ว่าด้วยความสำคัญของ“กาลเทศะ”


เพิ่มเพื่อน    

 

 

      ดูเหมือนจะเป็น...อดีตเลขาฯ สมช. ผู้มีนามกรว่าท่าน ถวิล เปลี่ยนศรี รวมทั้งยังเป็นอดีตอะไรต่อมิอะไรอีกเยอะแยะมากมาย ส่วนปัจจุบันจะเป็นไง-มาไง ก็จำไม่ได้ซะแล้ว ที่เป็นผู้ออกมาพูด มาเน้น มาย้ำ ถึงสิ่งที่ท่านเห็นว่าน่าจะมีความสำคัญเอามากๆ ไม่ว่าในแง่ส่วนรวม หรือส่วนตัว นั่นก็คือสิ่งที่เรียกว่า... กาลเทศะ นั่นเอง...

                           -----------------------------------------------

      ถ้าจำไม่ผิด...ดูเหมือนว่าท่านเคยพูดๆ เอาไว้ตั้งแต่ต้นปีมานี้ ช่วงประมาณกลางๆ เดือนมกรา. หรือช่วงขณะที่บรรดาพวกเด็กๆ หรือพวกประเภท คนรุ่นใหม่ ทั้งหลาย กำลังมาแรง แซงโค้ง กำลังเกาะกลุ่ม รวมตัว ออกอาการฮึดๆ ฮัดๆ อะไรประมาณนั้น จะในฐานะคนแก่ คนชรา หรือในฐานะใดๆ ก็มิอาจทราบได้ แต่น่าจะด้วยความเป็นห่วง เป็นใย ความรัก ความเวทนาและสงสารด้วยความจริงใจ บริสุทธิ์ใจ นั่นแหละ ท่านเลยได้ออกมาเน้น ออกมาย้ำ ถึงความสำคัญของสิ่งที่เรียกว่า กาลเทศะ เอาไว้แบบจริงๆ จังๆ แบบไม่ได้ผิวๆ เผินๆ หรือแบบออกจะลุ่มลึก ลึกซึ้ง เอามากๆ...

                           ------------------------------------------------

      คือไม่ว่าประดาเด็กๆ หรือคนรุ่นใหม่ๆ...จะเป็นผู้รอบรู้ รู้โน่น รู้นี่ เก่งแสนเก่ง ฉลาดแสนฉลาด สามารถใช้นิ้วหัวแม่โป้ง หรือนิ้วชี้ กดนั่น กดนี่ แล้วเอาไอ้ที่กดๆ หรือที่ไหลๆ ออกมาจากกูก้ง กูเกิล มาผสมโน่น ผสมนี่ ป้ายนั่น ป้ายนี่ ต่อ เติม เสริม แต่ง จนกลายมาเป็นความฉลาด ความรอบรู้ ของ ตัวกูเอง ได้มากหรือน้อยเพียงใดก็ตาม แต่ถ้าสิ่งที่รู้ หรือบรรดาความรู้นั้นๆ มันปราศจากเสียซึ่ง กาลเทศะ ซะอย่าง!!! โอกาสที่มันจะกลายเป็นความรู้แบบ ความรู้ท่วมหัว-เอาตัวไม่รอด หรือ รู้ทุกอย่าง...แต่ดันไม่รู้จักตัวเอง อะไรประมาณนั้น ย่อมเป็นไปไม่ได้ไม่ยากซ์ซ์ซ์...

                        ---------------------------------------------------

      เพราะโดยความหมายของสิ่งที่เรียกว่า กาลเทศะ นั้น...ย่อมไม่ใช่แค่รู้แล้วๆ หรือรู้เฉยๆ แต่ท่าน ถวิล ท่านยังหมายรวมไปถึง รู้ว่าอะไรควร-ไม่ควร เหมาะ-ไม่เหมาะ สำหรับสังคมที่ตัวเองดำรงตน หรือดำรงชีพอยู่ รู้ว่าถึงเวลา-หรือยังไม่ถึงเวลา ที่จะนำเอาความรู้นั้นๆ มาใช้ให้เป็นประโยชน์ต่อตัวเองและผู้อื่น ได้อย่างเหมาะสม สอดคล้อง กับข้อเท็จจริง กับความเป็นจริงของสถานการณ์ ที่ย่อมต้องมีอันเปลี่ยนแปลงขึ้นๆ-ลงๆ เกิดขึ้น-ตั้งอยู่-และดับไป อนิจจัง-ทุกขัง-อนัตตา ไปตามสภาพ ฯลฯ นี่...ต้องเรียกว่า ไม่ได้เพียงไม่ผิวๆ เผินๆ แต่ระดับคว้านลึกไปถึงตับ-ไต-ใส่-พุง ไปถึงริดสีดวงทวารเอาเลยก็ว่าได้...

                     -----------------------------------------------------

      และบรรดา ความรู้ เหล่านี้นี่เอง...ที่พ่อเจ้าประคุณกูก้ง กูเกิล ที่ซักเคอร์เบิร์ก หรือซักอะไรต่อมิอะไรก็ตามที ฯลฯ ย่อมไม่อาจส่งมอบ ไม่อาจประทานพร ได้ด้วยการกดปุ่มโน่น ปุ่มนี่ ไม่ว่าจะกี่ปุ่ม กี่ตุ่ม ก็แล้วแต่ ด้วยเหตุที่มันเป็น ความรู้ ที่ต้องอาศัยบทเรียนและประสบการณ์ ความทุกข์-ความสุข ความเจ็บปวดรวดร้าว-ความชื่นชม ยินดี ฯลฯ ค่อยๆ สั่งสม สะสม กันไปตามลำดับขั้น หรือจนกว่าจะเกิดอาการ ตกผลึก ในสิ่งที่ตัวรู้ๆ นั่นแหละ มันถึงจะพอ เข้าถึง-เข้าใจ ว่าอะไรเหมาะ-ไม่เหมาะ ควร-ไม่ควร อะไรสามารถยังประโยชน์ให้กับตัวเองและผู้อื่น ได้อย่างสอดคล้อง กลมกลืน ไปกับข้อเท็จจริงหรือความเป็นจริงของสถานการณ์นั้นๆ รู้ว่าจังหวะไหนถึงเวลา-ไม่ถึงเวลา อะไรประมาณนั้น...

