วิกฤตโควิด19 ต่อธุรกิจ SMEs หลังสิ้นสุดการพักหนี้เดือนตุลาคม 2563


เพิ่มเพื่อน    

     

 

                  มาตรการช่วยเหลือผลกระทบการแพร่ระบาดโควิด 19 ระยะที่หนึ่งจากธนาคารแห่งประเทศไทย โดยการพักชำระดอกเบี้ยต้นเงินให้แก่ผู้ประกอบการธุรกิจเป็นระยะเวลา 6 เดือนจะสิ้นสุดลงในวันที่ 22 ตุลาคม 2563  ลูกหนี้ที่ได้รับการเยียวยาช่วยเหลือรวมมูลค่า 6.9  ล้านล้านบาท จำนวน 12.13 ล้านบัญชี  เป็นลูกหนี้ SMEs รวมมูลค่า 2.14 ล้านล้านบาท จำนวน 1.12 ล้านบัญชี   มาตรการช่วยเหลือระยะที่สอง ให้ สถาบันการเงินติดตามดูแลลูกหนี้อย่างต่อเนื่อง โดยให้ติดต่อลูกหนี้ไปเยี่ยมกิจการ เพื่อประเมินผลกระทบรวมทั้งจัดทำช่องทางให้ลูกหนี้แจ้งสถานะและความประสงค์ในการรับความช่วยเหลือเพิ่มเติม เช่น การปรับปรุงโครงสร้างหนี้ มาตรการช่วยเหลือระยะที่สาม การเตรียมมาตรการรองรับการฟื้นตัวของธุรกิจในระยะต่อไป โดยลูกหนี้ธุรกิจที่มีเจ้าหนี้หลายรายสามารถสมัครเข้าร่วมโครงการ DR BIZ ซึ่งเป็น one stop service ให้ลูกหนี้ได้ติดต่อเจ้าหนี้ เพื่อแก้ไขหนี้เดิม และมีโอกาสได้สินเชื่อใหม่

                        ในขณะที่ลูกหนี้รอมาตรการระยะที่สอง ที่ให้สถาบันการเงินช่วยเหลือโดยการปรับปรุงโครงสร้างหนี้    ประเด็นที่น่าสนใจก็คือการบริหารสินเชื่อมีความรัดกุมสูง    มีการตรวจสอบข้อมูลลูกหนี้อย่างละเอียดโดยทีมสินเชื่อและทีมบริหารความเสี่ยงทำหน้าที่ตรวจสอบถ่วงดุลข้อมูลเป็นครั้งที่สองเพื่อความรอบคอบ      ดังนั้นการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ให้ลูกหนี้เป็น ราย ๆ จึงไม่ใช่เรื่องง่ายและใช้เวลาจากการถ่วงดุลดังกล่าว  ข้อมูลจึงเป็นเรื่องที่สำคัญมาก เช่น ในช่วงเวลา 6 เดือนที่ได้รับความช่วยเหลือหยุดพักชำระหนี้ ลูกหนี้มีผลประกอบการเป็นอย่างไร  ความพยายามเพิ่มช่องทางหารายได้เพิ่ม   การลดค่าใช้จ่าย รวมถึง  การปรับเปลี่ยนโมเดลธุรกิจ    ลูกหนี้ที่สามารถในการปรับตัวเองได้ดีกว่า จะสามารถสร้างความมั่นใจให้สถาบันการเงินในการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ได้ชัดเจนรวดเร็วกว่า รวมถึงอาจนำไปสู่ความช่วยเหลือในระยะที่สามด้วยสินเขื่อใหม่  แต่ทั้งนี้ไม่ได้หมายความว่าลูกหนี้จะไม่สามารถได้รับการปรับปรุงโครงสร้างหนี้หากไม่ได้ทำอะไรอย่างมีนัยสำคัญ

                  สถาบันการเงินจะไม่สามารถรับรู้รายได้หากลูกหนี้ไม่สามารถชำระดอกเบี้ยหรือให้ลูกหนี้หยุดพักชำระดอกเบี้ยและต้นเงิน รวมถึงต้องมีค่าใช้จ่ายจากการตั้งสำรองหนี้เสีย กำไรลดลงหรือถึงขั้นขาดทุน และส่งผลถึงความมั่นคงทางการเงิน

