เด็กเอ๋ย-เด็กดี???


เพิ่มเพื่อน    

 

             คงต้องยอมรับเอาจริงๆ นั่นแหละว่า...เพลง เด็กเอ๋ย-เด็กดี ที่คุณทวด ชอุ่ม ปัญจพรรค์ พี่สาวของคุณน้า อาจินต์ ปัญจพรรค์ ผู้วายชนม์ไปนานพอสมควรแล้ว ท่านได้เนรมิตร สร้างสรรค์ เนื้อร้อง เอาไว้ตั้งแต่สมัย จอมพล ป. หรือสมัยใกล้ๆ ยุคพระเจ้าเหายังทรงใส่พระกางเกงหูรูด โดยมีคุณครู เอื้อ สุนทรสนาน ผู้วายชนม์ไปแล้วอีกเช่นกัน เป็นผู้ให้ทำนองนั้น น่าจะเป็นอะไรที่ เชยซ์ซ์ซ์ ไปแล้ว อย่างมิอาจปฏิเสธได้...

                                  -----------------------------------------------

                จึงไม่ถึงกับถือเป็นเรื่องแปลก...ที่บรรดาเด็กๆ ยุค บุญยัง กลิ่นจิต หรือยุค กล้วยน่ะครับท่านผู้ชม...กระผมบุญยัง กลั่นจิต เขาจะหยิบมาดัดแปลง นำมาเสียดสีและเยาะเย้ย ให้กลายเป็น เพลงสอนผู้ใหญ่ กันไปซะนี่ เพราะไม่ว่าจะมองกันถึงแนวทางดนตรี ตัวโน้ต การเรียบเรียงเสียงประสาน ที่อาจไม่ได้มีห้องจังหวะ หรือริทึ่มใดๆ ที่พอจะสอดคล้อง รองรับ กับเพลงรุ่นใหม่ๆ ประเภทสไตล์ฮิพ-ฮอพ แร็ปเปอร์ หรือกระทั่งเฮฟวี่ เมทัล ฯลฯ เอาเลยแม้แต่น้อย ไม่ได้สอดแทรกให้พอได้ยินเสียงกลองไฟฟ้า เสียงเครื่องดนตรีอิเล็กทรอนิกส์ หรือซินธิไซเซอร์ ไว้เลยแม้แต่นิด ดังนั้น...ครูเอื้อ...ก็ครูเอื้อเถิด!!! ย่อมหนีไม่พ้นต้องจางหายไปกับกาลสมัย ยุคสมัย อย่างมิอาจหลีกเลี่ยงและปฏิเสธ...

                                    -------------------------------------------------

                แต่ก็นั่นแหละ...ถ้ามองกันในแง่ เนื้อหา หรือในแง่คำร้อง คำประพันธ์ ที่คุณทวด ชอุ่ม ปัญพรรค์ ท่านพยายามหยิบมาสื่อเพื่อสะท้อนให้เห็นถึง นัยสำคัญ ของความเป็นเด็ก ก็คงต้องยอมรับอย่างมิอาจปฏิเสธได้อีกเช่นกันนั่นแหละว่า อาจต้องถือเป็น อกาลิโก หรือเป็นสิ่งที่ย่อมไม่ขึ้นกับกาลเวลา กับยุคสมัยใดๆ ทั้งสิ้น หรือไม่ว่าเด็กยุคไหน ต่อยุคไหน ก็ตามที ถ้ายังคงยึดมั่น ยังคงคิดจะปฏิบัติ คิดก้าวเดินไปตามแนวคิด แนวทาง ของคุณทวด ชอุ่ม ท่านแล้วล่ะก็ โอกาสที่บรรดาเด็กๆ นั้นๆ สังคมนั้นๆ ชาตินั้นๆ หรือประเทศนั้นๆ จะเจริญเติบโต ยิ่งใหญ่ เกรียงไกร ก้าวหน้าทั้งในทางโลกย์ ทางธรรม ย่อมต้องมีความเป็นไปได้สูงเอามากๆ...

                                      -------------------------------------------------

                ไม่ว่าจะไล่มาตั้งแต่ข้อที่หนึ่ง...ของความเป็น เด็กเอ๋ย-เด็กดี...ต้องมีหน้าที่ 10 อย่างด้วยกัน คือตั้งแต่ต้อง นับถือศาสนา ไม่ว่าจะเป็นพุทธ คริสต์ อิสลาม ฮินดู เชน ไปจนถึงโซโรอัสเตอร์ ฯลฯ ก็แล้วแต่ หรือกระทั่งผู้ที่พยายามเอ่ยอ้างว่าตัวเอง ไม่นับถือศาสนา เพื่อก่อให้เกิดความเก๋ ความเท่ ใดๆ ก็ตามที แต่ถ้ายังคง ยึดมั่นในธรรม นั่นก็ต้องถือเป็น ศาสนา ในอีกรูปแบบหนึ่ง หรือต้องถือเป็น หน้าที่ ที่สำคัญเอามากๆ ในการ อยู่ร่วมกันโดยสันติ ของผู้คนในสังคม ที่จะต้องมีสิ่งเหล่านี้ หรือยึดในสิ่งเหล่านี้ไว้เป็นประการแรก เช่นเดียวกับหน้าที่ประการที่สอง คือต้อง รักษาธรรมเนียมมั่น หรือ รักษาธรรมให้มั่น นั่นเอง อันถือเป็น พื้นฐาน ของสังคมทั่วทุกสังคม ที่จะต้องอาศัย ธรรม เป็นตัวกำกับ ตัวรองรับรากฐานเอาไว้ด้วยกันทั้งสิ้น...

