ความยากลำบากของ “ความเป็นกลาง”


เพิ่มเพื่อน    

   เห็นว่าวัน-สองวันนี้...ก็น่าจะพอได้รู้กันแบบชัดๆ จะจะแล้วว่า คณะรัฐมนตรีชุดใหม่ของท่านนายกฯ บิ๊กตู่ จะมีหน้าตาออกมาในแนวไหน อย่างไร? ส่วนจะ... ยี้-ไม่ยี้ คงถือเป็นเรื่อง รสนิยม ที่ต้องไปว่ากันเอาเอง ในแต่ละตัวบุคคล โดยหลังจากนั้นจะมี อาฟเตอร์ช็อก ตามมา อย่างที่รัฐมนตรี เรียงหิน ท่านปรารภ รำพึง เอาไว้แล้วหรือไม่ ก็คงต้องอาศัย จิตนิยม หรือต้อง นั่งทางใน ใช้ จุตูปปาตญาณ หรือใช้ ตาทิพย์ มองเอาเองก็แล้วกัน...

                      ------------------------------------------------------

            อย่างไรก็ตาม...บรรดากระทรวงที่น่าตั้งข้อสังเกต น่าคิด น่าสนใจ อาจไม่ได้เกี่ยวข้องกับ กระทรวงพลังงาน หรือ กระทรวงแรงงาน ว่าใครจะมาเป็นรัฐมนตรี หรือรัฐมนตรีช่วยกันแน่ เพราะในช่วงระยะที่ ทหารอเมริกัน และ ทหารไทย ต่างก็ไม่ได้ถึงกับหวาดกลัว หวาดระแวง ต่อเชื้อไวรัส COVID-19 กันซักเท่าไหร่นัก กระทรวงที่น่าจับตาเอามากๆ ก็น่าจะหนีไม่พ้นไปจาก กระทรวงการต่างประเทศ นั่นแล ซึ่งก็ยังไม่รู้เหมือนกันว่า ท่านรัฐมนตรีที่มีชื่อเหมือน มาเฟียอิตาลี คือท่านรัฐมนตรี ดอน ซึ่งไม่ว่าจะมีอิทธิพล บารมี ระดับคุณพ่ออเมริกาต้องโทร.มาหา ก่อนลงมือลอบสังหารนายพลอิหร่าน หรือไม่ อย่างไร ก็ตามที ท่านจะตัดสินใจ กลับบ้านไปเลี้ยงหลาน หรือยังคิดจะ ตีตั๋วต่อ รับบทเป็น ไมเคิล คอร์เลโอเน กันอีกต่อไปหรือเปล่า???

                            ---------------------------------------------------

            คืออันที่จริง...สำหรับกระทรวงกระทรวงนี้ ผู้ที่น่าจะเหมาะเอามากๆ ก็น่าจะเป็น อาจารย์เอนก ภาคีราชบัณฑิตยสภาของหมู่เฮาทั้งหลายนั่นเอง เพราะออกจะเป็นผู้ที่มีวิสัยทัศน์ ปรีชาญาณ ค่อนข้างสอดคล้องกับความเป็นไปของโลก ณ ขณะปัจจุบันและอนาคตเบื้องหน้าเอามากๆ โดยเห็นได้จากการแสดงความคิด ความเห็น ผ่านข้อเขียน บทความ ผ่านงานด้านวิชาการ อย่างเป็นระบบและเป็นกระบวนการพอสมควร แต่ค่อนข้างน่าเสียดาย...ที่ท่านยอมหันไปเอาดีทางด้านแรงงาน ก่อนถูกเอา หรือถูกขอร้องแบบไหน อย่างไร ก็มิอาจทราบได้ ให้ไปนั่งอยู่ ณ กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ฯ ซึ่งก็ไม่ถึงกับเสียหาย...แต่ออกจะ น่าเสียดาย อย่างที่ว่าไว้แล้วนั่นเอง...

            -----------------------------------------------------

            เพราะถ้าจะว่าไปแล้ว...ถึงแม้โดยพื้นฐาน รากฐาน ในด้านนโยบายต่างประเทศ หรือวิเทโศบายต่างประเทศ ของประเทศไทยแลนด์ แดนสยาม ของหมู่เฮา นับแต่โบร่ำ-โบราณ เอาเลยก็ว่าได้ อาจจัดอยู่ในประเภท ขอเป็นกลาง เอาไว้ก่อน และโดยตลอด ตามแบบฉบับ ไทยนั้นรักสงบ-แต่ถึงรบไม่ขลาด อะไรทำนองนั้น แต่การดำรง รักษา สิ่งที่เรียกว่า ความเป็นกลาง ให้เป็นจริง เป็นจัง หรือให้เกิดการยอมรับของผู้มีอำนาจในโลกแต่ละฝ่ายนั้น ย่อมไม่ใช่เรื่องง่ายๆ โดยเด็ดขาด!!! ยิ่งโดยเฉพาะโลกที่กำลังเต็มไปด้วยการแบ่งข้าง เลือกข้าง โลกที่กำลังหวนกลับไปสู่ สงครามเย็นยุคใหม่ ที่ออกจะร้ายกาจ ร้ายแรง ซะยิ่งกว่า สงครามเย็นยุคเก่า ไม่รู้กี่เท่าต่อกี่เท่า การดำรง รักษา พื้นฐานของนโยบาย หรือวิเทโศบายต่างประเทศในลักษณะที่ว่า จึงต้องอาศัยความประณีต ละเอียดอ่อน ความฉลาด ความรู้เท่าทัน ความเป็นผู้มีหู-ตากว้างไกลเอามากๆ...

