ศบค.ทบ.ผุดกำแพง3ชั้น สกัด‘โควิด’ลามจากพม่า


เพิ่มเพื่อน    

  นายกฯ กำชับ ตร.-ทหารเพิ่มกำลังคุมเข้มชายแดนสกัดโควิดลามไทย "อนุทิน" วอนอย่าเห็นอามิสสินจ้างช่วยคนต่างด้าวหนีเข้าเมือง ได้ไม่คุ้มเสีย ยัน รพ.พร้อมรับมือ-อสม.จับตาสอดส่อง ศบค.ทบ.ชูแผนกำแพง 3 ชั้นป้องกัน สธ.เปิดไทม์ไลน์ชายเกาหลีติดเชื้อจากไทย เร่งไล่เช็กสอบสวนโรค

    เมื่อวันที่ 8 กันยายน ศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) หรือ ศบค. รายงานสถานการณ์ประจำวันว่า พบผู้ป่วยยืนยันติดเชื้อรายใหม่ 1 ราย เป็นชายชาวอินเดีย อายุ 46 ปี เดินทางจากประเทศอินเดียถึงไทยวันที่ 1 ก.ย.  และเข้าพักในสถานที่กักกัน (Alternative State Quarantine) ในกรุงเทพมหานคร พบเชื้อจากการตรวจครั้งแรกวันที่ 6 ก.ย. ไม่มีอาการ เข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลเอกชนในจังหวัดนนทบุรี ซึ่งก่อนหน้านี้พบผู้ติดเชื้อจากเที่ยวบินเดียวกัน 2 ราย สำหรับจำนวนผู้ป่วยยืนยันสะสมอยู่ที่ 3,446 ราย เป็นผู้ป่วยที่ติดเชื้อภายในประเทศ 2,445 คน และผู้ป่วยที่ตรวจพบในสถานที่กักกันที่รัฐจัดให้ 508 คน จำนวนผู้ป่วยรักษาหายแล้วอยู่ที่ 3,284 คน และยังมีผู้ป่วยรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาล 104 คน ขณะที่ยอดผู้เสียชีวิตสะสมยังคงอยู่ที่ 58 คน ไม่มีผู้เสียชีวิตเพิ่มเติม
    ที่ทำเนียบรัฐบาล ก่อนการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม กล่าวระหว่างเยี่ยมชมนิทรรศการสินค้า Maehongson Premium Maehongson Brand สินค้าและบริการจังหวัดแม่ฮ่องสอน ซึ่งได้มาประชาสัมพันธ์การจัดงาน “มหกรรมวัฒนธรรมร่วมใจ รวมไทยสร้างชาติ” ว่าในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ส่งผลให้การค้าชายแดนมีความยากลำบาก กระทบต่อรายได้แก่เกษตรกรในท้องถิ่น ซึ่งเป็นเพียงช่วงเวลาชั่วคราว ทั้งนี้ ขอให้เกษตรกรพัฒนาสินค้า ใช้การตลาดนำการผลิต เพื่อให้สินค้าจำหน่ายได้ สำหรับข้อเสนอที่จะให้เส้นทางบินเชียงใหม่-แม่ฮ่องสอนกลับมาเปิดอีกครั้ง ขอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาและประเมินความหนาแน่นของผู้โดยสารก่อนตัดสินใจอีกครั้ง
    นายกฯ กล่าวถึงการป้องกันแนวชายแดนภายหลังโควิด-19 ในประเทศเมียนมาระบาดหนักว่า ได้กำชับตลอดเวลา ซึ่งที่ผ่านมาก็มีการเพิ่มกำลังทั้งทหารตำรวจในบริเวณชายแดน
    พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ไทยได้เตรียมการอยู่แล้ว ทั้งทหาร ตำรวจ ฝ่ายปกครอง ช่วยกันป้องกันด้วยดี
    นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.สาธารณสุข กล่าวถึงกรณีที่ประชาชนมีความกังวลโควิด-19 ระบาดระลอก 2 ว่าเราต้องเข้าใจโรคโควิดว่าวิธีการป้องกันง่ายที่สุดคือการสวมหน้ากากอนามัย และทำให้การแพร่เชื้อทางเดินหายใจอื่นๆ ลดลงไปด้วย ซึ่งเป็นสิ่งที่ดี ส่วนเรื่องโควิด แม้วันนี้ยังไม่มีวัคซีน แต่กระทรวงสาธารณสุขมีความพร้อมในการควบคุมโรค เฝ้าระวังและรักษา ถ้ามีการติดเชื้อก็ไม่ใช่สิ่งที่น่ากังวลจนไม่ทำอะไรเลย เราต้องก้าวไปข้างหน้า และประเทศไทยมีพรมแดนยาว ต้องเฝ้าระวังอย่าให้มีการลักลอบเข้าเมือง ซึ่งทุกวันนี้มีอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) คอยสอดส่องดูแล เราต้องการ์ดสูงไว้ โดยเฉพาะการเฝ้าระวังตามด่านชายแดน
