
อภิปราย พรก.กู้เงิน 3 ฉบับวันแรกเข้มข้น! นายกฯ แจงต้องใช้เงิน 1 ล้านล้านสร้างความเชื่อมั่นและความมั่นคง ศก. ยันไม่เกินกรอบหนี้สาธารณะ ลั่นไม่ใช่ใช้แต่เงิน มี กก.กลั่นกรองกลไกตรวจสอบเยอะ พร้อมสั่งคลังทำรายงานการใช้งบฯ ต่อรัฐสภาใน 60 วัน "อุตตม" โวกู้เงิน 1 ล้านล้านตามหลักสากล มาตรฐานตรวจสอบเข้มกว่า พรก.ไทยเข้มแข็งยุคอภิสิทธิ์-พรก.น้ำสมัยยิ่งลักษณ์ "ผู้นำฝ่ายค้าน" ห่วงงบเยียวยา 4 แสนล้าน "ตีเช็คเปล่า" เอื้อผลประโยชน์การเมือง หวั่น พรก.เอสเอ็มอี สถาบันการเงินไปคิดดอกเบี้ยโหดเทียบนอกระบบ จับตา พรก.หุ้นกู้เอื้ออุ้มคนรวย "อนุดิษฐ์" ตั้งชื่อ "พ.ร.ก.เราล้มละลายด้วยกัน" ทำคนไทยเป็นหนี้ 90 ปีชั่วลูกหลาน ส.ส.ปชป.ขย่มซ้ำเงินกู้ 4 แสนล้านเอื้อรายใหญ่ แฉกรรมการขัดกันของผลประโยชน์
ที่รัฐสภา เกียกกาย วันที่ 27 พฤษภาคม มีการประชุมสภาผู้แทนราษฎรเพื่อพิจารณาพระราชกำหนด (พ.ร.ก.) จำนวน 3 ฉบับ ประกอบด้วย 1.พ.ร.ก.ให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อแก้ไขปัญหาเยียวยา และฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคมที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 พ.ศ.2563 วงเงิน 1 ล้านล้านบาท 2.พ.ร.ก.ให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่ผู้ประกอบการวิสาหกิจที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 พ.ศ.2563 วงเงิน 5 แสนล้านบาท และ 3.พ.ร.ก.การรักษาเสถียรภาพของระบบการเงินและความมั่นคงทางเศรษฐกิจของประเทศ วงเงิน 4 แสนล้านบาท ซึ่งเป็นการพิจารณาวันแรก ระหว่างวันที่ 27-31 พ.ค.นี้
โดยบรรยากาศการประชุมเป็นไปอย่างคึกคัก มี ส.ส.และรัฐมนตรีทยอยเดินทางมาร่วมประชุมอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ช่วงเช้า โดยทุกคนต้องสวมหน้ากากอนามัยและเดินผ่านเครื่องตรวจวัดอุณหภูมิร่างกาย พร้อมทั้งมีเจลแอลกอฮอล์คอยให้ล้างมืออยู่เป็นจุดๆ หากใครมีไข้จะไม่ได้รับอนุญาตให้ผ่านเข้ามายังอาคารรัฐสภา เพื่อปฏิบัติตามมาตรการคัดกรองและป้องกันการแพร่ระบาดเชื้อโควิด-19 อย่างเคร่งครัด นายเทวัญ ลิปตพัลลภ รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ในฐานะที่ปรึกษาคณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมรัฐบาล (วิปรัฐบาล) ให้สัมภาษณ์ว่า ทุกอย่างเป็นไปตามข้อตกลงของนายชวน หลีกภัย ประธานสภา และวิปทั้งสองฝ่าย ที่กำหนดให้มีการประชุมระหว่างวันที่ 27-31 พ.ค.เป็นจำนวน 5 วัน ส่วนจะมีโอกาสปรับลดเวลาลงหรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับที่ประชุม ในส่วนของวิปรัฐบาลจะมีการประชุมอีกครั้งในวันศุกร์ที่ 29 พ.ค.นี้ โดยแต่ละวันกำหนดการอภิปรายได้จนถึงเวลา 20.00 น. เนื่องจากจะต้องให้เวลาทั้ง ส.ส.เจ้าหน้าที่และผู้ที่เกี่ยวข้องเดินทางกลับที่พักเพื่อไม่ให้เกินกำหนดเวลาเคอร์ฟิว
