ชงต่อพรก.ฉุกเฉิน1เดือน


เพิ่มเพื่อน    

  คกก.เฉพาะกิจฯ ชง ศบค.ชุดใหญ่ต่อ พ.ร.ก.ฉุกเฉินอีก 1 เดือน ไทยพบป่วยใหม่ 5 ราย กลับจากญี่ปุ่น-อียิปต์-ซูดาน สธ.เตรียมทำข้อปฏิบัติเปิด-ปิดแต่ละพื้นที่ให้ทุกจังหวัดใช้เป็นแนวทาง ยันปิดประเทศไม่ได้ จ่อทาร์เก็ตล็อกดาวน์จำกัดวงแทน ทบ.การันตีกักตัว 151 ทหารไทยกลับจากฮาวายวินัยเป๊ะ

    ที่ทำเนียบรัฐบาล เมื่อวันที่ 21 กรกฎาคม เวลา 11.30 น. นพ.ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษกศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) หรือ ศบค. แถลงว่า สถานการณ์โควิด-19 ในประเทศไทย มีผู้ติดเชื้อรายใหม่เพิ่มขึ้น 5 ราย ในสถานที่กักตัวของรัฐ ทำให้มียอดผู้ป่วยสะสม 3,255 ราย หายป่วยสะสม 3,105 ราย ผู้ป่วยรักษาในโรงพยาบาล 92 ราย ผู้เสียชีวิตคงที่ 58 ราย ไม่มีผู้ติดเชื้อรายใหม่จากภายในประเทศ ติดต่อกันเป็นวันที่ 57
    สำหรับผู้ป่วยรายใหม่ รายที่ 1 ชายไทยกลับจากญี่ปุ่น อายุ 26 ปี เป็นนักศึกษา เดินทางถึงไทยวันที่ 7 ก.ค. ผ่านการคัดกรองพบว่ามีอาการไข้ เข้ารักษาตัวโรงพยาบาลใน จ.สมุทรปราการ ตรวจครั้งแรกไม่พบเชื้อ จากนั้นวันที่ 18 ก.ค. ตรวจเพิ่มเติมอีกครั้ง ผลพบเชื้อ และมีอาการจมูกไม่ได้รับกลิ่น ส่วนรายที่ 2-4 เป็นนักศึกษาชายไทยกลับจากอียิปต์ อายุ 20, 25 และ 28 ปี เดินทางถึงไทยวันที่ 8 ก.ค. มาเที่ยวบินเดียวกับ 8 รายที่ได้รายงานไปก่อนหน้านี้ เข้าพักในสถานที่กักตัวของรัฐ จ.ชลบุรี ตรวจหาเชื้อวันที่ 19 ก.ค. ผลตรวจพบเชื้อ ไม่มีอาการทั้งหมด และรายที่ 5 ชายไทยกลับจากซูดาน อายุ 35 ปี เดินทางถึงไทย 18 ก.ค. เที่ยวบินเดียวกับที่รายงานไปก่อนหน้านี้ 1 ราย ผ่านระบบคัดกรองด่านควบคุมโรค แต่ชายรายดังกล่าวมีอาการปวดจากโรคไส้เลื่อนจึงนำส่งโรงพยาบาลก่อน และตรวจหาเชื้อโควิด-19 ในวันเดียวกัน ผลพบเชื้อ
    ส่วนสถานการณ์ทั่วโลก ยอดผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้น 210,881 ราย ทำให้มียอดผู้ติดเชื้อรวม 14,852,700 ราย รักษาหายแล้ว 8,906,690ราย เสียชีวิต 613,213 ราย ส่วนการเดินทางเข้าประเทศในวันเดียวกันนี้มี 5 เที่ยวบิน 513 ราย
    นพ.ทวีศิลป์กล่าวว่า จากกรณีผู้ติดเชื้อจากอียิปต์และซูดาน เดินทางไปยังพื้นที่ จ.ระยองและ กทม. ทำให้มีการตรวจตัวอย่างสอบสวนโรคไปแล้วทั้งสิ้น 7,144 ราย ไม่พบเชื้อ และขณะนี้โรงเรียนต่างๆ ใน จ.ระยอง 234 โรงเรียน เปิดการเรียนการสอนแล้ว ทั้งนี้ จากเหตุการณ์ดังกล่าวทำให้เราได้เรียนรู้ร่วมกัน ซึ่ง ศบค.