าวเกรียบ ถ้วยซุปก็วางอยู่ในจานด้วย หากแกใช้มือเปิบเพิ่มมาอีกอย่างก็คงให้ความรู้สึกแก่ผู้ร่วมโต๊ะว่าเสมือนกำลังอยู่ในชมพูทวีปเป็นแน่
    ชายหนุ่มนั่งข้างๆ ลุงอินเดียตักอาหารมาเยอะแต่กินไม่หมด ระหว่างกินมักคายเศษอาหารลงพื้น หน้าตาเขาออกไปทางจีนๆ ตอนหลังทราบว่ามาจากไต้หวัน ที่นั่งข้างผมเป็นหญิงสาวรูปร่างใหญ่ จมูกโด่งโค้งงุ้ม หน้าตาพิมพ์นิยมชาวยิว เธอตักอาหารมาหลายจาน และทุกจานล้วนปริมาณมาก แต่กินไปน้อยกว่าหนุ่มไต้หวันเสียอีก ตอนมีโอกาสสนทนากันจึงได้ทราบว่าเธอมาจากอิตาลี
    อีกโต๊ะติดๆ กัน ลุงฝรั่งคนหนึ่งตักอาหารมาไม่เยอะและกินด้วยตะเกียบอย่างคล่องแคล่ว สงสัยจะเป็นนักท่องเที่ยวที่มาเอเชียแถบนี้บ่อย ที่คอห้อยกล้องถ่ายรูปชนิดดี เมื่อพิจารณาจากหน้าตาร่วมด้วยแล้วสันนิษฐานว่าเป็นชาวเยอรมัน คนนี้ผมทายถูก ส่วนฝรั่ง 2 หนุ่ม และ 2 สาวที่มาด้วยกันกินข้าวผัดด้วยซ่อม คาดว่ามาจากอเมริกา มีโอกาสผมก็ถามว่ามาจากไหน ได้รับคำตอบว่าอเมริกาจริงๆ
    อิ่มท้องและจบการสอดส่องเรื่องชาวบ้านแล้วผมลุกเดินหาร้านกาแฟสดแต่เดินจนทั่วก็ไม่เจอ จำใจต้องกินกาแฟสำเร็จรูปแบบซองจากป้าคนขายที่นั่งอยู่ใกล้ตู้แช่ขายเครื่องดื่ม ผมขอกาแฟดำเพราะเห็นมีซองที่แยกครีมเทียมและน้ำตาลออกจากกัน ป้าคนขายฉีกซองกาแฟ 3 อิน 1 เทลงแก้วพลาสติกแล้วเทน้ำร้อนลงไป ผมค้านว่านี่ไม่ใช่กาแฟดำ แกบอกว่ากาแฟดำไม่มีน้ำตาลและนม อันนี้มีครบ พูดพร้อมใช้ช้อนคนแล้วยื่นกาแฟให้ผม ก็ต้องรับมาดื่มไม่เช่นนั้นจะง่วงนอนตลอดครึ่งวันบ่าย
    มินิบัสออกเดินทางต่อ ระหว่างทางเห็นภูเขาโผล่ขึ้นเหมือนเป็นเกาะเล็กเกาะน้อยจำนวนมากแต่มาอยู่บนบก และนี่ก็เป็นที่มาให้คนเรียกนิญบิ่ญว่า “ฮาลองบก” (Terrestrail Halong Bay) เราเข้าสู่ตัวเมืองเล็กๆ ชื่อ “ตามก๊ก” มีเกสต์เฮาส์และโรงแรมตั้งอยู่มากมายเพราะสถานที่และกิจกรรมการท่องเที่ยวยอดนิยมของนิญบิ่ญอยู่ที่นี่ สถานีรถไฟนิญบิ่ญตั้งอยู่ไม่ไกล หากจะเดินทางมาด้วยรถบัสก็คงไม่ยาก ได้ค้างคืนคงดีกว่ามาเช้าเย็นกลับอย่างแน่นอน
    เมื่อมินิบัสจอด ไกด์สาวก็ให้เราเข้าไปเลือกจักรยานในร้านอาหารแห่งหนึ่ง มีนักท่องเที่ยวชุดก่อนหน้าปั่นจักรยานเข้ามาคืน ผมถามหนุ่มคนหนึ่งว่าคันที่เขาปั่นมาใช้งานดีไหม เขาตอบว่า “โอเค” ผมก็รับไม้ต่อจากเขา ปั่นออกมาแล้วจึงรู้ว่าทั้งบันได คอ และอานนั่ง พิการไปหมดทุกส่วน

(นักแจวเรือในตามก๊กส่วนมากเป็นสุภาพสตรีค่อนข้างสูงวัย)