ฝ่ายค้านเตรียม 78 ขุนพล
ขณะที่นายสุทิน คลังแสง ส.ส.มหาสารคาม พรรคเพื่อไทย และประธานวิปฝ่ายค้าน พร้อมด้วยตัวแทนจาก 6 ฝ่ายค้าน ประชุมหารือเตรียมความพร้อมทั้งเรื่องประเด็น กรอบเวลา และตัวบุคคลที่จะอภิปราย พ.ร.ก.กู้เงิน 3 ฉบับ โดยนายสุทินกล่าวว่าได้หารือกับประธานสภา เนื่องจากกังวลว่าการประชุมในวันถัดไปที่จะเริ่มในเวลา 09.30 น.จะบริหารจัดการไม่ได้เพราะองค์ประชุมจะมีปัญหา ประธานสภาจึงเสนอว่าให้ใช้วิธีการเลื่อนการประชุม ซึ่งจะไม่ต่างจากการพักการประชุม เพื่อให้การประชุมในวันถัดไปเริ่มประชุมได้ทันทีซึ่งตนเห็นด้วย
นายสุทินกล่าวว่า ผู้อภิปรายของพรรคร่วมฝ่ายค้านแต่ละพรรค พรรคเพื่อไทย 54 คน พรรคก้าวไกล 14 คน พรรคเสรีรวมไทย 4 คน พรรคประชาชาติ 3 คน พรรคเพื่อชาติ 1 คน พรรคพลังปวงชนไทย 1 คน นอกจากนี้นายมิ่งขวัญ แสงสุวรรณ์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเศรษฐกิจใหม่ มีความประสงค์ที่จะร่วมอภิปรายโดยจะใช้เวลาประมาณ 30 นาที ซึ่งจะแบ่งเวลาจากโควตาของพรรคเพื่อไทยรวม 78 คน โดยการบริหารลำดับคิวจะหารือร่วมกันเป็นวันๆ ไป เพราะต้องเป็นไปตามสถานการณ์ เนื้อหา และน้ำหนักที่เราอยากจะให้
นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว ส.ส.น่าน พรรคเพื่อไทย กล่าวว่า ขอเสนอความเห็นเกี่ยวกับการประกาศเคอร์ฟิว เพราะคนที่ส่งผักส่งนมยังสามารถยกเว้นให้ได้ ทำไมการประชุมสภาจึงเว้นให้ไม่ได้ ดังนั้นวิปฝ่ายค้านจึงควรนำเรื่องนี้ไปหารือกับประธานสภาและวิปรัฐบาล และแจ้งไปที่ ศบค.ว่าเรามีความจำเป็นที่จะให้ยกเว้นเคอร์ฟิวสำหรับการประชุมสภา เพื่อที่จะได้เริ่มปฏิบัติตั้งแต่วันพฤหัสบดี-เสาร์ ส่วนวันอาทิตย์จะได้ใช้เพื่อทดเวลาบาดเจ็บ
ต่อมาเวลา 09.30 น.จึงเริ่มเปิดประชุมสภา โดยเป็นการเปิดใช้ห้องประชุมสุริยันหรือห้องประชุม ส.ส.ครั้งแรก มีนายชวน หลีกภัย ประธานสภาผู้แทนราษฎร ทำหน้าที่ประธานการประชุม ภายในห้องประชุมมีการจัดระเบียบให้ ส.ส.นั่งเว้นระยะห่าง 1 ที่นั่ง ป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 ก่อนเข้าสู่วาระการประชุมนายชวนเปิดโอกาสให้ ส.ส.ได้หารือถึงปัญหาความเดือดร้อนต่างๆ ของประชาชน
