'ดร.ศุภณัฐ' เตือนอย่าประมาท 'ธนาธร' เดินหมากเลือกตั้งท้องถิ่นปลุกมวลชนล้มรัฐบาล


เพิ่มเพื่อน    

9 ก.ค.63 - ดร.ศุภณัฐ อภิญญาณ หรือ "ดร.นิว" นักวิจัยภายใต้สถาบันวิจัย MAST Center และ คณะวิศวกรรมชีวการแพทย์ University of Arkansas ประเทศสหรัฐอเมริกา โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก  Suphanat Aphinyan มีเนื้อหาดังนี้ #อย่าดูถูกธนาธร ความผิดพลาดของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ คือ การไม่สร้างประชาธิปไตย และทำอำนาจอธิปไตยให้เป็นของปวงชนตามแนวทางการพัฒนาชาติของพระมหากษัตริย์นักประชาธิปไตยโดยมีล้นเกล้ารัชกาลที่ 5 เป็นผู้ริเริ่ม อีกทั้งไม่ได้แก้ไขปัญหาความขัดแย้งทางทฤษฎีและแนวคิดทางการเมือง แถมยังปล่อยให้ความแตกแยกทางความคิดดังกล่าวลุกลามบานปลายใหญ่โตเรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน

แม้พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา จะมีความตั้งใจอันดีในการปฏิรูปประเทศ สามารถพัฒนาประเทศในหลากหลายด้าน แต่ก็ยังไม่สามารถแก้ไขที่ต้นตอของปัญหา ยังใช้การเมืองแบบเก่าแก้การเมืองแบบเก่า ใช้ธุรกิจการเมืองแก้ธุรกิจการเมือง ดังนั้นในรัฐบาลปัจจุบันจึงมีทั้งคนดีที่ตั้งใจทำงานเพื่อประชาชน และคนไม่ดีที่เข้ามาตักตวงผลประโยชน์จากประชาชน แต่ไม่ว่าจะคนดีหรือคนไม่ดีก็ยังไม่มีใครที่จะสามารถนำพาประเทศชาติออกจากความขัดแย้งไปสู่ทางออกที่สงบสุขสันติได้ รัฐบาลเพียงแต่บริหารประเทศไปพร้อมๆกับการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า แต่ไม่อาจแก้ไขปัญหาชาติได้ ดังนั้นการเมืองไทยจึงยังคงเป็นการเมืองในรูปแบบเก่าๆไม่ต่างจากการพายเรือในอ่างของฝ่ายอนุรักษ์นิยมกับฝ่ายที่อ้างตนเองเป็นประชาธิปไตยซึ่งต่างก็เป็นเผด็จการทั้งคู่

แม้ว่านายธนาธรจะปลุกม็อบแป้กอยู่ตลอดเวลา เขาก็ยังน่านับถือในทางอุดมการณ์ที่มีความพยายามอย่างไม่หยุดนิ่งมากกว่านักการเมืองบางคนที่เอาแต่สร้างภาพแล้วนั่งแบ่งผลประโยชน์กันในฝ่ายรัฐบาล แต่น่าเสียดายที่ความดันทุรังของเขากลับเป็นความดันทุรังในทางที่ผิดอันจะนำไปสู่ความขัดแย้งและความแตกแยกที่นับวันมีแต่จะทวีความรุนแรงมากยิ่งขึ้น เพราะแนวทางของนายธนาธรยังคงเป็นการเมืองแบบเก่าที่หวังหลอกใช้ประชาชนเป็นเครื่องมือทางการเมืองเพื่อแย่งชิงอำนาจจากอีกฝ่าย เห็นได้จากความพยายามในการปลุกม็อบรายวันผ่านโซเชียลมีเดียที่หลายๆครั้งดูเป็นเรื่องเลอะเทอะ และการนำเสนอข้อมูลในรูปแบบที่เป็นการปั่นกระแสโดยมีการชี้นำอย่างมีอคติ

ผมขอส่งเสียงเตือนไปยังรัฐบาลว่าอย่าดูถูกคลื่นใต้น้ำของนายธนาธรที่กำลังก่อตัวลูกนี้ จงอย่าคิดว่าถ้าเขาไม่มีอำนาจทางการเมืองแล้วเขาจะทำอะไรไม่ได้...

ในเมื่ออำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชน นายธนาธรจึงอาศัยความจริงข้อนี้ในการติดฉลากตัวเองด้วยคำว่าประชาธิปไตยและแอบอ้างประชาชนอยู่ตลอดเวลาเพื่อปกปิดความเป็นนายทุน ผลที่สุดก็เพื่อหาแนวร่วมในการใช้ประชาชนเป็นเครื่องมือทางการเมือง และในตอนนี้ขออย่าดูถูกการเคลื่อนไหวของนายธนาธรและคณะก้าวหน้าในการเลือกตั้งท้องถิ่นที่ไม่ใช่การเลือกตั้งท้องถิ่นธรรมดา แต่เป็นการขยายเครือข่ายในการเคลื่อนไหวที่เป็นรูปธรรมมากยิ่งขึ้นกว่าเดิม เพราะหากนายธนาธรกับคณะก้าวหน้าใช้โอกาสนี้ในการกระจายความขัดแย้งทางความคิดและทฤษฎีทางการเมืองของพวกเขา ปลายทางของความรุนแรงและความแตกแยกย่อมหลีกเลี่ยงได้ยากยิ่งในอนาคต

