'อัษฎางค์'ออกบทความ:ในหลวงมีรายได้ส่วนพระองค์ที่เสียภาษี โดยไม่จำเป็นต้องใช้เงินภาษีเพื่อกิจกรรมส่วนพระองค์


เพิ่มเพื่อน    

22 ก.ย.63- นายอัษฎางค์ ยมนาค นักประวัติศาสตร์ โพสต์บทความเรื่อง “ในหลวงมีรายได้ส่วนพระองค์ที่เสียภาษี โดยไม่จำเป็นต้องใช้เงินภาษีเพื่อกิจกรรมส่วนพระองค์” มีรายละเอียดดังนี้

............................................................................
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯ รัชกาลที่ 5 ทรงสนับสนุนให้เปิดในปีพุทธศักราช 2450 เพราะเล้งเห็นความสำคัญของธุรกิจการธนาคารที่มีต่อการค้าและเศรษฐกิจของประเทศนั้น

ต่อมาในปีพุทธศักราช 2456 พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 มีพระบรมราชโองการ โปรดเกล้าฯ ให้ก่อตั้ง บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด ขึ้น ด้วยพระราชประสงค์ที่จะให้ประเทศไทยผลิตปูนซีเมนต์ใช้เอง ลดการพึ่งพาการนำเข้าจากต่างประเทศ และเพื่อจัดสรรการใช้ทรัพยากรภายในประเทศอย่างคุ้มค่า

............................................................................
จุดเริ่มต้นของธนาคารเริ่มขึ้นมาพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหมื่นมหิศรราชหฤทัย เชื่อว่าประเทศไทยนั้นควรจะมีระบบธนาคารเป็นของตัวเองเพื่อคอยค้ำจุนเศรษฐกิจภายในประเทศ มากกว่าที่จะไปพึ่งพาธนาคารต่างประเทศ

จึงทำการทดลองเปิด “บุคคลัภย์” (Book club) เพื่อดูแนวโน้มความเป็นไปได้ที่ขยายเป็นกิจการระดับประเทศ ด้วยความสำเร็จของโครงการบุคคลัภย์ ทำให้พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรง พระราชทานอนุญาตให้ดำเนินการจัดตั้งธนาคารพาณิชย์ภายใต้ชื่อ “แบงก์สยาม กัมมาจล ทุนจำกัด” ในวันที่ 30 มกราคม พ.ศ. 2450 นับแต่นั้นเป็นต้นมา ธนาคารไทยพาณิชย์ก็กลายเป็นต้นแบบของธนาคารไทยทุกแห่ง

โดย ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2563 ธนาคารมีสินทรัพย์รวม 3,111 พันล้านบาท มีเงินฝาก 2,255 พันล้านบาท และมีสินเชื่อ 2,144 พันล้านบาท ธนาคารจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ตั้งแต่ พ.ศ. 2519 ปัจจุบัน ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2563 ธนาคารมีมูลค่าหุ้น ตามราคาตลาด (Market Capitalization) 246,464 ล้านบาท

............................................................................
กันยายน 2558

ธนาคารได้ขายหุ้น บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) หรือ SCC) ทั้งหมดที่ถืออยู่จำนวน 9.09 ล้านหุ้นให้กับสำนักทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ ทำให้บริษัทได้รับเงินจากการขายหุ้นดังกล่าวราว 4.47 พันล้านบาท

วัตถุประสงค์ของการขายหุ้นดังกล่าว เพื่อนำมาใช้เป็นเงินที่ชดเชยในการตั้งสำรองหนี้สงสัยจะสูญจากกรณี บริษัท สหวิริยาสตีลอินดัสตรี จำกัด (มหาชน) หรือ SSI เป็นลูกหนี้ของธนาคารฯ ประสบปัญหาการขาดทุนอย่างหนักทำให้ธนาคารต้องมีการตั้งสำรองของมูลหนี้ดังกล่าวราวราว 1.1-1.2 หมื่นล้านบาท

............................................................................
ธนาคารไทยพาณิชย์ เป็นธนาคารพาณิชย์แห่งแรกของประเทศไทย ถือได้ว่าเป็นธนาคารพาณิชย์ที่ใหญ่ที่สุด โดยมีพระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัวเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่สุด (ร้อยละ 23.35%) มีพนักงานของธนาคารมากกว่า 20,000 คน มีสาขาทั้งหมด 1,070 สาขา และเครื่องกดเงินอัตโนมัติ (ATM) 9,724 เครื่อง

ประกาศของสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ เมื่อ ๑๖ มิถุนายน 2561 ที่ว่าเป็น “คำชี้แจง การเปลี่ยนชื่อผู้ถือหุ้นจากสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ เป็นพระปรมาภิไธยสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว”

มีนัยยะประทับลงอย่างมั่นคงว่าพระเจ้าอยู่หัววชิราลงกรณ์ฯ “จะทรงจัดการทรัพย์สินนั้นตามพระราชอัธยาศัย” และ “ให้มีการเสียภาษีอากรทุกประเภทเช่นเดียวกับประชาชนทั่วไป”

จึงต้องเปลี่ยนชื่อความเป็นเจ้าของทรัพย์สินจากสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ เป็นพระปรมาภิไธยสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เพื่อให้ทรัพย์สินนั้นอยู่ในบังคับของกฎหมายต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับภาษีอากร

............................................................................
คำชี้แจงฯ แจ้งไว้ชัดแจ้งถึง “พระราชปณิธานที่จะสืบสานพระราชกรณียกิจของสมเด็จพระบูรพมหากษัตริยาธิราช” ในฐานที่รัชกาลที่ ๕ ทรงก่อตั้งแบ๊งค์ ‘สยามกัมมาจล’ (ที่กลายมาเป็นธนาคารไทยพาณิชย์) และ ร.๖ ทรงให้กำเนิดบริษัทปูนซีเมนต์ไทย

ดังนั้นพระเจ้าอยู่หัวฯ ร.๑๐ จึง “ทรงรับเป็นพระราชภาระในการดูแลกิจการเหล่านั้นด้วยพระองค์เอง” ทั้งสิ้น โดยที่ปัจจุบันสำนักงานทรัพย์สินฯ ถือหุ้นในไทยพาณิชย์ ๑๘.๑๔% เมื่อรวมกับหุ้นที่เพิ่งโอน ทำให้ในหลวงฯ วชิราลงกรณ์ทรงมีหุ้นอยู่ในธนาคารไทยพาณิชย์ ๒๑.๔๘% ทำนองเดียวกับทรงมีหุ้นปูนซีเมนต์ ๓๐.๗๖%

ทั้งหมดนี้เป็นผลจากรัฐบาล คสช.ได้ทำการเปลี่ยนแปลงพระราชบัญญัติจัดระเบียบทรัพย์สินสถาบันกษัตริย์เสียใหม่ จากฉบับ พ.ศ. ๒๔๗๙ มาเป็นฉบับ พ.ศ. ๒๕๖๐ “โดยรวมทรัพย์สินส่วนพระองค์และทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์เข้าด้วยกัน เป็นทรัพย์สิน ‘ฝ่าย’ พระมหากษัตริย์”

............................................................................
เว็บไซต์ settrade.com ของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เผยแพร่ข้อมูลการเปลี่ยนแปลงผู้ถือหุ้นของบริษัทปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) หรือ SCC

เมื่อวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2018 โดยบ่งชี้ว่าสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร ได้ทรงถือหุ้นในบริษัท จำนวน 9,070,600 หุ้น หรือคิดเป็นสัดส่วน 0.76% โดยทรงเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่เป็นอันดับที่ 15 ใน SCC

ข้อมูล ณ วันที่ 15 มีนาคม 2018 ชี้ว่าราคาหุ้นเฉลี่ยของ SCC ปัจจุบันอยู่ที่หุ้นละ 508.82 บาท

............................................................................
และนี่คือตัวอย่างรายได้ส่วนพระองค์ที่ได้จากการถือหุ้นใน 2 บริษัทมหาชนในตลาดหลักทรัพย์ ซึ่งเป็นมรดกตกทอดในราชวงศ์ เป็นทรัพย์สินส่วนพระองค์ที่แยกจากทรัพย์สินของแผ่นดิน ที่เสียภาษีถูกต้องทุกบาททุกสตางค์

คำบิดเบือนปลุกปั่นว่าทรงใช้เงินภาษีของประชาชน เพื่อกิจกรรมส่วนพระองค์ ย่อมไม่เป็นความจริง และไม่มีมูลความจริงแต่อย่างใด

หยุดเสพแต่ข่าวเท็จ แล้วบอกว่าตนเองตาสว่างมาจากการเสพแต่ข่าวปลอม ข้อมูลเท็จ

เปิดหู เปิดตาและเปิดใจ ค้นหาและอ่านข้อมูลที่ถูกต้อง คิดและพิจารณาก็จะพบความจริง.

 


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"