จากนั้น พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม กล่าวถึงหลักการและเหตุผลของ พ.ร.ก.กู้เงินทั้ง 3 ฉบับว่า การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ทำให้ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทย สภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจไทยปี 63 จะติดลบร้อยละ 5-6 แม้ว่าในการแก้ไขปัญหารัฐบาลพยายามบริหารจัดการภายใต้กรอบงบประมาณที่มีอยู่ในปัจจุบัน แต่ไม่เพียงพอ ไม่ทันกับสถานการณ์ ดังนั้นเพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กลับมาสู่ประเทศไทยโดยเร็ว รัฐบาลประมาณการว่าจะต้องใช้เงิน 1 ล้านล้านบาท จึงไม่อาจดำเนินการด้วยวิธีงบประมาณตามปกติ จึงเป็นสถานการณ์ฉุกเฉินรีบด่วน ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ และเป็นทางเลือกสุดท้ายของรัฐบาล โดยตรา พ.ร.ก.ให้กระทรวงการคลังกู้เงินวงเงินไม่เกิน 1 ล้านล้านบาท เพื่อประโยชน์ในการรักษาความปลอดภัยของสาธารณะและความมั่นคงในทางเศรษฐกิจของประเทศ และป้องกันภัยพิบัติสาธารณะ
พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า รัฐบาลตระหนักถึงข้อห่วงใยของท่านทั้งหลายต่อประเด็นในการรักษาวินัยการเงินการคลังของประเทศ ความคุ้มค่าและความโปร่งใสในการใช้จ่ายเงินกู้ รัฐบาลได้กำหนดหลักการที่สำคัญที่สอดคล้องกับวินัยการเงินการคลังของรัฐ เพื่อเป็นกรอบวินัยในการกู้เงินต้องใช้ตามวัตถุประสงค์ภายใต้แผนงานโครงการตามบัญชีแนบท้าย 3 แผนงาน ในกรณีมีความจำเป็น ครม.มีอำนาจปรับแก้การใช้เงินได้เพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์ รวมทั้งกำหนดให้มีคณะกรรมการกลั่นกรองและอนุมัติโครงการและการดำเนินการภายใต้ พ.ร.ก.จะเป็นไปตามระเบียบที่ ครม.กำหนด โดยคำแนะนำของคณะกรรมการกระทรวงการคลังจะต้องทำรายงานการใช้เงินเสนอต่อรัฐสภาภายใน 60 วันนับแต่วันสิ้นปีงบประมาณ โดยในรายงานจะต้องครอบคลุมทั้งการกู้เงิน วัตถุประสงค์การใช้เงิน และผลสัมฤทธิ์ของการใช้งบประมาณ
ไม่เกินกรอบหนี้สาธารณะ
"ปฏิเสธไม่ได้ว่าจะส่งผลต่อสถานะการชำระหนี้ของประเทศ การกู้เงินในวงเงิน 1 ล้านล้านบาท รวมกับการกู้เงินในกรณีอื่นแล้วจะไม่กระทบต่อกรอบหนี้สาธารณะ โดย ณ สิ้นเดือน ก.ย.ปี 2564 หนี้สาธารณะจะมีสัดส่วนร้อยละ 57.96 ต่อจีดีพี ซึ่งไม่เกินกรอบ 60% ตามกฎหมาย โดยการกู้เงินจะกู้เงินในประเทศเป็นหลัก แต่ขณะเดียวกันจะพิจารณาเงื่อนไขและต้นทุนการกู้เงินจากต่างประเทศอีกทางหนึ่งเพื่อเป็นแหล่งเงินทุนสำรอง ส่วนการชำระหนี้นั้นกระทรวงการคลังได้วางแผนเป็นระบบเพื่อกระจายความเสี่ยงและควบคุมต้นทุนให้เหมาะสม เพื่อให้เกิดความโปร่งใส เพื่อให้เกิดการสร้างระบบสาธารณสุขและการฟื้นฟูเศรษฐกิจของประเทศ"