แม้โอกาสในการปลุกม็อบใหญ่ของนายธนาธรจะริบหรี่ แต่ก็ยังมีความเป็นไปได้อยู่ 2 ทาง 1.ความล้มเหลวในการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจของรัฐบาล 2.ภาพลักษณ์แย่ๆของนักการเมืองฝ่ายรัฐบาลบางส่วนที่แก่งแย่งอำนาจและผลประโยชน์โดยที่ไม่ได้มีผลงาน แล้วเมื่อนั้นเครือข่ายการเมืองท้องถิ่นที่นายธนาธรกำลังสร้างอยู่นี้จะเป็นช่องทางอย่างดีในการปลุกปั่นมวลชนที่ไม่เท่าทันเป็นเครื่องมือทางการเมืองให้ลุกฮือขึ้นมาล้มล้างรัฐบาล แล้วอาจถูกทำให้ลามปามต่อไปสู่ความรุนแรงครั้งใหญ่ที่เป็นหายนะของประเทศได้

ประชาธิปไตยที่แท้จริงจะเกิดขึ้นได้อย่างไรหากคนสองกลุ่มนี้ยังทะเลาะกันไปมา ฝ่ายหนึ่งก็อ้างการเลือกตั้งมาจากประชาชน อีกฝ่ายก็อ้างความเป็นตัวแทนของประชาชน จนในประเทศไทยของเราทุกคนกลับมีแต่เสียงดังของคนสองกลุ่มที่ทะเลาะกันไม่หยุดเสียที จนสุดท้ายเสียงทะเลาะกันของคนทั้งสองกลุ่มได้บดบังเสียงที่แท้จริงของประชาชนชาวไทยทั้งประเทศ

วันนี้เราคงต้องยอมรับกันอย่างตรงไปตรงมา ว่าเราอยู่ภายใต้ระบอบเผด็จการที่อำนาจอธิปไตยไม่ได้เป็นของปวงชน เพราะการเมืองยังคงเป็นธุรกิจการเมือง ที่พรรคการเมืองฝ่ายรัฐบาลเองยังต้องมานั่งทะเลาะแบ่งผลประโยชน์ทางการเมืองกัน หรือแม้แต่คนรวยที่ถูกตัดสิทธิ์ทางการเมืองก็ยังสามารถควบคุมพรรคฝ่ายค้านในรัฐสภาพร้อมๆกับการเคลื่อนไหวนอกรัฐสภา โดยที่คนอย่างผม หรือ เราๆ ท่านๆ ที่เป็นประชาชนต่างก็ไม่ได้มีสิทธิ์มีเสียงในการช่วยกันกำหนดชะตาของประเทศชาติอย่างดีที่สุดร่วมกัน

อำนาจอธิปไตยของประชาชนยังคงตกอยู่ในเงื้อมมือของคนส่วนน้อย ตกอยู่ในเงื้อมมือของนายทุนพรรคการเมืองที่ไม่ว่าฝ่ายใดเข้ามามีอำนาจ ประเทศไทยก็ยังตกอยู่ในเกมธุรกิจการเมืองที่เป็นระบอบเผด็จการไม่ต่างกันอยู่ดี

แม้จะเป็นไปไม่ได้ที่ประชาชนทุกคนจะลุกขึ้นมาบริหารประเทศโดยตรง แต่การทำอำนาจอธิปไตยให้เป็นของปวงชนจะช่วยทำให้แนวทางในการบริหารกำหนดทิศทางของประเทศมาจากเสียงของประชาชนส่วนใหญ่ซึ่งได้ผ่านกระบวนการกลั่นกรองที่รอบคอบและรอบด้านจนเป็นที่ยอมรับของประชาชนส่วนใหญ่อย่างแท้จริง ไม่ใช่รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งภายใต้การครอบงำของนายทุนพรรคการเมือง หรือใครก็ได้ที่แอบอ้างประชาธิปไตยหรือประชาชนเป็นเครื่องมือ

ประเทศไทยจึงต้องกระจายอำนาจการปกครองให้กับประชาชนส่วนใหญ่ ไม่ใช่เอาอำนาจบริหารไปไล่แจก แต่ทำให้เสียงของประชาชนที่ผ่านการกลั่นกรองมาอย่างดีและเป็นประโยชน์กับประชาชนส่วนใหญ่ดังขึ้นในรัฐสภา ทำให้ผู้แทนในรัฐสภากลายเป็นผู้แทนของประชาชนอย่างแท้จริง ไม่ใช่ร่างทรงหรือหุ่นเชิดของนายทุนพรรคการเมืองหรือนักเคลื่อนไหวทางการเมืองที่เป็นเผด็จการ และตักตวงผลประโยชน์ไปจากประชาชน

หากสถานการณ์ยังคงดำเนินต่อไปเช่นนี้...ประชาชนอย่างเราจะพึงใครได้เล่าที่จะช่วยยุติปัญหาความขัดแย้งทางทฤษฎีการเมือง นำพาประเทศไทยออกจากระบอบเผด็จการธุรกิจการเมือง และทำอำนาจอธิปไตยให้เป็นของปวงชน...

"อันว่าความกรุณาปรานี จะมีใครบังคับก็หาไม่
หลั่งมาเองเหมือนฝนอันชื่นใจ จากฟากฟ้าสุราลัยสู่แดนดิน"
 


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"