                        ----------------------------------------------------

      ด้วยเหตุนี้...คำติง คำเตือน ในเรื่อง กาลเทศะ ของท่าน ถวิล เปลี่ยนศรี นั้น ต้องถือว่าทั้งมีความสำคัญและมีประโยชน์เอามากๆ สำหรับใครก็ตามที่พอรู้สึกฉุกใจ สะกิดใจ ขึ้นมาได้มั่งว่า ระหว่างสิ่งที่เรียกว่า ความรู้ กับสิ่งที่เรียกว่า สติ-ปัญญา นั้น ยังมีอะไรที่ผิดแผก แตกต่าง กันออกไปอีกเยอะแยะมากมาย และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง...สำหรับเด็กๆ หรือสำหรับ คนรุ่นใหม่ ที่มักเป็นอะไรที่ ของขึ้น อยู่อย่างสม่ำเสมอ จนเกิดอาการคล้ายๆ ประเภท โดนของ หรือเกิดอาการ ร้อนวิชา เลยต้องออกมาทำโน่น ทำนี่ เปลี่ยนโน่น เปลี่ยนนี่ เพื่อให้ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นไปตามความปรารถนาและความต้องการของตัวเอง...

                                ----------------------------------------------------

      ความที่ไม่ เข้าถึง-เข้าใจ ว่าระหว่าง ความรู้ กับ สติ-ปัญญา มันผิดแผก แตกต่าง กันไปอย่างไรและในลักษณะไหน หรือไม่รู้จัก กาลเทศะ นี่เอง เลยทำให้ความพยายามออกเรี่ยว ออกแรง ฮึดๆ ฮัดๆ ของบรรดาเด็กๆ หรือประดาคนรุ่นใหม่ทั้งหลาย จึงอาจออกไปทาง “รู้น้อยว่ามากรู้-เริงใจ/กลกบเกิดอยู่ใน-สระจ้อย/ไป่เห็นชเลไกล-กลางสมุทร/ชมว่าน้ำบ่น้อย-มากล้น-ลึกเหลือ” หรือไม่ก็หนักไปทาง “นาคีมีพิษเพี้ยง-สุริโย/เลื้อยบ่ทำเดช-แช่มช้า/พิษน้อยหยิ่งโยโส-แมลงป่อง/ชูแต่หางเองอ้า-อวดอ้าง-ฤทธี” อะไรประมาณนั้น และนั่นเอง...ที่อาจกลายเป็นตัวนำมาซึ่ง อันตราย ให้กับตัวของตัวเอง หรือแม้กระทั่งผู้อื่นได้เสมอๆ...

                         ---------------------------------------------------------

      พูดง่ายๆ ว่า...ไม่ใช่เพียงเพราะใครคนใด-คนหนึ่ง เกิดอาการคิดร้าย เจตนาร้าย เตรียมง้างเท้า ง้างตีน กะจะไล่ถีบ ไล่กระทืบตัวเองซะร่ำไป แต่ด้วยเหตุเพราะความไม่เข้าถึง-ไม่เข้าใจ ในสิ่งที่เรียกว่า กาลเทศะ นี่แหละ ที่กลายเป็นจุดเริ่มต้น เป็นสาเหตุ เป็นเหตุปัจจัย อันนำไปสู่ อันตราย นานาประการ ต่อตัวเองและผู้อื่น หรือแม้แต่สังคมโดยรวมเอาง่ายๆ ด้วยเหตุนี้...ระหว่างที่ใครก็ตามชักเริ่มเกิดอาการ ของขึ้น โดนของ หรือ ร้อนวิชา จนต้องออกมาด่าโน่น ด่านี่ ต้องตามไปรุมกระทืบ รุมสกรัม ศิลปิน ดารา นักร้อง ในแต่ละค่าย ต้องหันไป สาดสี แม้ไม่ได้ ตีไข่ ต่อบรรดาผู้ที่ต้องทำหน้าที่ ตามคำสั่ง ตามความรับผิดชอบ ฯลฯ ยังไงๆ...ก็น่าจะต้องหันมาใคร่ครวญหวนคิด หันมาพิจารณาถึงสิ่งที่เรียกว่า กาลเทศะ เอาไว้ให้ดีๆ ก่อนที่จะกลายเป็น กบ หรือ แมงป่อง กันไปเป็นฝูงๆ...

                     -----------------------------------------------------------

      ปิดท้ายด้วยวาทะวันนี้จาก Sandra Carey”... Never mistake knowledge for wisdom; one helps you make a living; the other helps you make a life. – อย่าได้เข้าใจผิดว่าความรู้คือสติ-ปัญญาเป็นอันขาด เพราะความรู้เพียงแค่ช่วยให้ท่านมีอาชีพ ส่วนสติ-ปัญญานั้น...ช่วยให้ท่านมีชีวิตที่สมบูรณ์...”.

                -------------------------------------------------------


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"