    ไกด์สาวปั่นนำพวกเรา ข้ามสะพานผ่านสายน้ำที่นักท่องเที่ยวนั่งเรือแจว ไปถึงโค้งน้ำระหว่างภูเขา 2 ลูกคล้ายเป็นจุดพัก ให้พวกเราถ่ายรูปเรือที่ไหลล่องไปกับสายน้ำซึ่งอีกครู่ต่อมาพวกเราเองก็ต้องเป็นคนในเรือแจวให้คนขี่จักรยานมาถ่ายรูปบ้าง ระหว่างทางกลับแวะดูสระบัวที่แห้งเหี่ยว ลุงอินเดียวานผมถ่ายรูปให้แกสองสามจุด ตอนนำจักรยานไปคืนผมเจอคู่รักชาวอเมริกันบอกว่าพวกเขาปั่นผิดทิศทางตั้งแต่ออกจากร้านอาหารแต่วิวก็ไม่เลวจึงไม่คิดว่าหลง กระทั่งไม่เห็นมีใครตามไปจึงปั่นกลับ

(แม่น้ำโมดองช่วงกลางเดือนพฤศจิกายนระดับน้ำสูงท่วมท้องทุ่งจนเห็นแต่วิวภูเขา)

    พอพวกเราคืนจักรยานกันหมดแล้วไกด์สาวก็นำไปยังท่าเรือแจว หยิบเสื้อชูชีพคนละตัวมาสวมแล้วให้จับคู่ลำละ 2 คน (ปกตินั่งได้สูงสุด 4 คน) ผมจับคู่กับลุงอินเดีย ลงเรือเหล็กของป้าคนหนึ่ง แกใช้เท้าทั้ง 2 ข้างแจวต่างมืออย่างช่ำชอง หันไปเห็นลำอื่นก็ไม่ต่างกัน คงเพราะเป็นงานหนักระยะทางไปกลับแม่น้ำ “โมดอง” นี้ตั้ง 7 กิโลเมตร ใช้เท้าแจวให้หลังเอนพิงพนักสบายกว่าเยอะ ผมทราบจากป้านักแจวว่าในแม่น้ำโมดองนี้มีเรือแจวเหล็กอยู่ทั้งหมด 1,300 ลำ แกได้ค่าแจวเที่ยวละ 300,000 ดอง หรือประมาณ 450 บาท แต่พอแกบอกว่าอาทิตย์หนึ่งได้ลูกค้าแค่รอบเดียวผมก็ไม่ค่อยเชื่อเท่าไหร่ สงสัยพูดเรียกทิปมากกว่า
    เรือแจวออกจากท่าลอดสะพานเล็กๆ สองสามแห่งแล้วสายน้ำก็แคบลง ทว่านาข้าวสีเหลืองทองที่เห็นในภาพโฆษณาบัดนี้ไม่เป็นเช่นนั้นเพราะเลยฤดูไปแล้ว ระดับน้ำสูงท่วมท้องทุ่งเห็นเป็นผืนน้ำกว้างไปจนจรดภูเขาทั้งสองฝั่ง แต่ก็ยังดูสวยงามให้ความรู้สึกมหัศจรรย์ ตื่นตาตื่นใจรัวชัตเตอร์ไม่หยุดหย่อน น้ำนิ่งและเท้านักแจวก็นิ่งทำให้เรือเคลื่อนไปบนผืนน้ำนุ่มนวลราวกับนั่งลิมูซีน แถมวิวงามรอบทิศ อีกทั้งอากาศเริ่มเย็นสบาย ลมพัดแผ่วเอื่อยกำลังดีจนลุงอินเดียนั่งหลับไปตั้งหลายรอบ เรือแจวเคลื่อนตามๆ กันไป บางจุดห่างจากลำอื่น บางจุดก็ต่อท้ายเกือบจะชนกันทีละหลายลำ ที่แจวสวนทางกันก็มีไม่ขาดสาย สังเกตว่าหากมีเรือสวนมาก็จะแบ่งเลนซ้ายขวากันชัดเจนโดยต้องแจวเลนขวาล้อกับการจราจรทางบก

(ขณะนั่งเรือลอดฝ่าหนึ่งในจำนวนถ้ำทั้งสามของการทัวร์ตามก๊ก)