ล็อกดาวน์ไม่ใช่ทางออก
    "สิ่งที่ต้องระวังคือการลักลอบเข้าเมือง ซึ่งฝ่ายความมั่นคงทำเต็มที่ ขอร้องประชาชนอย่าไปอำนวยความสะดวกพวกลักลอบเข้าเมืองอย่างเด็ดขาด และหากติดเชื้อกับคนกลุ่มนี้จะอยู่ในหมู่บ้านได้อย่างไร ไม่คุ้มหรอก และที่สำคัญยังเป็นการทำร้ายประเทศ แล้วยังมีความผิดทางอาญาด้วย อย่าเห็นแก่อามิสสินจ้างเพียงน้อยนิด เพราะจะก่อให้เกิดความเสียหายอย่างมหาศาล" นายอนุทินกล่าว และยืนยันว่า ในส่วนของโรงพยาบาลตามแนวชายแดนมีความพร้อม 100 เปอร์เซ็นต์
    เมื่อถามว่า จากการตรวจสอบทราบหรือยังว่าผู้ต้องขังที่ติดเชื้อโควิดติดจากที่ใด นายอนุทินกล่าวว่า เขาทำงานตรงนั้น ต่างชาติเยอะแยะไปหมด แต่ต้องดูว่าเมื่อเขาติดแล้ว เราเจอเขาหรือไม่ เมื่อเจอเราก็รีบไปควบคุมดูแลสอบสวนโรคไป 500-600 คนที่มีความเสี่ยงสูง ส่วน ศบค.จะต้องทบทวนการเปิดสถานบันเทิงหรือไม่ คงจะต้องมีการพูดกัน พวกดื่มสาบานแก้วเดียวกัน กรีดเลือดกัน ตอนนี้ต้องไม่มี โดย ศบค.จะมีการประชุมกันเรื่อยๆ วันนี้มีผู้ว่าราชการจังหวัดหลายจังหวัดออกประกาศเพิ่มเติมเรื่องผับบาร์ และมีการปิดบางแห่งที่ไม่ปฏิบัติตามกฎระเบียบ ซึ่งเป็นเรื่องปลายเหตุ ต้นเหตุคือวินัยของเราที่อุตส่าห์สู้กันมา 9 เดือน วันนี้ประเทศไทยไม่มีการติดเชื้อกันภายใน เพราะไม่ได้เดินทางไปต่างประเทศและสัมผัสกับคนต่างประเทศ แต่เราต้องสวมหน้ากากอนามัย และควรทำเช่นนี้ต่อไปจนกว่าจะมีวัคซีน ซึ่งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครควรต้องทบทวนมาตรการตรงนี้ อย่าให้วัวหายแล้วล้อมคอก
    เมื่อถามย้ำว่า หากจะมีการเปิดผับต่อ จะมีมาตรการอะไรที่เข้มข้นหรือไม่ นายอนุทินกล่าวว่า เราจะพยายาม และที่รัฐบาลผ่อนคลายมาตรการต่างๆ เพื่อประชาชนไม่เดือดร้อน มีการจ้างงาน แต่ขอให้ดำเนินการตามมาตรการความปลอดภัยอย่างรัดกุม การจะมีอะไรนิดเดียวแล้วล็อกดาวน์ไม่ใช่ทางออก เราต้องสู้กับเชื้อโรคโควิดโดยไม่ต้องล็อกดาวน์ไปจำกัดเสรีภาพ
    พล.ต.อ.อัศวิน ขวัญเมือง ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร (กทม.) เปิดเผยความคืบหน้าการสอบสวนโรคในกลุ่มเสี่ยงสัมผัสกับดีเจผู้ต้องขังที่ติดโควิด-19 ว่าสำนักอนามัย กทม.ได้จัดทีม SWAB เพื่อหาเชื้อและสอบสวนโรคผู้สัมผัสเสี่ยงทั้งในส่วนของร้านสามวันสองคืน สาขาพระราม 3, ร้าน first cafe ถนนข้าวสาร, คอนโดฯ ที่พักอาศัยย่านทุ่งครุ, ภายในเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ และทัณฑสถานพิเศษกลางแล้ว เบื้องต้นผลการตรวจทางห้องแล็บปรากฏว่าผลเป็นลบ ไม่พบเชื้อ อย่างไรก็ตาม กทม.ได้ย้ายกลุ่มที่ใกล้ชิดและเสี่ยงสูงไปกักตัวใน Local Quarantine เพื่อติดตามและเฝ้าระวังอาการอย่างใกล้ชิด
    ส่วนผู้ที่สัมผัสเสี่ยงต่ำให้กักตัวเองเป็นเวลา 14 วัน และปฏิบัติตามมาตรการป้องกันโควิด-19 โดยจะมีการติดตามอาการอย่างต่อเนื่อง และ กทม.ได้จัดเจ้าหน้าที่เข้าไปฉีดพ่นฆ่าเชื้อในพื้นที่ทุกจุดแล้ว ส่วนสถานบันเทิงทั้ง 2 แห่ง ยังคงสั่งปิดเป็นการชั่วคราวจนกว่าสถานการณ์จะดีขึ้น