ชุดเล็กได้หารือถึงการตัดสินใจเปิดหรือปิดพื้นที่ต่างๆ ไม่ควรรีบดำเนินการ แต่ละจังหวัดมีคณะกรรมการโรคติดต่อที่ผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นประธานอยู่ การจะเปิดหรือปิดอะไรควรปรึกษาหารือก่อนจะดีหรือไม่ และหลังจากนี้กระทรวงสาธารณสุขอาจไปออกแบบวิธีปฏิบัติเกี่ยวกับระบบการเปิด-ปิดให้เป็นข้อปฏิบัติให้จังหวัดต่างๆ นำไปเป็นแนวทาง
ปิดประเทศไม่ได้
    โฆษก ศบค.กล่าวว่า สถานการณ์ในประเทศญี่ปุ่นที่มีการติดเชื้อเพิ่มขึ้นมาก โดยจากการศึกษาการแพร่ระบาดระลอกแรก ได้จำกัดการเดินทาง ปิดโรงเรียน แต่พอการระบาดระลอกสองแม้จะประกาศภาวะฉุกเฉินก็ยังไม่มีการล็อกดาวน์ เราจึงมาพิจารณาแนวทางการปิดเมืองแบบจำกัดวง หรือทาร์เก็ตล็อกดาวน์ คือจุดที่มีการสัมผัส โดยต้องชี้เป้าให้ชัดว่าจะปิดตรงไหน จะทำให้ควบคุมได้แทนวิธีการล็อกดาวน์ ซึ่งตรงนี้ต้องยอมรับว่าอาจมีการติดโรคกันบ้าง แต่จะระบาดหรือไม่คงต้องดูกันอีกครั้งหนึ่ง
    "คำถามที่ว่าปิดประเทศเป็นไปไม่ได้ โลกเราต้องทำการค้าซึ่งกันและกัน ประเทศก็เหมือนบ้าน จะไม่ไปมาหาสู่กันเลยไม่มีทาง แต่จะปิดเฉพาะพื้นที่ที่สำคัญ เราต้องรู้ให้เร็วว่ามีการติดเชื้อแล้วขีดวงก่อนที่จะมีการระบาด เพื่อเข้าไปจัดการ แต่หากมีการระบาดขึ้นมาเรากำลังมีการพิจารณาว่าหากมีการติดเชื้อได้วันละเท่าไหร่จึงจะรับมือได้ ช่วงที่เราระบาดหนักที่สุด ระบาดไปถึง 188 คนต่อวัน ตัวเลขตรงนั้นก็ถือว่ามากไป ในเบื้องต้นคิดว่าตัวเลขที่เราจะรับมือได้คือ 30-50 คน อย่างไรก็ตาม เศรษฐกิจต้องไปได้ การควบคุมโรคต้องไปได้ สองอย่างนี้ต้องสมดุลกัน เราต้องขอบคุณประชาชนทุกคนที่ช่วยกันเรียนรู้ดูแลสุขภาพ โรคนี้ต้องอยู่กับเราอีกนาน จึงต้องขอให้ประชาชน อึด ฮึด สู้" นพ.ทวีศิลป์ระบุ
    ต่อมาเวลา 12.45 น. พล.อ.สมศักดิ์ รุ่งสิตา เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ในฐานะประธานคณะกรรมการเฉพาะกิจพิจารณาการผ่อนคลายการบังคับใช้มาตรการในการป้องกันและยับยั้งการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ได้เข้ามาพบกับนายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ที่ห้องทำงานตึกบัญชาการ ทั้งนี้ พล.อ.ณัฐพล นาคพาณิชย์ รองผู้บัญชาการทหารบก ได้เข้าพูดคุยด้วย
      จากนั้น พล.อ.สมศักดิ์ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่มีข่าวว่าคณะกรรมการเฉพาะกิจฯ เตรียมเสนอที่ประชุม ศบค.ชุดใหญ่ ในวันที่ 22 ก.ค.นี้ พิจารณาขยายเวลาประกาศใช้พระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน (พ.ร.ก.ฉุกเฉิน) ที่จะครบกำหนดในวันที่ 31 ก.ค. ออกไปอีก 1 เดือนว่า “ให้รอฟังพรุ่งนี้”
    พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม แถลงภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ว่า วันที่ 22 ก.ค.จะมีการประชุม ศบค.ชุดใหญ่ เพื่อพิจารณาผ่อนคลายกิจการและกิจกรรมในมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดโควิด-19 ในระยะที่ 6 แต่ไม่ใช่ว่ารัฐบาลประกาศไปแล้วมีมาตรการไปแล้ว ไม่มีใครมาช่วยรัฐบาลในการดูแลพื้นที่ในทุกขั้นตอน จะต้องมีคนรับผิดชอบช่วยกันดูแลให้รอบคอบ เพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบในภายหลัง เพราะเราต้องสร้างความสมดุลให้ได้ระหว่างสุขภาพและเศรษฐกิจระดับฐานราก ซึ่งมีความเดือดร้อนมากมาย และมีทั้งคนเห็นชอบและไม่เห็นชอบ แต่ทุกคนต้องคำนึงภาพโดยรวม ซึ่งรัฐบาลจำเป็นต้องทำทั้ง 2 ด้าน
    นอกจากนี้ ในการประชุม ศบค.จะมีพิจารณาเรื่องการต่ออายุ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ที่จะครบการต่ออายุในวันที่ 31 ก.ค. ว่ามีความจำเป็นอย่างไร สิ่งสำคัญคือ พ.ร.ก.ฉบับนี้มีไว้ใช้เพื่ออะไร ซึ่งเคยพูดไว้หลายครั้งนี้ เพราะหลายกฎหมายไม่ครอบคลุม ทั้งนี้ ไม่ได้เอากฎหมายฉบับนี้ไปยุ่งเกี่ยวกับการชุมนุม เพราะมีพระราชบัญญัติการชุมนุมในที่สาธารณะอยู่แล้ว
ต่อ พรก.ฉุกเฉิน 1 เดือน
    ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่ประชุมคณะกรรมการเฉพาะกิจฯ ได้ข้อสรุปเตรียมเสนอต่ออายุ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ที่จะหมดอายุวันที่ 31 ก.ค.นี้ต่อไปอีก 1 เดือน โดยจะนำเข้าสู่ที่ประชุม ศบค.ชุดใหญ่ เพื่อให้พล.อ.ประยุทธ์ ในฐานะ ผอ.ศบค. เป็นผู้พิจารณาอีกครั้งในวันที่ 22 ก.ค.
นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข กล่าวถึงความคืบหน้าการผลิตวัคซีนป้องกันโควิด-19 ว่า ทุกอย่างมีขั้นตอน ข้ามขั้นตอนไม่ได้ เพราะการวิจัยจะต้องเป็นไปตามมาตรฐานและมีความปลอดภัย หากวิจัยเสร็จสิ้นได้ผลดี ก็ต้องดูอีกว่าผลที่ใช้รักษากับคนได้ผลไปในทิศทางใด ขณะเดียวกัน ไทยไม่ใช่พื้นที่ที่มีการแพร่ระบาด ดังนั้นขั้นตอนการทดลองกับอาสาสมัครในประเทศไทยจึงมีไม่เพียงพอ จึงต้องขอความร่วมมือกับต่างประเทศที่มีการแพร่ระบาด เพื่อเอาวัคซีนของไทยไปทดลอง ขณะนี้ทีมวิจัยกำลังหารือกับต่างประเทศ