    ตามก๊กแปลว่า “สามถ้ำ” โดยถ้ำทั้งสามนี้เกิดจากสายน้ำกัดกร่อนภูเขาผ่านเวลาอันยาวนานจนกลายเป็นอุโมงค์ให้เรือลอดได้เมื่อยามน้ำไม่สูงปิดถ้ำ ป้าคนแจวไม่ได้เตือนให้เราก้มศีรษะเมื่อตอนเรือเข้าถ้ำ คงคิดว่ารู้กันอยู่แล้ว ผมนั่งด้านหน้าสุดจึงเห็นว่าเพดานถ้ำเป็นหินแหลมๆ ตะปุ่มตะป่ำย้อยลงมา ต้องรีบบอกลุงอินเดียให้ก้มต่ำลงไป ป้าแกแจวอยู่ด้านหลังสุดของเรือหลบหินเพดานถ้ำอย่างชำนิชำนาญและแทบไม่เฉียดกรายกับเรือที่สวนมา เราอยู่ในความมืดไม่ถึง 1 นาทีก็โผล่ออกสู่ท้องน้ำกว้างที่มีภูเขาเป็นฉากกั้นรอบทิศอีกครั้ง
    เราผ่านถ้ำทั้งสามแล้วคำถามที่ค้างคามาหลายนาทีก็มีคำตอบ กลุ่มแม่ค้าลอยลำเรือขายของอยู่ที่ปากถ้ำสุดท้ายนี่เอง มีทั้งไอศกรีม ขนมขบเคี้ยว ผลไม้และเครื่องดื่ม ผมซื้อเบียร์ Daiviet มา 2 กระป๋อง ทำให้ขากลับยิ่งชมธรรมชาติได้เพลิดเพลินจำเริญใจกว่าขามา จำราคาเบียร์ไม่ได้แต่รู้สึกว่าแพงกว่าตามร้านชำแค่ประมาณ 2 เท่า ซึ่งยังถือว่าถูกมาก ผมยื่นให้ลุงอินเดีย 1 กระป๋องแต่แกไม่ดื่ม แกจะซื้อกล้วยแต่พอทราบราคาก็ยกมือตวัดขึ้น แปลว่า “ไม่ซื้อ” ก็ขนาดซื้อทัวร์มาในครั้งนี้ลุงแกจ่ายแค่ 30 ดอลลาร์เท่านั้น ส่วนคนอื่นซื้อ 35 ดอลลาร์
    เมื่อเรือแจวของเรากำลังจะเข้าสู่เวิ้งน้ำใหญ่กลับเข้าท่า ป้าคนแจวเรือก็พูดถึงเรื่องทิป ลุงอินเดียหยิบออกมาน้อยมากทำให้ผมต้องขอให้แกยื่นมาให้ผมก่อนเพื่อรวมกันแล้วหารสองก็จะดูไม่น้อยเท่าไหร่ กระนั้นก็ยังได้ยินเสียงป้าพูดอะไรบางอย่างกับเพื่อนของแก ผมมั่นใจว่าเป็นเสียงบ่น (คงไม่ถึงขั้นก่นด่า) พอขึ้นมาจากเรือเจอหนุ่มไต้หวันและหนุ่มฝรั่งอีกคนที่มามินิบัสคันเดียวกัน เล่าว่าตอนพวกเขากำลังจะให้ทิป คนแจวเรือบอกว่าเงินแค่นั้นน้อยไป พวกเขาก็เลยไม่ได้ให้แม้แต่ดองเดียว

(เรือแจวเหล็กบริเวณท่าเรือตามก๊ก มีเรือ 1,300 ลำพร้อมให้บริการลอดถ้ำ-ชมทุ่ง)

    มีสถานที่อีก 2 แห่งที่เกี่ยวเนื่องกับตามก๊กแต่เราไม่ได้ไปเยือน คงเพราะมีเวลาไม่พอและเงิน 35 ดอลลาร์ไม่น่าจะครอบคลุม นั่นคือ “บิ๊กดอง” เป็นเจดีย์ 3 องค์ตั้งอยู่แยกกันบนภูเขาชื่อ “บิ๊กดอง” สร้างขึ้นโดยพระสงฆ์ 2 รูปในคริสต์ศตวรรษที่ 18 อยู่ห่างออกไปจากท่าเรือตามก๊กราว 3 กิโลเมตร และจุดชมวิวถ้ำฮังมัว (Hang Mua) ที่มองเห็นสายน้ำ ท้องทุ่ง ภูเขาทั้งหมดและตัวเมืองแบบ 360 องศา มีบันไดขึ้นไปถึงเกือบ 500 ขั้น สร้างในลักษณะกำแพงเมืองจีนจำลอง ปลายสุดด้านบนปั้นเป็นรูปมังกร และมีเจดีย์ตั้งอยู่ด้วย ขณะนั่งเรือแจวสามารถมองขึ้นไปเห็นจุดชมวิวนี้
    มินิบัสออกจากตามก๊กเพื่อกลับฮานอยราวๆ 5 โมงเย็น ผมเชื่อว่าหลายคนในรถมีความรู้สึกอยากกลับมาสัมผัสสถานที่ท่องเที่ยวในนิญบิ่ญเพิ่มเติม ในฤดูกาลที่แตกต่างไป.


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"