ศีลธรรมไม่กลับมา...โลกาจะวินาศ!!!


เพิ่มเพื่อน    

 

     ฮื่ออ์อ์อ์...อันที่จริง ไม่น่าจะถึงกับต้องไปตื่นเต้ลล์ล์ล์ แตกตื่น ตกอก ตกใจ อะไรกันมากมาย กับเพียงแค่พวกเด็กๆ เขาลุกขึ้นมา ชู 3 นิ้ว หน้าเสาธง ไม่ว่าโดยสมัครใจ โดยความยินยอม พร้อมใจ หรือเพราะถูกบูลลี่-ไม่บูลลี่ ก็แล้วแต่ เพราะมันคงไม่ต่างอะไรไปจาก การแสดงออกแบบเด็กๆ ที่แทบไม่ต้องไปถือสาหาความ ไม่ต้องเสียเวลาคิดมาก คิดเล็ก คิดน้อย แต่อย่างใด...

                        -------------------------------------------

            และเอาเข้าจริงๆ แล้ว...ก็คงไม่ใช่แต่เฉพาะ เด็กไทย เท่านั้น ที่ชักออกอาการเฮี้ยว อาการฮึดๆ ฮัดๆ ปรารถนาและกระเหี้ยนกระหือรือที่จะสร้างความ เปรี้ยว ให้กับส้นมือ ส้นเท้า ของพวกคนแก่ คนชรา หรือบรรดาคนรุ่นเก่าๆ ทั้งหลาย เพราะต้องเรียกว่า...บรรดาเด็กๆ แทบจะทั่วทั้งโลกนั่นแหละ ที่ออกลักษณะอาการชนิดไม่ได้ผิดแผก แตกต่าง ไปจากกันและกันมากมายซักเท่าไหร่ เผลอๆ...อาจหนักซะยิ่งกว่า เด็กไทย ไม่รู้กี่สิบ กี่ร้อยเท่า...

                       --------------------------------------------

            อย่าง เด็กฮ่องกง หรือ กุมารฮ่องกง เป็นต้น...อันนั้น แค่คนแก่ คนชรา ดันไปพูดผิดหู ผิดใจ แค่ไม่กี่คำ ไม่กี่ประโยค เท่านั้นถึงขั้นถูกตบ ถูกโดดถีบ แถมราดน้ำมันจุดไฟเผากันแบบสดๆ ร้อนๆ ไม่ต่างไปจากเด็กอิรัก เด็กเลบานอน ไปจนถึงเด็กฝรั่งเศส เด็กเยอรมัน หรือกระทั่งเด็กผู้ดีอังกฤษก็เถอะ เคยถึงขั้นล้อมหน้า ล้อมหลัง ล้อมกรอบขบวนรถเชื้อพระวงศ์ ชนิดขยับเข้า-ขยับออก แทบไม่ได้ แม้แต่เด็กอเมริกาทุกวันนี้...ไม่ใช่เพียงแค่คิดชู 3 นิ้วเท่านั้น เรียกว่า...ลองถ้าเจอ อนุสาวรีย์ ใดๆ ก็แล้วแต่ ขึ้นมาเมื่อไหร่ มีอันต้องถูกรื้อทิ้ง ทุบทิ้ง กลิ้งไปตามถนน ตกน้ำ ตกท่า หาเศษ หาซากแทบไม่เจอ กระทั่ง อนุสาวรีย์กวางเอลก์ ที่ไม่น่าจะเกี่ยวอะไรกับมนุษย์มนา ยังถูกจุดไฟเผาแบบไม่รู้อีโหน่อีเหน่ เอาเลยแม้แต่น้อย...

                            -----------------------------------------------

            ทำไงได้ล่ะทั่น!!!...ในเมื่อ ความเป็นไปของโลก มันเป็นไปในแนวนี้มานานแล้ว แนวที่ทำให้บรรดาเด็กๆ ผู้ซึ่งเกิดและเติบโตขึ้นมาท่ามกลาง กองขยะแห่งเทคโนโลยี ซึ่งล้อมกรอบ ชำแรก แทรกซึม อยู่ในทุกๆ พฤติกรรม ทุกๆ อากัปกิริยาของพวกเด็กๆ ตั้งแต่เล็ก จนโต ตั้งแต่ตีนเท่าฝาหอย จนกลายเป็นหอยมือเสือ ก็ยังหนีไม่พ้นต้องเกี่ยวข้อง โยงใย ต้องตกอยู่ภายใต้อำนาจอิทธิพลของบรรดาเทคโนโลยีแต่ละประเภท ไม่ว่าทางหนึ่ง ทางใด อย่างมิอาจปฏิเสธและหลีกเลี่ยงได้ ยิ่งโดยเฉพาะ เทคโนโลยีดิจิตอล ที่บรรดานักวิทยาศาสตร์ระดับโลก ต่างเห็นพ้องต้องกันว่า สามารถก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม อุปนิสัย ใจคอ เปลี่ยน สมอง เปลี่ยน จิตใจ จนนำไปสู่ ความบอบบางทางสติปัญญาของเรา (Our fragile Intellect) ตามชื่อรายงานการวิจัยของนักวิทยาศาสตร์แห่งมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด อย่าง ดร. เจอรัลด์ คาร์บทรี (Gerald Crabtree) ซึ่งเคยก่อให้เกิดความฮือฮาต่อแวดวงวิทยาศาสตร์ระดับโลก เมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมา หรือเมื่อช่วงปี ค.ศ.2013 นั่นเอง...

