ไบเดน:เวลารักษาอเมริกา


เพิ่มเพื่อน    


    สิ้นสุดการรอคอย "โจ ไบเดน" โค่น "โดนัลด์ ทรัมป์" ลงจากเก้าอี้ประธานาธิบดีสำเร็จ แถลงประกาศชัยชนะระบุนี่คือเวลารักษาบาดแผลยุติความแตกแยกในประเทศและทำให้อเมริกาได้รับการยอมรับจากทั่วโลกอีกครั้ง ด้าน “ทรัมป์” ยังไม่ยอมรับความพ่ายแพ้ แต่ผู้นำหลายชาติรีบแสดงความยินดีต่อชัยชนะของไบเดน
    รายงานของสำนักข่าวต่างประเทศกล่าวว่า ผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐที่ชาวอเมริกันและทั่วโลกเฝ้ารอคอยมานาน 4 วัน ได้บทสรุปเมื่อวันเสาร์ที่ 7 พฤศจิกายนที่ผ่านมาตามเวลาสหรัฐ หลังจากผลการนับคะแนนของรัฐเพนซิลเวเนียเสร็จสิ้นลงและโจ ไบเดน ชนะประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ด้วยคะแนน 49.6% ต่อ 49.1% ทำให้ไบเดนมีจำนวนคณะผู้เลือกตั้งเกิน 270 เสียงที่ต้องการเพื่อชัยชนะ และเครือข่ายสถานีโทรทัศน์หลายแห่งและหน่วยงานทำนายผลเลือกตั้งประกาศว่า ไบเดนคือผู้ชนะการเลือกตั้งได้เป็นประธานาธิบดีคนที่ 46 ของสหรัฐ โดยเขาได้คะแนนสนับสนุนจากชาวอเมริกันมากเป็นประวัติการณ์เกิน 74.5 ล้านคน
    ไบเดน ซึ่งจะอายุครบ 78 ปีในเดือนนี้ และจะเป็นประธานาธิบดีที่อายุมากที่สุดในประวัติศาสตร์ของสหรัฐเมื่อรับตำแหน่งในวันที่ 20 มกราคม 2564 ขึ้นกล่าวสุนทรพจน์ประกาศชัยชนะเมื่อค่ำวันเสาร์ ซึ่งตรงกับเช้าวันอาทิตย์ของไทย พร้อม ส.ว.คามาลา แฮร์ริส ว่าที่รองประธานาธิบดีของเขา ซึ่งจะสร้างประวัติศาสตร์เป็นรองประธานาธิบดีหญิงคนแรก, รองประธานาธิบดีผิวดำคนแรก และรองประธานาธิบดีที่มีเชื้อสายเอเชียคนแรกของสหรัฐ ไบเดนสัญญาว่า เขาจะไม่แบ่งแยก แต่จะทำให้ผู้คนในประเทศนี้รวมเป็นหนึ่ง ผู้คนอีกกว่า 70 ล้านคนที่สนับสนุนทรัมป์นั้น พวกเขาไม่ใช่ศัตรูแต่ทั้งหมดคืออเมริกันด้วยกัน
    "สำหรับพวกคุณทุกคนที่ลงคะแนนให้ประธานาธิบดีทรัมป์ ผมเข้าใจความผิดหวังในคืนนี้ ตัวผมก็เคยแพ้มาหลายครั้ง แต่ตอนนี้ เราควรให้โอกาสกัน ถึงเวลาละทิ้งถ้อยคำรุนแรง ลดอุณหภูมิลง แล้วมาพบเจอกัน มาฟังอีกฝ่ายกันอีกครั้ง” เขากล่าวต่อหน้าผู้สนับสนุนที่มารวมตัวกันอย่างจำกัดแบบไดรฟ์อินตามมาตรการป้องกันการระบาดของโควิด ที่เมืองวิลมิงตัน รัฐเดลาแวร์ บ้านของเขา "นี่คือเวลาของการรักษาในอเมริกา" 
    ไบเดนยังให้คำมั่นว่าจะฟื้นฟูสภาวะปกติในทำเนียบขาวหลังจากความโกลาหลอลหม่านในยุคของประธานาธิบดีทรัมป์ ผู้ที่ยกย่องผู้นำต่างชาติหลายรายที่เป็นเผด็จการ, ตัดรอนประเทศที่เคยเป็นพันธมิตรของอเมริกามาช้านาน, ปัดการปฏิเสธกลุ่มที่เชื่อในคติคนขาวเป็นใหญ่ และยังบ่อนทำลายความชอบด้วยกฎหมายของระบบการเลือกตั้งของสหรัฐ 