                   ลูกหนี้บางกลุ่มที่ยังคงพอมีความสามารถในการชำระหนี้ได้อาศัยจังหวะนี้หยุดพักหนี้ไปด้วยหรือที่เรียก strategic     ซึ่งกลุ่มนี้ที่สถาบันการเงินคงต้องตรวจสอบพร้อมทั้งขอความร่วมมือในการชำระหนี้เพื่อประคับประคองให้ทุกฝ่ายสามารถผ่านวิกฤตโควิด19  ไปด้วยกัน

 

                       ความน่าเป็นห่วงอย่างมากที่สุดในขณะนี้คงหนีไม่พ้นภาคธุรกิจท่องเที่ยว  ที่สร้างรายได้สร้างชื่อเสียงให้ประเทศอย่างต่อเนื่องตลอดมา  ตามสถิติรายได้จากการท่องเที่ยวของไทยในปี2562 รวมตัวเลขกลม ๆ 3 ล้านล้านบาทแบ่งเป็นรายได้  2 ล้านล้านบาทจากนักท่องเที่ยวต่างประเทศจำนวน 40 ล้านคน และ    1 ล้านล้านบาทจากนักท่องเที่ยวไทย คิดกันเร็ว ๆ ในปี 2563 นี้จำนวน 2 ล้านล้านบาทจากนักท่องเที่ยวต่างประเทศหายไป

                     หมายความว่าในปี 2563 รายได้จากธุรกิจท่องเที่ยวจะหายเกือบร้อยละ 70  คนไทยที่อยู่ในห่วงโซ่ธุรกิจท่องเที่ยว 10 ล้านคน ไม่ว่าเป็นโรงแรม บริษัทนำเที่ยว มัคคุเทศน์ สปา ร้านขายของที่ระลึก   ได้รับผลกระทบอย่างรุนแรง  พนักงานถูกเลิกจ้าง คนตกงาน  จนเมื่อเริ่ม “ โครงการเราเที่ยวด้วยกัน “ โรงแรมร้านค้าทยอยกลับมาเปิดกิจการ ผมได้คุยกับพนักงานโรงแรมแห่งหนึ่งที่หาดทับแขกจังหวัดกระบี่ซึ่งเพิ่งกลับมาเปิดให้บริการเมื่อเดือนกันยายนที่ผ่านมา   มีพนักงานเพียง20 คนถูกเรียกกลับมาทำงานจากทั้งหมด 80 คน นั่นหมายถึง 60 คนหรือร้อยละ 75 ยังคงต้องตกงาน

                        ผู้ประกอบการ SMEs ธุรกิจท่องเที่ยว จะรับมืออย่างไรกับการชำระหนี้สถาบันการเงิน   ตั้งแต่เกิดวิกฤตโควิด19 เป็นต้นมา การล็อคดาวน์เมือง การปิดสนามบินไม่ให้มีการเดินทางระหว่างประเทศ ไม่มีนักท่องเที่ยวต่างประเทศ การค้าขายระหว่างประเทศลดลงโดยรวมร้อยละ 10 – 20   เป็นสภาพที่ไม่ปกติเป็นอย่างยิ่ง  เมื่อลูกหนี้ในภาคธุรกิจท่องเที่ยวไม่มีรายได้หรือรายได้ลดลงอย่างมีนัยสำคัญ   การปรับปรุงโครงสร้างหนี้คงหนีไม่พ้นเรื่องการพักชำระดอกเบี้ยและต้นเงินออกไปอย่างน้อยอีก 3 เดือน เมื่อสัญญาณการท่องเที่ยวดีขึ้นจากการเดินทางท่องเที่ยวในประเทศ หรือการขยายผลจากกลุ่มนักท่องเที่ยวสเเชียล ทัวริสต์ วีซ่า ( STV )  ลูกหนี้ก็จะเริ่มสามารถจ่ายดอกเบี้ยได้เต็มจำนวน และจนกว่าสภาวการณ์ระบาดโควิด19จะหยุดยั้งโดยวัคซีนซึ่งยังมีความไม่แน่นอน   เรื่องระยะเวลาอาจจะนานถึง 1-2 ปี  สัญญาณการชำระหนี้จึงจะเริ่มกลับมาปกติ  