    พล.อ.ณฐพนธ์ ศรีสวัสดิ์ ที่ปรึกษาพิเศษกองทัพบก ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์บริหารสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 กองทัพบก (ผอ.ศบค.ทบ.) กล่าวถึงการป้องกันโควิด-19 ในช่วงแรงงานต่างด้าวลักลอบเข้าประเทศว่า มีความพยายามที่จะลักลอบข้ามพรมแดนเข้ามา แต่ขณะนี้กองกำลังป้องกันชายแดนได้ปรับกำลังและเตรียมมาตรการต่างๆ ในเรื่องการลาดตระเวนให้มีความเข้มข้นมากขึ้น และประสานความร่วมมือกับกระทรวงมหาดไทย และเจ้าหน้าที่ท้องถิ่นก็มีความตื่นตัว คิดว่าระยะต่อจากนี้จะต้องดำเนินการมาตรการเข้มข้น เป็นอีกเวลายาวนาน
กำแพง 3 ชั้นสกัดโควิด
    "สิ่งที่สำคัญก็คือการป้องกันและการตระหนักรู้ของคนไทยเอง โดยเฉพาะนายจ้างหรือประชาชนพื้นที่ภายใน จะต้องช่วยกันสานพลังตรงนี้ว่าจะไม่พยายามให้แรงงานต่างด้าวที่ไม่ผ่านการคัดกรองโรคเข้ามาถึงพื้นที่ภายในได้ ส่วนคนที่มีหน้าที่ป้องกันก็ทำหน้าที่ป้องกันไป ส่วนประเทศต้นทางจะต้องสานความร่วมมือในการที่จะช่วยกันดูแล เป็นกำแพงสามชั้นจะเป็นสิ่งที่มั่นคงที่สุด ทั้งประเทศต้นทาง แนวชายแดนและคนภายในที่จะต้องตระหนักรู้และรับผิดชอบ" ผอ.ศบค.ทบ.ระบุ
    ที่กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) นายแพทย์สุวรรณชัย วัฒนายิ่งเจริญชัย อธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวถึงกรณีที่มีรายงานข่าวว่าพบชายชาวเกาหลีใต้ติดเชื้อโควิด-19 หลังเดินทางกลับจากไทย เมื่อวันที่ 4 ก.ย.ที่ผ่านมานั้น ว่าหลังจากได้รับรายงานแล้ว กรมควบคุมโรคได้ประสานไปยังจุดประสานงานกฎอนามัยระหว่างประเทศของประเทศเกาหลีใต้ทันทีเพื่อสอบสวนโรค และตรวจสอบรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับบุคคลรายดังกล่าวแล้ว
        จากข้อมูลเบื้องต้นพบว่าผู้เดินทางจากไทยไปเกาหลีใต้ตรวจพบการติดเชื้อโควิด-19 ดังกล่าวเป็นเพศชาย สัญชาติเกาหลีใต้ อายุ 54 ปี เดินทางจากประเทศไทยไปที่ประเทศเกาหลีใต้เมื่อวันที่ 4 ก.ย. โดยสายการบินโคเรียนแอร์ และเวลา 07.00-11.00 น. จากสนามบินนานาชาติอินชอน นั่งรถบัสไปศูนย์สุขภาพซงทัน ที่สำหรับตรวจผู้เดินทางเข้ามาจากต่างประเทศ มีการตรวจหาเชื้อโควิด-19 ที่ศูนย์สุขภาพซงทันด้วยวิธี  RT-PCR จากนั้นก็ขึ้นรถพยาบาลไปที่บ้านเพื่อแยกกักตัว และในวันที่ 5 ก.ย. ทราบผลตรวจหาเชื้อโควิด-19 คือผลเป็นบวก ทำให้บุคคลดังกล่าวถูกย้ายตัวไปที่ศูนย์รักษาผู้ป่วยที่อันซ็อง
         สำหรับประวัติในประเทศไทย เบื้องต้นพบว่าบุคคลดังกล่าวเดินทางเข้ามาประเทศไทยเมื่อวันที่ 16 มี.ค. 2563 และพักอาศัยอยู่ในเขตวังทองหลาง กรุงเทพมหานคร ส่วนรายละเอียดอื่นๆ ขณะนี้อยู่ระหว่างตรวจสอบจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในประเทศไทย รวมถึงประวัติในการเดินทาง เช่น สถานทูตเกาหลีใต้ประจำประเทศไทย สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง (เมืองทองธานี) สถานที่(ห้างสรรพสินค้า) และการใช้ระบบขนส่ง เป็นต้น ทั้งนี้ ทีมปฏิบัติการสอบสวนควบคุมโรคของกรมควบคุมโรค ร่วมกับสำนักอนามัย กรุงเทพมหานคร และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จะเร่งดำเนินการสอบสวนโรคและตรวจสอบรายละเอียดต่างๆ โดยเร็ว หากมีความคืบหน้าจะแจ้งให้ประชาชนทราบต่อไป.
   


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"