'ดร.นิว'เสนอยกระดับสภาองคมนตรีให้เป็น'สภาที่ปรึกษาแห่งชาติ'ฟื้นฟูสถาบันฯเพื่อประชาธิปไตย


เพิ่มเพื่อน    

6 ต.ค.63- ดร.ศุภณัฐ อภิญญาณ หรือ "ดร.นิว" นักวิจัยภายใต้สถาบันวิจัย MAST Center และ คณะวิศวกรรมชีวการแพทย์ University of Arkansas ประเทศสหรัฐอเมริกา โพสต์จดหมายเปิดผนึกถึง สภาองคมนตรี และประชาชนทั่วไป ผ่านเฟซบุ๊ก Suphanat Aphinyan ระบุข้อความว่า
.
จากการที่ม็อบปลดแอกมีความพยายามในการยื่นข้อเสนอปฏิรูปสถาบันฯ 10 ข้อ ถึงองคมนตรี ผ่านทางท่าน ผบช.น. เมื่อวันที่ 20 กันยายน ที่ผ่านมา
.
ข้าพเจ้าขอคัดค้านข้อเสนอปฏิรูปสถาบันฯ 10 ข้อ ของม็อบปลดแอก เนื่องจากผิดต่อหลักวิชาและไม่ได้แสดงถึงเจตนาอันดีต่อสถาบันฯ อีกทั้งยังมีข้อเสนอที่ใส่ร้ายป้ายสีต่อสถาบันฯอีกด้วย เริ่มตั้งแต่ข้อแรกก็ผิดต่อหลักวิชาที่จะยกเลิกความคุ้มกันของพระมหากษัตริย์ เพราะความคุ้มกันของพระมหากษัตริย์ตามมาตรา 6 เป็นหลักพื้นฐานสากลซึ่งปรากฏอยู่ในนานาอารยประเทศในระบอบการปกครองเดียวกัน และไม่มีประเทศไหนในโลกที่จะยกเลิกความคุ้มกันของพระมหากษัตริย์เช่นนั้น
.
หากแต่ข้าพเจ้าเห็นว่ามีความจำเป็นที่จะต้องฟื้นฟูสถาบันฯเพื่อประชาธิปไตย เนื่องจากสถาบันฯอยู่เคียงข้างประชาชนชาวไทย และวางรากฐานของระบอบประชาธิปไตยมาตั้งแต่ต้น แต่บทบาทในการสร้างระบอบประชาธิปไตยของสถาบันฯกลับถูกบ่อนทำลายและบิดเบือนโดยคณะราษฎร ซึ่งเป็นต้นเหตุที่แท้จริงของปัญหาความเป็นประชาธิปไตยที่ไม่สมบูรณ์ เพราะคณะราษฎรถืออำนาจอธิปไตยของคนส่วนน้อย และไม่ได้ทำอำนาจอธิปไตยให้เป็นของปวงชนตามแนวทางของพระมหากษัตริย์ นับตั้งแต่การเลิกทาสของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ตลอดจนกระทั้งการสละพระราชอำนาจส่วนใหญ่ที่มีมาแต่เดิมของพระมหากษัตริย์ให้เป็นของปวงชนโดยทั่วกันของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ดังนั้นจึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องฟื้นฟูสถาบันฯให้กลับมามีบทบาทสำคัญในการสร้างระบอบประชาธิปไตยที่สมบูรณ์ให้กับประชาชน เพื่อสะท้อนให้เห็นถึงสายสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นระหว่างสถาบันฯกับประชาชนชาวไทย ซึ่งเป็นอัตลักษณ์เฉพาะตัวของชาติไทยที่มีมาแต่โบราณ
.
ข้าพเจ้าได้แนบ “ข้อเสนอฟื้นฟูสถาบันเพื่อประชาธิปไตย 10 ข้อ” ซึ่งข้าพเจ้าได้โพสต์ลงใน Facebook: Suphanat Aphinyan เมื่อวันที่ 27 กันยายน พ.ศ. 2563 โดยความส่วนหนึ่ง ข้าพเจ้าได้เสนอให้มีการยกระดับสภาองคมนตรีให้เป็น “สภาที่ปรึกษาแห่งชาติ” นำไปสู่การมีส่วนร่วมของประชาชนและสนับสนุนการเมืองภาคประชาชนให้เข้มแข็ง เพื่อให้ราชการของพระมหากษัตริย์ในส่วนนี้มีการประสานงานและความใกล้ชิดประชาชนมากยิ่งขึ้น อันจะสามารถช่วยให้เข้าถึงปัญหาที่แท้จริงของประชาชน ตลอดจนสามารถบำบัดทุกข์บำรุงสุขให้แก่ประชาชนได้อย่างกว้างขวางและมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น สอดคล้องกับหลัก “เข้าใจ เข้าถึง พัฒนา” ของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช และอยู่บนพื้นฐานของหลัก “ราชประชาสมาสัย” ที่สะท้อนให้เห็นถึงความเกื้อกูลซึ่งกันและกันระหว่างพระมหากษัตริย์กับประชาชนชาวไทย
.