จากนั้น พล.อ.ประยุทธ์ได้เสนอ พ.ร.ก.การให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่ผู้ประกอบวิสาหกิจ ที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 พ.ศ.2563 หรือ พ.ร.ก.Soft Loan โดยระบุว่ามีวัตถุประสงค์เพื่อให้สินเชื่อเพิ่มเติมเสริมสภาพคล่อง การดำเนินการตาม พ.ร.ก.ฉบับนี้ไม่ได้เป็นการกู้เงินของรัฐบาล แต่เป็นการให้อำนาจธนาคารแห่งประเทศไทยในการจัดสรรสภาพคล่องในระบบเป็นการชั่วคราวให้แก่กลุ่มผู้ประกอบการ ส่วน พ.ร.ก.การรักษาเสถียรภาพของระบบการเงินและความมั่นคงทางเศรษฐกิจของประเทศ มีความประสงค์เพื่อตั้งกองทุนรักษาสภาพคล่องของการระดมทุนในตลาดตราสารหนี้ และรักษาเสถียรภาพและสนับสนุนสภาพคล่องด้วยการลงทุนในตราสารหนี้ภาคเอกชนที่ออกใหม่ โดยธนาคารแห่งประเทศไทยมีอำนาจซื้อหน่วยลงทุนไม่เกิน 4 แสนล้านบาท และมีคณะกรรมการกำกับกองทุน โดยมีปลัดกระทรวงการคลังเป็นประธาน คาดว่าจะมีการระดมทุนผ่านตลาดตราสารหนี้กว่า 9.8 แสนล้านบาท
ต่อมาเวลา 12.15 น. นายสมพงษ์ อมรวิวัฒน์ ส.ส.เชียงใหม่ พรรคเพื่อไทย ในฐานะผู้นำฝ่ายค้าน กล่าวว่า ความผิดพลาดของการบริหารจัดการภายใต้ภาวะวิกฤติ ไม่ว่าจะเป็นความไม่มีประสิทธิภาพในการจัดหาหน้ากากอนามัยและการขาดแคลนชุดป้องกันการติดเชื้อ (PPE) สำหรับบุคลากรทางการแพทย์ ความล่าช้าและการเยียวยาที่ไม่ทั่วถึงและรวดเร็ว ความล่าช้าในการยกเลิกการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน ที่สำคัญที่สุดความล่าช้าในการคลายล็อกให้ระบบเศรษฐกิจ วันนี้ตัวเลขของผู้เสียชีวิตจากโควิด-19 กับตัวเลขของผู้ที่ฆ่าตัวตายเนื่องจากภาวะกดดันทางเศรษกิจเกือบจะไม่แตกต่างกัน ภายใต้เงินกู้ทั้ง 3 ฉบับให้อำนาจฝ่ายบริหารไว้สูงมาก แต่การตรวจสอบการใช้จ่ายเงินมีเพียงการตั้งคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้เพียงไม่กี่คน ตรวจสอบเงินจำนวนมหาศาลโดยไม่ต้องรายงานการใช้จ่ายต่อฝ่ายนิติบัญญัติ จึงเป็นความจำเป็นที่ตัวแทนของประชาชนมีหน้าที่ที่จะต้องร่วมกันตรวจสอบให้เป็นไปอย่างสุจริตและมีประสิทธิภาพสูงสุด ป้องกันไม่ให้เป็นการ "ตีเช็คเปล่า" ให้รัฐบาลใช้เงินโดยตามอำเภอใจ ไร้การตรวจสอบ จนอาจส่งผลเสียต่อประเทศ
นายสมพงษ์กล่าวว่า ในส่วนของ พ.ร.ก.ฉบับแรกหรือเราอาจเรียกสั้นๆ ว่า พ.ร.ก.กู้เงิน 1 ล้านล้านบาทนั้น สามารถแยกพิจารณาเป็น 3 กลุ่มใหญ่ ส่วนที่ 1 แก้ไขการระบาดโควิด-19 (45,000 ล้านบาท) ส่วนที่ 2 การช่วยเหลือเยียวยาประชาชน เกษตรกร ผู้ประกอบการ (555,000 ล้านบาท) และส่วนที่ 3 งบฟื้นฟูเศรษฐกิจ (400,000 ล้านบาท) ก้อนนี้เป็นก้อนที่พวกเราฝ่ายค้านเป็นห่วงที่สุด เพราะจะเป็นส่วนที่จะมีปัญหามากที่สุด มีข้อสังเกตว่าแบ่งตามกระทรวงต่างๆ ไว้หมดแล้ว ทั้งๆ ที่ยังไม่ได้เข้าสภา และตามที่รัฐบาลกล่าวถึงทิศทางการใช้เงินก้อนนี้ไม่ตอบโจทย์และไม่ได้คิดถึงภาพใหญ่ เปิดช่องการใช้เป็นเงินเพื่อประโยชน์ทางการเมือง แจกจ่ายให้แก่ ส.ส. เสมือนเป็นการตีเช็คเปล่า หรือนำไปทำโครงการแบบเดิมๆ เพื่อประโยชน์ของพวกพ้อง และการตอบแทนทางการเมือง โดยที่ถูกต้องโครงการต้องเป็นไปเพื่อตอบสนองและตอบโจทย์เรื่องโควิด ไม่ใช่ใช้จ่ายไปทั่ว