                     -------------------------------------------------------

            และก็ไม่ใช่รู้แบบ รู้ข่าวล่วงหน้า ว่านายพลอิหร่านจะถูกอเมริกาวางแผนลอบสังหาร อะไรทำนองนั้น แต่ต้องรู้แบบผู้ที่มีความแจ่มชัด ในด้าน วิสัยทัศน์ หรือ ปรีชาญาณ พอหลับตานึกภาพ หรือพอจินตนาการได้ว่า แนวโน้มของโลก มันกำลังเป็นไปในแนวไหน แบบไหน อันเป็นอะไรที่มากไปซะยิ่งกว่า การรู้ข่าว หรือรู้ในสิ่งที่ผู้อื่นอยากจะให้รู้ ที่อาจกลายเป็นการ รู้แบบท่วมหัว แต่ เอาตัวไม่รอด เหมือนอย่างที่พวกญี่ปุ่น อยากให้คนไทยที่นิยมญี่ปุ่นรู้ หรือรัฐบาลอเมริกัน อยากให้คนไทยที่นิยมอเมริกันรู้ เมื่อช่วงครั้ง สงครามโลกครั้งที่ 2 นั่นแล คือรู้ไป-รู้มา สุดท้าย...ไม่เสร็จญี่ปุ่น ก็เป็นอันต้องเสร็จอเมริกาไปจนได้ หรือไม่อาจดำรง รักษา สิ่งที่เรียกว่า ความเป็นกลาง ได้อย่างเท่าที่ควรจะเป็น...

                  --------------------------------------------------------

            ส่วนในช่วงระยะนี้...ก็คงต้องยอมรับอย่างมิอาจปฏิเสธได้อีกนั่นแหละว่า บรรดาผู้ที่รู้ในสิ่งที่ อเมริกา อยากให้รู้ และบรรดาผู้ที่รู้ในสิ่งที่ จีน อยากให้รู้ ค่อนข้างมีอยู่เยอะแยะมากมายในบ้านเรา ชนิดสามารถแยกกลุ่ม แยกฝ่าย แบ่งเป็น สายจีน และ สายอเมริกา ได้แบบถนัดชัดเจน โดยทั้งสองฝ่ายนั้น ค่อนข้างจะมีบทบาท อิทธิพล มิใช่น้อย ไม่ว่าในระดับปุถุชนคนธรรมดา ระดับ มวลชน ไปจนถึงระดับนักธุรกิจ ข้าราชการ และระดับ ทหารหาญ ที่สืบมรดก ตกทอด ความสัมพันธ์อันแน่นเหนียวกับคุณพ่ออเมริกามาโดยตลอด...

                      ---------------------------------------------------------

            อันทำให้ ความรู้ ที่ไม่ได้เกิดจาก วิสัยทัศน์ และ ปรีชาญาณ หรือความรู้ที่เกิดจากการที่ฝ่ายใด ฝ่ายหนึ่ง ต้องการให้รู้นั่นเอง จึงส่งผลให้โอกาสที่จะดำรง รักษา ความเป็นกลาง อันเป็นรากฐาน พื้นฐาน ของนโยบายต่างประเทศของไทย หรือวิเทโศบายต่างประเทศของเมืองไทย อาจต้องโอนเอนไปทางหนึ่ง ทางใด ได้ไม่ยากซ์ซ์ซ์ และนั่นย่อมก่อให้เกิด อัตราเสี่ยง ไม่ว่าด้านหนึ่ง ด้านใด ขึ้นมาได้เสมอๆ ดังนั้น...ไม่ว่ารัฐมนตรีต่างประเทศในคณะรัฐมนตรีชุดใหม่ของ อดีตทหารหาญ อย่าง บิ๊กตู่ จะยังคงเป็น ดอน อะไรต่อมิอะไรก็แล้วแต่ หรือจะเป็นใครก็ตาม การหันมาให้ความสำคัญกับ วิสัยทัศน์-ปรีชาญาณ ในการมองโลก ว่ากำลังเป็นไปในลักษณะไหนกันแน่ จึงถือเป็นสิ่งสำคัญเอามากๆ เผลอๆ...อาจสำคัญซะยิ่งกว่าการเฝ้ามอง เฝ้าติดตาม ทหารอเมริกัน ว่าจะไปไหนต่อไหน หรือไม่ อย่างไร ประมาณพันเท่า หมื่นเท่า เอาเลยก็ไม่แน่!!!

                        --------------------------------------------------------

            ปิดท้ายด้วยวาทะวันนี้จาก Arleigh A. Burke”... There is never a convenient place to fight a war when the other man starts it. – ไม่มีพื้นที่แห่งใดเหมาะสำหรับการสู้ศึกสงคราม โดยเฉพาะเมื่อผู้อื่นเป็นผู้เริ่มก่อขึ้น...”.

               ---------------------------------------------------------

 

 


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"