ด้วยความเคารพอย่างสูง
นาย ศุภณัฐ อภิญญาณ
.
5 ตุลาคม พ.ศ. 2563
.
__________________
.
ข้อเสนอฟื้นฟูสถาบันเพื่อประชาธิปไตย 10 ข้อ
.
การสละพระราชอำนาจส่วนใหญ่ที่มีมาแต่เดิมของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ในหลวงรัชกาลที่ 7 คือ การทำอำนาจอธิปไตยให้เป็นของปวงชน ซึ่งได้เปิดโอกาสให้ประชาชนทุกคนเป็นเจ้าของประเทศร่วมกันเรียบร้อยแล้ว
.
แต่คณะราษฎรกลับยึดอำนาจอธิปไตยของปวงชนชาวไทยมาเป็นของคณะราษฎรเสียเอง ทำให้อำนาจอธิปไตยตกอยู่ในมือของคนส่วนน้อยซึ่งก็คือคณะราษฎร ที่ใช้คำว่า “ราษฎร” เป็นยี่ห้อจอมปลอมหลอกลวงราษฎรทั้งประเทศ เพราะหลัก 6 ประการของคณะราษฎรเป็นแค่ปาหี่ขายฝัน ไม่ได้มีสาระของการทำอำนาจอธิปไตยให้เป็นของปวงชนแต่อย่างใด รัฐธรรมนูญของคณะราษฎรทุกฉบับก็ล้วนแต่หลอกลวงประชาชน เพราะมีแต่ "อำนาจอธิปไตยมาจากปวงชน" ไม่ใช่ "อำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชน"
.
นับตั้งแต่ พ.ศ. 2475 เป็นต้นมา อำนาจอธิปไตยปวงชนเป็นจริงแค่ในกระดาษ และไม่เคยมาถึงมือของประชาชนอย่างแท้จริง ปัจจุบันปัญหาทั้งหมดอยู่ในรัฐสภาที่ผู้แทนราษฎรซึ่งมาจากการเลือกตั้งโดยประชาชน ไม่ได้เป็นตัวแทนของประชาชน แต่ผู้แทนราษฎรกลับเป็นตัวแทนของนายทุนผู้มีอำนาจเหนือพรรคการเมือง สุดท้ายอำนาจอธิปไตยปวงชนจึงตกอยู่ในมือของคนมีเงินเพียงแค่ไม่กี่คน
.
ระบอบเผด็จการของคนส่วนน้อยที่เกิดขึ้นตั้งแต่ พ.ศ. 2475 ฉกฉวยอำนาจอธิปไตยของประชาชน เป็นต้นเหตุของปัญหาความเป็นประชาธิปไตยที่ไม่สมบูรณ์ และความเข้าใจผิดๆที่ทำให้สถาบันฯ ซึ่งอยู่ในฐานะประมุขแห่งรัฐพลอยเสื่อมเสียพระเกียรติไปด้วย แต่ความเป็นจริง สถาบันฯ ถูกทำให้อยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญมาตั้งแต่ต้น ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับระบอบเผด็จการดังกล่าว ในทางตรงกันข้าม สถาบันฯ เป็นผู้เลิกทาส วางรากฐานของชาติและประชาธิปไตยให้กับประชาชนมาตั้งแต่แรก ดังนั้นจึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องฟื้นฟูสถาบันฯ และประชาธิปไตยเพื่อประโยชน์ของชาติและประชาชนอย่างแท้จริง ยุติปัญหาความขัดแย้งระหว่างประชาชน นำไปสู่การทำอำนาจอธิปไตยให้เป็นของปวงชนโดยสมบูรณ์
.
1.ปรับลดบทลงโทษของ ม.112 ให้กลับไปเป็นดังเดิม หรือสอดคล้องกับมาตรฐานสิทธิมนุษยชนสากล และจัดให้มีหน่วยงานเฉพาะในการพิจารณาบังคับใช้กฎหมาย เพื่อความเป็นธรรมและไม่ระคายเคืองต่อเบื้องพระยุคลบาท
.