ล้มละลายด้วยกันเป็นหนี้ 90 ปี
นายสมพงษ์กล่าวต่อว่า ในส่วนของ พ.ร.ก.การให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่ผู้ประกอบวิสาหกิจ มองว่าดุลยพินิจของการปล่อยกู้อยู่ที่ธนาคารพาณิชย์ ที่มีแนวโน้มปล่อยให้ลูกค้าเดิมที่แข็งแรงอยู่แล้ว ได้ประโยชน์จากสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ แต่ SMEs ที่ประสบปัญหาได้รับผลกระทบจากโควิด ก็ยังคงเข้าไม่ถึงสินเชื่อเหมือนเดิม ยังเปิดช่องทางให้เอกชนรายที่ผ่านการพิจารณาสินเชื่อเอาสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำไปปล่อยต่อให้เอกชนที่เข้าไม่ถึงสินเชื่อในราคาสูง มีลักษณะเหมือนสินเชื่อนอกระบบ รายใหญ่ได้ประโยชน์ รายเล็กโดนเอาเปรียบ ส่วน พ.ร.ก.การรักษาเสถียรภาพของระบบการเงินฯ โดยหลักธนาคารชาติมีหน้าที่เป็นธนาคารของรัฐบาล และเป็นนายธนาคารของธนาคารพาณิชย์ ไม่มีหน้าที่ลงไปจัดสรรสินเชื่อเองเพราะอาจสร้างความเสียหายเกี่ยวกับความเชื่อมั่น และเสียหายในเชิงหลักการของธนาคารแห่งประเทศไทย หลีกเลี่ยงไม่พ้นการเลือกปฏิบัติ อาจถูกกล่าวหาว่าใช้เงินรัฐอุ้มคนรวย อาจเกิดปัญหาคอร์รัปชันและเกิดความเสี่ยงต่อความเชื่อมั่นในระบบการเงินของประเทศ
เวลา 13.00 น. น.อ.อนุดิษฐ์ นาครทรรพ ส.ส.กทม.และเลขาธิการพรรคเพื่อไทย อภิปรายว่า ตามที่พล.อ.ประยุทธ์เรียก พ.ร.ก.ดังกล่าวว่าเราไม่ทิ้งกัน แต่ชาวบ้านเรียกว่า พ.ร.ก. "เราเป็นหนี้ด้วยกัน 2020" การกู้เงินของรัฐบาลข้ามขั้นตอนสำคัญ รัฐตั้งใจกู้มากเกินไป อยากถามว่ามีวัตถุประสงค์อื่นแอบแฝงหรือไม่ แถมไม่มีรายละเอียดการใช้เงินที่ชัดเจน และรัฐบาลก็ไม่ดูเงินในกระเป๋าที่ตัวเองมีอยู่ให้ได้เสียก่อน อาทิ งบปี 63 ที่ไม่จำเป็นควรชะลอ เช่นซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์ เพื่อนำมาเยียวยาประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 ความไม่ชอบมาพากลเหล่านี้ทำให้ชาวบ้านเปลี่ยนชื่อ พ.ร.ก.ดังกล่าว หากไม่มีการแก้ไขวิธีบริหารจัดการ ชาวบ้านอาจเปลี่ยนชื่อเรียกอีกเป็น พ.ร.ก.เราล้มละลายด้วยกัน
น.อ.อนุดิษฐ์กล่าวต่อว่า เศรษฐกิจไม่ได้เพิ่งแย่จากสถานการณ์โควิด-19 แต่แย่ตั้งแต่รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์เข้ามาบริหารประเทศตั้งแต่ปี 2557 โดยมีหลักฐานเชิงประจักษ์คือ การก่อหนี้รัฐบาลมียอด 2.6 ล้านล้านบาท ซึ่งเป็นการก่อหนี้ทุกปีแต่เศรษฐกิจกลับแย่ลง วันนี้เครื่องยนต์เศรษฐกิจของประเทศถือว่าดับทั้ง 4 ตัว คือ การส่งออก ท่องเที่ยว การลงทุน การบริโภคภายใน ถือว่าดับสนิท เงินกู้ 1 ล้านล้านบาทนี้ถือเป็นหน้าตักสุดท้ายของประเทศ เพราะหลังจากนี้รัฐบาลยังต้องไปกู้เงินเพื่อชดเชยงบประมาณขาดดุลในปี 64 อีก 5 แสนล้าน ทำให้หนี้สาธารณะจะสูงไปถึงร้อยละ 55 ของจีดีพี