                ------------------------------------------------------------

            ปัญหาจึงขึ้นอยู่กับว่า...เมื่อต้องเจอกับพวกเด็กๆ ที่กำลังเป็นไปในแนวนี้ จะทำยังไงกับพวกเขาดี??? จะหาทาง แก้ไข-เยียวยา หรือจะหันไปใช้พวกเขาเป็น เครื่องมือ ในการไล่ทุบ ไล่ถีบ ไล่กระทืบฝ่ายตรงข้าม ซึ่งสำหรับอย่างหลังนี้...คงไม่ถึงกับเป็นเรื่องยากซ์ซ์ซ์ แค่ออกแรงยุ ออกแรงเชียร์ หรือพยายามตอบสนองความกระเหี้ยนกระหือรือ ความกระหายใคร่อยากในลักษณะต่างๆ ของพวกเด็กเขา สรรเสริญ เยินยอ ยกย่อง เชิดชู ยิ่งถ้าถึงขั้นกลั้นใจ เลียตูด อย่างที่ ป๋าเปลว สีเงิน ท่านว่าไว้ได้ ก็ยิ่งคึกคัก โครมคราม หนักขึ้นไปใหญ่ โอกาสที่จะจุดไฟ ให้เกิดประกายไฟไหม้ลามทุ่ง ย่อมมีความเป็นไปได้ยิ่งขึ้นไปเท่านั้น...

                   ----------------------------------------------------------

            แต่ก็นั่นแหละ...ขึ้นชื่อว่า ไฟ ซะอย่าง!!! มันคงไม่ได้เอาแต่จะเผาไหม้ ฝ่ายตรงข้าม ล้วนๆ เท่านั้น โอกาสจะลุกลามกลายเป็นการ เผาบ้าน-เผาเมือง รวมทั้ง เผาเด็กๆ ควบคู่ไปด้วย ย่อมมีความเป็นไปได้เช่นเดียวกัน ด้วยเหตุนี้สำหรับผู้ที่ยังมีความรัก ความห่วงใย ความเมตตากรุณาต่อพวกเด็กๆ รวมทั้งต่อชาติบ้านเมือง คงต้องหันมาเลือกหนทางที่จะ “แก้ไข-เยียวยา” นั่นแหละ ถึงจะถูกเรื่อง หรือถึงจะเข้าท่าที่สุด และก็แน่นอนนั่นแหละว่า...มันคงไม่อาจใช้วิธีชวนกันไปรุมกระทืบพวกเด็กๆ ใช้ตีนแลกตีน หรือใช้ไฟดับไฟ อันเป็นกรรมวิธีที่ออกจะหยาบไป ถ่อยไป แถมยังไม่อาจแก้ปัญหา หรือแก้ไขและเยียวยาใดๆ ได้เลย...

                      ------------------------------------------------------------

            โดยเฉพาะถ้าหากว่ากันตามกรรมวิธีที่นักวิทยาศาสตร์ อย่าง ดร. เจอรัลด์ คาร์บทรี ท่านเคยชี้แนะ ชี้นำ เอาไว้ ด้วยการเน้นย้ำไว้ว่า เหลืออยู่เพียงแค่หนทางเดียวเท่านั้น ที่พอจะสามารถ แก้ไข-เยียวยา ความเป็นไปในลักษณะที่ว่าได้อย่างเป็นจริงเป็นจัง เป็นมรรค เป็นผล นั่นก็คือ... “เราต้องเริ่มเผชิญปัญหาดังกล่าวด้วยการยอมรับว่า ข้อมูลทางวิทยาศาสตร์กำลังบอกเราว่า วิธีที่ดีสุดในการรับมือกับปัญหาเหล่านี้ คือการอาศัย...ศีลธรรม หรือการฟื้นฟูความดีงามในหมู่มวลมนุษย์ให้กลับคืนขึ้นมาให้จงได้”

            --------------------------------------------------------------

            ซึ่งคงไม่ต่างอะไรไปจาก นักการศาสนา อย่าง ท่านพุทธทาสภิกขุ อภิมหาพระของบ้านเรา ที่เคยย้ำแล้ว ย้ำอีก ไว้ในแนวเดียวกันนั่นแหละว่า ศีลธรรมไม่กลับมา-โลกาจะวินาศ อะไรประมาณนั้น และอันที่จริง...ล้นเกล้าฯ ในหลวงรัชกาลที่ 9 ท่านน่าจะเคยทอดพระเนตรเห็น ปัญหา ที่ว่ามานานแล้ว ท่านถึงได้ทรงมอบหมายให้ หมอเษม หรือนายแพทย์ เกษม วัฒนชัย องคมนตรี ไปหาทางจัดตั้ง โรงเรียนคุณธรรม ขึ้นมาให้จงได้ แต่ก็ไม่รู้ว่า...ณ บัดนี้ ณ ขณะนี้ ไปถึงไหนต่อถึงไหนกันมั่งแล้ว เพราะถ้าหาก ศีลธรรม ไม่กลับมา หรือ คุณธรรม ดันมาล่า-มาเรือ มาช้าเกินไปกว่านี้ อันนั้นนั่นแหละ อาจต้องตื่นเต้ลล์ล์ ต้องตกอก ตกใจ กันไปตามสภาพ...

                     -------------------------------------------------------

            ปิดท้ายด้วยวาทะวันนี้จาก Plato”... Virtue does not spring from riches, and all other human blessings, both private and public, from virtue. – คุณธรรมมิได้เกิดจากทรัพย์ศฤงคาร หรือการประทานพรใดๆ คุณงามความดีของมนุษย์ทุกประการ ไม่ว่าในแง่ส่วนตัวหรือสาธารณะ ล้วนมีกำเนิดมาจาก...คุณธรรม...”.

          ----------------------------------------------------------

                                                         

 


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"