                       การปรับปรุงโครงสร้างหนี้ในครั้งนี้จึงนับเป็นวิบากกรรมของสถาบันการเงินซึ่งต้องเผชิญกับลูกหนี้ที่มีปัญหาพร้อม ๆ กันเป็นจำนวนมาก  เฉกเข่นเดียวกับวิกฤตต้มยำกุ้ง ปี 2540 ซึ่งปัญหาเริ่มต้นที่ประเทศไทย ส่งผลให้เกิดหนี้เสียในระบบสถาบันการเงินเป็นจำนวนมาก มีการจัดตั้งกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน เพื่อแก้ไขวิกฤต  ขณะที่ปี 2563 ลูกหนี้ขาดสภาพคล่องเนื่องจากรายได้หายไปจากพิษโควิด19 อย่างเสมอภาคทั่วโลก   รัฐบาลของประเทศต่าง ๆ ได้ออกมาตรการช่วยเหลือบรรเทาผลกระทบเป็นระยะ ๆ

                   การปรับปรุงโครงสร้างหนี้ให้ลูกหนี้ SMEs ตามมาตรการช่วยเหลือระยะที่สอง  ผมหวังว่าความพยายามแยกแยะลูกหนี้ที่เป็น strategic จะไม่ทำให้สถาบันการเงินไม่สามารถช่วยเหลือลูกหนี้ที่ต้องการความช่วยเหลือจริง ๆ ได้ทันเวลา    หรือหากการแก้ไขวิกฤตครั้งนี้ต้องใช้เวลาเนินนานออกไปด้วยเหตุผลใดก็ตามที่เป็นปัจจัยลบต่อระบบเศรษฐกิจของไทย  เช่น ความวุ่นวายทางการเมืองในประเทศ  ความขัดแย้งสหรัฐ-จีน  เป็นต้น   จะส่งผลให้เกิดหนี้เสียในสถาบันการเงินจำนวนมาก  

                  หากประเทศไทยยังคงให้ความสำคัญในธุรกิจท่องเที่ยว ควรใช้โอกาสนี้ในการปฎิรูปเพื่อรับการเปลี่ยนแปลง ไม่ว่าจากการท่องเที่ยววิถีใหม่ ( new normal ) การใช้ digital technology พัฒนาความสามารถในการแข่งขันของผู้ประกอบการ  ไม่ต้องรอให้ลูกหนี้เป็นหนี้เสียเกินเยียวยา

                       การใช้แนวทาง  “  การจัดกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนา SMEs ภาคการท่องเที่ยว  “  อาจเป็นคำตอบ   เพื่อรับโอนหรือซื้อทรัพย์สินของผู้ประกอบการนำเงินไปชำระหนี้ให้สถาบันการเงินแล้วมีข้อตกลงให้ผู้ประกอบการซื้อคืนในภายหลังโดยสถาบันการเงินเดิมยินดีให้การสนับสนุนวงเงินในการซื้อคืน   เปรียบได้ว่าเป็นการยิงกระสุนนัดเดียวแก้ปัญหาได้ทั้ง SMEs และปัญหาหนี้เสียของสถาบันการเงิน    โดยที่ผู้ประกอบการต้องยินยอมดำเนินการตามแนวทางปฎิรูปธุรกิจท่องเที่ยว

                       ไม่ว่าจะใช้มาตรการช่วยเหลือแบบใดก็ตาม ผมก็เพียงหวังให้เกิดผลลัพธ์ที่เป็นประโยชน์ต่อทุกฝ่าย  เพื่อไม่ให้เกิดโศกนาฎกรรมทางเศรษฐกิจ การล้มละลายจากไปของ SMEs ภาคการท่องเที่ยว  เกิดหนี้เสียจำนวนมากในสถาบันการเงิน  โดยมีผู้ร้ายตัวจริงที่ชื่อโควิด19

วงศกร   พิธุพันธ์

กลุ่มนโยบายสาธารณะเพื่อสังคมและธรรมาภิบาล

บทความคอลัมน์ เวทีพิจารณ์นโยบายสาธารณะ


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"