"ตั้งแต่ พล.อ.ประยุทธ์ยึดอำนาจเข้ามา ได้ก่อหนี้ไว้ถึง 2.6 ล้านๆ หากเมื่อนำมารวมกับ พ.ร.ก.ฉบับนี้และเงินกู้ที่จะชดเชยงบขาดดุลในปีหน้าอีก 5 แสนล้านล้าน รวมเป็นเงิน 4.18 ล้านล้านบาท เมื่อมาดูแผนชำระหนี้ที่จะใช้ปีละ 4.8 หมื่นล้านบาท เท่ากับเราต้องใช้หนี้ 90 ปี ถึงจะใช้หมดยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ต้องวนไป 4 รอบ ท่านนายกฯ กำลังจะเป็นคนที่สร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่ให้กับประเทศไทย เป็นนายกฯ ที่สร้างหนี้ให้คนไทยจนชั่วลูกชั่วหลาน เด็กเกิดใหม่มีหนี้เป็นแสน คนไทยก็ทำงานใช้หนี้ไปจนตาย" น.อ.อนุดิษฐ์กล่าว
ต่อมาเวลา 15.50 น. พล.อ.ประยุทธ์ชี้แจงเกี่ยวกับหน้ากากอนามัยว่า ต้องยอมรับว่าที่ผ่านมาสถานการณ์เป็นไปอย่างรวดเร็ว ในประเทศไทยมีบริษัทที่ได้รับลิขสิทธิ์ผลิตหน้ากากอนามัย N95 เพียง 1-2 บริษัท ซึ่งทำเพื่อส่งออกเท่านั้น และหน้ากากอนามัยสีฟ้าเราก็ต้องนำเข้าวัตถุดิบจากต่างประเทศ ซึ่งวันนี้กำลังดำเนินการอยู่ว่าจะทำอย่างไร เพราะวัสดุต้องนำมาจากต่างประเทศช่วงเวลาคับขัน แต่ละประเทศก็สงวนไว้ใช้เองหมด จึงไม่อยากให้ทุกคนคิดว่ารัฐบาลไม่ทำอะไรเลยจะใช้แต่เงินอย่างเดียว กลไกสภาการตรวจสอบภายในระบบก็มี สตง.ก็มีไม่ใช่ว่ารัฐบาลใช้แต่เงินอย่างเดียว ป.ป.ช., ปปง., ป.ป.ท.ตรวจสอบได้หมด ไม่ใช่ว่าคณะกรรมการกลั่นกรองที่ตรวจสอบได้เพียงชุดเดียว ก่อนเสนอโครงการต้องผ่านกลไกในพื้นที่มา ใครจะมาเสนอนอกกรอบที่ พ.ร.ก.กำหนดไว้ก็ไม่ได้ ไม่ใช่ใครจะเสนออะไรก็ได้เราคิดไว้หมดแล้ว
ปชป.ชี้เงินกู้ 4 แสน ล.เอื้อรายใหญ่
นายอุตตม สาวนายน รมว.การคลัง กล่าวชี้แจงเกี่ยวกับการกู้เงินตาม พ.ร.ก.ว่า เรากู้เงิน 1 ล้านล้านบาทเท่านั้น ไม่กู้เงิน 1.9 ล้านล้านบาท การกู้เงิน 1 ล้านล้านบาท รัฐบาลต้องการ 1.ดูแลเยียวยา ประชาชน โดยใส่เงินในกระเป๋าให้ทันที 2.SME ที่มีการจ้างงานคนร้อยละ 80 เราต้องเข้าช่วยเหลือไม่ให้ล้มลง เพราะจะกระทบคนส่วนใหญ่ของประเทศ 3.ปกป้องการเงิน ตลาดทุนของประเทศทุกกลุ่ม เพราะมีความผูกพันกันหมดในวิกฤติเช่นนี้ และหนักยิ่งกว่าวิกฤติปี 40
"การออก พ.ร.ก.เงินกู้ 1 ล้านล้านบาท เป็นแนวทางที่ทั่วโลกใช้ โดยธนาคารโลกและไอเอ็มเอฟก็เสนอแนวทางให้ประเทศเศรษฐกิจใหม่มุ่งช่วยเหลือประชาชนที่เปราะบาง และใช้มาตรการเงินกระตุ้นในกว้างและฟื้นฟูเศรษฐกิจต่อไป ซึ่งถือว่าเราใช้แนวสากล เรามีกรอบดำเนินการที่รัดกุมกำกับติดตาม โดยใช้ พ.ร.บ.หนี้สาธารณะ ถือว่าเข้มขึ้น โดยรายงาน ครม.ทุก 3 เดือน การประเมินผลโครงการทั้งสภาพัฒน์และสำนักบริหารหนี้สาธารณะ และส่วนการกำกับติดตามเงินกู้และผลสัมฤทธิ์จะรายงานต่อสภาภายใน 60 วันนับแต่สิ้นปีงบประมาณ ถือว่ามาตรฐานตรวจสอบสูงกว่าเมื่อเทียบกับ พ.ร.ก.เงินกู้ในอดีตคือ พ.ร.ก.ไทยเข้มแข็งในปี 52 และ พ.ร.ก.กู้เงินเพื่อวางระบบบริหารน้ำปี 2555" นายอุตตมกล่าว