2.ยกเลิกการโหวตนายกรัฐมนตรี แล้วให้อำนาจในการแต่งตั้งนายกฯ เป็นของพระมหากษัตริย์โดยตรง บนพื้นฐานของการฟังเสียงประชาชน เช่นเดียวกับประเพณีการปกครองของประเทศอื่นๆในระบอบการปกครองเดียวกัน ที่พระมหากษัตริย์มักจะทรงแต่งตั้งผู้ที่ประชาชนให้การสนับสนุนสูงสุดเป็นนายกฯ เมื่อผลการเลือกตั้งเป็นเอกฉันท์ และมีกลไกพิเศษอย่างใดอย่างหนึ่งในการคัดเลือกและเสนอชื่อผู้ที่เหมาะสมที่สุดให้พระมหากษัตริย์ทรงแต่งตั้ง เมื่อผลการเลือกตั้งไม่เป็นเอกฉันท์
.
3.ปฏิรูปสภาองคมนตรีเป็น “สภาที่ปรึกษาแห่งชาติ” ทำงานร่วมกับตัวแทนของประชาชนผู้ทรงคุณวุฒิ ขยายหน้าที่ในการให้คำปรึกษาแนะนำ และเป็นศูนย์กลางในการประสานงานระหว่างทุกภาคส่วนในประเทศตั้งแต่พระมหากษัตริย์ตลอดจนประชาชนทั่วไป เปิดโอกาสให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการให้คำปรึกษา และตรวจสอบการทำงานของรัฐบาล
.
4.กำหนดให้นายกฯ หรือคณะรัฐมนตรีต้องเข้าเฝ้าฯ ถวายรายงานการทำงานให้พระมหากษัตริย์ทรงทราบเป็นประจำทุกเดือน หรือรายงานผ่านการประชุมร่วมกับสภาที่ปรึกษาแห่งชาติ
.
5.ให้สภาที่ปรึกษาแห่งชาติมีส่วนในการรับทราบ และตรวจสอบความโปร่งใสในการแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการประจำระดับสูง เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมในระบบราชการ ปราศจากการแทรกแซงโดยฝ่ายการเมือง และเป็นไปเพื่อประโยชน์ของประชาชน
.
6.ให้รัฐสภาจัดทำงบประมาณแผ่นดินซึ่งเกี่ยวข้องกับสถาบันฯ โดยตรงอย่างเหมาะสม ในนามของ “งบประมุขแห่งรัฐ” แยกออกจากงบอื่นๆอย่างชัดเจน เพื่อไม่ให้เกิดความสับสนหรือเข้าใจผิด อันจะส่งผลให้เกิดความระคายเคืองต่อเบื้องพระยุคลบาท
.
7.ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับ “งบประมุขแห่งรัฐ” จะต้องทำรายงานชี้แจง การดำเนินงานและการนำงบประมาณแผ่นดินไปใช้ต่อสาธารณชน เพื่อให้เกิดความโปร่งใส เป็นประโยชน์สูงสุดต่อประเทศชาติและประชาชน
.
8.สนับสนุนการสร้างสังคมประชาธิปไตยที่มีความเจริญและมีความเป็นอารยะ รู้จักเคารพสิทธิเสรีภาพส่วนบุคคลของผู้อื่น รวมถึงส่งเสริมสิทธิเสรีภาพส่วนบุคคลของสถาบันฯ ให้มีความทัดเทียมกับต่างประเทศ เช่น Freedom of Information (FOI) Act ของประเทศอังกฤษ และ Media Code ของประเทศเนเธอร์แลนด์
.
9.กระจายอำนาจอธิปไตยและขยายอำนาจท้องถิ่นไปสู่ประชาชน เพื่อให้ประชาชนมีส่วนร่วมกำหนดนโยบายที่มีความสอดคล้องกับท้องถิ่น ควบคู่ไปกับนโยบายจากส่วนกลาง แล้วสถาปนา “สภาที่ปรึกษาจังหวัด” ภายใต้การสนับสนุนของสภาที่ปรึกษาแห่งชาติ เปิดโอกาสให้ประชาชนผู้มีความรู้ความสามารถเข้ามาร่วมกันพัฒนาจังหวัด และต่อต้านการคอรัปชั่นในระดับท้องถิ่น
.
10.สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรทุกคนจะต้องรายงานผลการทำงานของตนเองต่อสภาที่ปรึกษาแห่งชาติและเผยแพร่ต่อสาธารณชนเป็นประจำทุกเดือน เพื่อให้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเป็นตัวแทนของประชาชนอย่างแท้จริง อีกทั้งยังเปิดโอกาสให้มีการปรึกษาหารือกับสภาที่ปรึกษาแห่งชาติ เพื่อสร้างความเข้าใจ เข้าถึงและแก้ไขปัญหาของประชาชนร่วมกันอย่างเป็นระบบ
.
"เมื่อฟ้าสีทองผ่องอำไพ ประชาชนจะเป็นใหญ่ภายใต้ร่มพระบารมี"
 


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"