                                     -------------------------------------------------

                ส่วนหน้าที่ในประการที่สาม...ที่เสนอให้ต้อง เชื่อพ่อ-แม่-ครูอาจารย์ นั้น ถ้ายังไม่คิดแค่ว่าตัวเองก่อกำเนิดเกิดมาเพียงเพราะ พ่อมม์ม์ม์ และ แม่มม์ม์ม์ ต้องการ เอามันซ์ซ์ซ์ เพียงอย่างเดียวเท่านั้น หรือถ้ายังไม่ถูกดึงหู ถูกเฆี่ยน ถูกตี โดยปราศจากเหตุปราศจากผล การเชื่อๆ บรรดาบุคคลเหล่านี้เอาไว้ก่อน ก็ไม่น่าจะถึงกับเสียหาย เสียรังวัดมากมายซักเท่าไหร่ เช่นเดียวกับหน้าที่ประการที่สี่ที่เสนอให้ ส่วนวาจานั้น...ต้องสุภาพ-อ่อนหวาน ก็คงไม่ต่างไปอีกเช่นกัน เพราะประเภทที่หนักไปทาง กล้วยค่ะ หรือ กล้วยนะครับ...ท่านผู้ชม มาถึงบัดนี้...ก็น่าจะเป็นที่รับรู้ รับทราบ กันไปแล้ว ว่ามีแต่ เสีย...กับ...เสีย ไม่ได้ช่วยให้อะไรดีงามขึ้นมาเลย ทั้งเสียแนวร่วม เสียรังวัด รวมทั้งเสียสุนัข ไปซะอีกต่างหาก...

                                    ---------------------------------------------------

                สำหรับประการที่ห้า ประการที่หก ประการที่เจ็ด ไม่ว่า ห้าต้องยึดมั่นกตัญญู-หกเป็นผู้รู้รักการงาน-เจ็ดต้องศึกษาให้เชี่ยวชาญ ต้องมานะ บากบั่น ไม่เกียจ-ไม่คร้าน นั้น ล้วนแล้วแต่ถือเป็น คุณสมบัติ ที่ไม่ว่าสังคมไหนๆ ประเทศไหนๆ จะประชาธิปไตยหรือเผด็จการก็เถิด ล้วนแล้วแต่ปรารถนาและต้องการไปด้วยกันทั้งสิ้น เพราะออกจะเป็นคุณสมบัติที่มีคุณค่า ราคา ซะยิ่งกว่าประเภท เสรีภาพ-เสมอภาค-ภราดรภาพ ซึ่งมักถูกหยิบมาพ่นไป-พ่นมา ไม่ต่างไปจาก นกแก้ว-นกขุนทอง ไม่รู้กี่เท่าต่อกี่เท่า เนื่องจากในโลกแห่งความเป็นจริงนั้น อะไรต่อมิอะไรที่ว่านี้ มันมักต้องกลายเป็น มายาภาพ ไปด้วยทั้งสิ้น...

                                   --------------------------------------------------

                การ รู้ลึก-รู้จริง หรือรู้แบบไม่ใช่ ความรู้ท่วมหัวแต่เอาไม่รอด รู้ว่าอะไรเหมาะ-ไม่เหมาะ ควร-ไม่ควร ถูกต้องตามกาลเทศะหรือไม่ ประการใด เลยคงหนีไม่พ้นต้องนำเอาข้อเสนอแนะในประการที่แปด ประการที่เก้า และประการที่สิบ ไม่ว่า แปดรู้จักออมประหยัด เก้าต้องซื่อสัตย์ตลอดกาล น้ำใจนักกีฬากล้าหาญ ให้เหมาะกับกาลสมัยชาติพัฒนา ไปจน สิบบำเพ็ญตนให้เป็นประโยชน์ รู้บาปบุญ คุณ โทษ สมบัติชาติต้องรักษา จึงเป็นอะไรที่มากซะยิ่งกว่าคำชี้แนะ ชี้นำธรรมดาๆ แต่ถือเป็นสิ่งที่ช่วยให้สามารถอยู่รอด เอาตัวรอดได้ไม่ยากซ์ซ์ซ์ โดยเฉพาะใน สังคมทุนนิยม ที่ไม่ว่าใครก็เถอะต่างต้องถูกเอารัด-เอาเปรียบมาตั้งแต่เกิด ไปจนกว่าจะสิ้นสุดที่เชิงตะกอนเอาเลยก็ว่าได้...

                                   -------------------------------------------------

                ด้วยเหตุนี้...แม้ว่าอะไรต่อมิอะไรมันจะ เชยซ์ซ์ซ์แสนเชยซ์ซ์ซ์ ยังไงก็แล้วแต่ แต่ก็ยังถือเป็นข้อชี้แนะ ชี้นำ ที่เป็น ประโยชน์ เอามากๆ อย่างน้อยก็น่าจะดีกว่าคำชี้แนะ ชี้นำ ของบรรดาพวกที่ชอบ เลียตูดเด็ก ทั้งหลาย ที่พยายามออกแรงยุ ออกแรงเชียร์ ให้เด็กๆ ออกไป ตาย เพื่อจะได้เป็น เทพ ให้ ถูกจับ เพื่อจะได้เป็น วีรชน ขณะที่ ตัวกูเอง รอสอย รองาบ ผลพวงแห่งความฉิบหาย แบบชนิดกระสันสั่นเร่าๆ เป็นอย่างยิ่ง...

                                 ------------------------------------------------------

                ปิดท้ายด้วยวาทะวันนี้ จาก Tom Clancy... “The difference between reality and fiction? Fiction has to make sense. – ความแตกต่างระหว่างชีวิตจริงกับนวนิยายน่ะหรือ??? ก็เพราะนิยายยังจำเป็นที่จะต้องอาศัยความสมเหตุสมผลอยู่อีกนั่นเอง...”

                                -----------------------------------------------------

 


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"