ต่อมาเวลา 18.10 น. นายพิสิฐ ลี้อาธรรม ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ และอดีต รมช.การคลัง อภิปรายว่า เรื่อง Soft Loan มาตรการออกมาเดือนกว่า มีเงินกอง 5 แสนล้านบาท ปรากฏว่าธนาคารพาณิชย์ใช้ไปเพียงร้อยละ 10 สถานการณ์ที่ร้ายแรงแบบนี้ธนาคารต้องช่วยลูกค้าเยียวยาผลกระทบ ดังนั้นธนาคารต้องปรับมาตรการให้เงินออกเร็วขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งธนาคารที่เป็นห่วงเรื่องหนี้เสียที่อาจจะเกิดขึ้น สำหรับ พ.ร.ก.หุ้นกู้ จำนวน 4 แสนล้านบาท ตนเห็นด้วยที่ต้องเยียวยาการให้เกิดสภาพคล่อง และสิ่งที่คิดว่าไม่ถูกต้องคือทอดสะพานให้แต่เฉพาะรายใหญ่ ให้กับเฉพาะผู้กู้ที่เรตติงดี ผู้กู้หรือผู้ออกหุ้นกู้ที่มีเรตติงไม่ดี ฐานะอ่อนแอกว่า ท่านไม่ยอมทอดสะพานให้ ปิดโอกาส ไม่ให้บริษัทเล็กบริษัทน้อยได้รับประโยชน์ด้วย
"จริงๆ ท่านไม่ใช่ผู้ลงทุน อย่าไปห่วงเรื่องเรตติง ในเรื่องนี้เป็นห่วงว่าในกฎหมายสองฉบับของแบงก์ชาติมีการตั้งกรรมการเข้ามาดูแล มีฐานะเป็นผู้ดำรงตำแหน่งในหน่วยงานต่างๆ ซึ่งดูแล้วก็น่าจะเหมาะสม ซึ่งกรรมการเหล่านี้มีอำนาจในการที่จะจ่ายเงินชดเชยให้แบงก์พาณิชย์ หรือเลือกบริษัทหลักทรัพย์เพื่อบริหารจัดการ ที่เป็นห่วงคือเรื่องขัดกันของผลประโยชน์ อย่าลืมว่ากรรมการเหล่านี้บางท่านเป็นกรรมการในธนาคารพาณิชย์หรือบริษัทจัดการกองทุนด้วย แล้วท่านจะมาเป็นผู้ที่ตัดสินในการเยียวยา หรือชดเชยเงินให้กับธนาคารพาณิชย์ อาจมีปัญหาในอนาคต" นายพิสิฐกล่าว
นายพิสิฐกล่าวด้วยว่า จีดีพีปีนี้ที่รัฐบาลประเมินติดลบร้อยละ 5.3 อาจประเมินดีไปหน่อย ถ้าเกิดจีดีพีไม่ได้โตตามที่คาดไว้ ตัวเลขที่นายกฯ กล่าวไว้เมื่อเช้านี้ก็จะผิดพลาด หนี้สาธารณะก็จะเกิน 60 เปอร์เซ็นต์
กระทั่งเวลา 20.10 น. นายชวน หลีกภัย ประธานสภา ทำหน้าที่ประธานการประชุม ได้สั่งพักการประชุมและให้มาประชุมต่อในวันที่ 28 พ.ค. เวลา 09.30 น.
|
เมื่อวานคุยเล่น เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด |
| อนาคต 'คนนินทาเมีย' |
| 'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ' |
| ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ |
| วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง" |
| "การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา. |
| เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?" |