    น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี  แถลงผลการประชุม ครม.ว่า ครม.เห็นชอบต่อการตอบรับคำเชิญต่อกรรมสารขององค์การเพื่อความร่วมมือและการพัฒนาทางเศรษฐกิจ หรือโออีซีดี ที่เกี่ยวข้องต่อการยอมรับรวมข้อมูลเรื่องการประเมินสารเคมี ทั้งนี้ ประเทศไทยจะต้องมีค่าใช้จ่ายในฐานะภาคีโออีซีดีปีละ 5,900 ยูโร หรือประมาณ 300,000 บาทต่อปี ซึ่งประโยชน์ที่ประเทศไทยจะได้รับคือ จะลดค่าใช้จ่าย ลดการกีดกันทางการค้า เป็นการรับรองพัฒนายา วัคซีน และการทดสอบความปลอดภัยผลิตภัณฑ์สุขภาพของไทย โดยเฉพาะการทดสอบความปลอดภัยของยาและวัคซีนที่ใช้รักษาโรคโควิด-19
    ที่กองบัญชาการกองทัพบก (บก.ทบ.) พล.อ.ณฐพนธ์ ศรีสวัสดิ์ ที่ปรึกษาพิเศษกองทัพบก ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 กองทัพบก (ศบค.ทบ.) แถลงถึงการเตรียมความพร้อมรับกำลังพลของกองทัพบกที่เดินทางกลับจากฝึกร่วมผสมภายใต้รหัส Lighnting forge 2020 จากมลรัฐฮาวาย ประเทศสหรัฐอเมริกา ว่าเพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชน ญาติพี่น้อง ผู้ปกครองของกำลังพล ที่มีต่อมาตรการที่ ทบ. ในวันที่ 23 ก.ค. นี้ ที่กำลังพลทั้ง 151 นาย จำนวน 1 กองร้อย ร่วมกับส่วนบังคับบัญชา จัดจากกองพันทหารราบที่ 2 กรมทหารราบที่ 3 (ร.3 พัน.2) จ.นครราชสีมา จะเดินทางกลับมาถึงท่าอากาศยานสุวรรณภูมิเที่ยวบิน TG 8087 เวลา 17.40 น. โดยต้องผ่านตรวจคัดกรองอย่างเข้มข้น และกักตัวที่สถานที่กักตัวของรัฐ ตั้งแต่วันที่ 24 ก.ค.-5 ส.ค. ที่โรงแรมแอมบาสเดอร์ จอมเทียน พัทยา จ.ชลบุรี
    “กำลังพลทุกนายจะต้องปฏิบัติตามระเบียบปฏิบัติประจำอย่างเคร่งครัด กล่าวคือไม่อนุญาตให้ออกนอกห้องพัก มีกล้อง CCTV เฝ้าตรวจตลอด 24 ชั่วโมง งดการเยี่ยมญาติ โดยได้ดำเนินการแบ่งการจัดกำลังพลออกเป็นหมวดหมู่อย่างชัดเจน ในห้วงของการกักกันตัวเป็นไปอย่างเข้มงวด และไม่ให้มีการฝ่าฝืนระเบียบปฏิบัติดังกล่าวโดยเด็ดขาด ทั้งนี้จะได้รับการตรวจหาเชื้อไวรัสโควิด-19 2 ครั้ง ในวันที่ 25 ก.ค.และ 3 ส.ค. และเมื่อครบกำหนดการกักตัวในวันที่ 6 ส.ค.63 แล้ว กำลังพลทุกนายจะได้รับหนังสือรับรอง และกองทัพบกจะจัดโดยสารนำกำลังพลส่งกลับภูมิลำเนาต่อไป" พล.อ.ณฐพนธ์ระบุ
    เมื่อถามว่า เมื่อมีการกักตัวที่พัทยาจะไม่หนีเที่ยวเหมือนทหารอียิปต์หรือไม่ พล.อ.ณฐพนธ์กล่าวว่า ไม่มีหรอก ต้องอยู่ในพื้นที่ควบคุม ระเบียบวินัยเป๊ะ และตอนอยู่ที่ฮาวายก็ไม่ได้ไปไหน เพราะเป็นพื้นที่ปิด ไม่ได้หนีเที่ยว อยู่แต่ในค่าย เป็นพื้นที่ปิด อย่างไรก็ตาม ผู้บัญชาการทหารบกอาจจะเดินทางไปรับทหารที่กลับมาจากฮาวายในวันพรุ่งนี้ที่สนามบินสุวรรณภูมิ.
   


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"