    "คืนนี้ ทั้งโลกกำลังมองดูอเมริกา และผมเชื่อว่า อเมริกาที่ดีที่สุดของพวกเราคือไฟนำทางสำหรับโลกใบนี้" ไบเดนกล่าว และว่า เขาจะ "ทำให้อเมริกาได้รับการยอมรับจากทั่วโลกอีกครั้ง"
    ไบเดนยังให้ความสำคัญกับการควบคุมการแพร่ระบาดของโควิด-19 ซึ่งคร่าชีวิตแล้วมากกว่า 237,000 คน โดยบอกว่างานสำคัญลำดับแรกของเขาคือการพัฒนาแผนควบคุมและฟื้นฟูจากโรคระบาดนี้ โดยจะปรับปรุงการเข้าถึงการตรวจเชื้อ และวันจันทร์นี้เขาจะตั้งคณะทำงานเฉพาะกิจที่รวมถึงนักวิทยาศาสตร์ชั้นนำหลายคน
    ด้านทรัมป์ ซึ่งเป็นประธานาธิบดีคนแรกนับจากจอร์จ บุช ปี 2535 ที่พ่ายแพ้การเลือกตั้งสมัยที่ 2 และเคยปฏิเสธจะถ่ายโอนอำนาจอย่างสันติหากเขาแพ้ กำลังตีกอล์ฟที่สนามของเขาในรัฐเวอร์จิเนียช่วงที่สื่อพากันประโคมข่าวว่าไบเดนชนะเลือกตั้ง กล่าวหาไบเดนว่ารีบวางท่าผิดๆ ว่าเป็นผู้ชนะ "การเลือกตั้งครั้งนี้ยังไม่จบ" ทรัมป์กล่าว
    เขาและทีมงานของเขายื่นฟ้องท้าทายผลคะแนนในหลายรัฐสมรภูมิที่เป็นรัฐชี้ขาดผลการเลือกตั้ง แต่เจ้าหน้าที่ในรัฐต่างๆ ยืนยันว่าไม่มีหลักฐานการทุจริตเลือกตั้งที่มีนัยสำคัญ ผู้เชี่ยวชาญทางกฎหมายหลายคนกล่าวว่า ความพยายามของทรัมป์เพื่อเปลี่ยนแปลงผลเลือกตั้งนั้นไม่น่าจะสำเร็จ
    ผู้นำของหลายประเทศทั่วโลกพากันแสดงความยินดีต่อไบเดนในฐานะว่าที่ผู้นำคนใหม่ของชาติมหาอำนาจแห่งนี้ นางอังเกลา แมร์เคิล นายกรัฐมนตรีเยอรมนีเป็นคนแรกๆ ที่แสดงความยินดีกับไบเดน เช่นเดียวกับนายกฯ บอริส จอห์นสัน ของอังกฤษ, ประธานาธิบดีเอมมานูเอล มาครง ของฝรั่งเศส, นายกฯ จัสติน ทรูโด ของแคนาดา และเลขาธิการองค์การนาโต
    นายกฯ โยชิฮิเดะ ซูกะ ของญี่ปุ่น และนายกฯ นเรนทรา โมดี ของอินเดีย เป็นผู้นำสองชาติใหญ่ในเอเชียที่แสดงความยินดีกับไบเดนอย่างรวดเร็ว แต่ยังไม่มีท่าทีจากจีนและรัสเซีย ส่วนประธานาธิบดีฮัสซัน โรฮานี ของอิหร่าน กล่าวว่า ชัยชนะของไบเดนเป็นโอกาสที่สหรัฐจะชดเชยความผิดพลาดที่แล้วมาและกลับคืนสู่เส้นทางแห่งการยึดมั่นในพันธสัญญาระหว่างประเทศ ขณะที่นายกฯ เบนจามิน เนทันยาฮู แห่งอิสราเอล พันธมิตรใกล้ชิดทรัมป์ ก็แสดงความยินดีต่อไบเดนด้วยโดยบอกว่าเขาเป็นเพื่อนที่ดีของอิสราเอล
    ชัยชนะของไบเดนทำให้ผู้สนับสนุนเขาและผู้ที่ต่อต้านทรัมป์ออกมาเฉลิมฉลองกันตามท้องถนนในหลายเมืองใหญ่ของสหรัฐ ที่กรุงวอชิงตัน ดี.ซี.นั้นเสียงดังอึกทึกเป็นพิเศษ ทั้งเสียงแตร เสียงเคาะภาชนะและเสียงดนตรี ที่ย่านบรูกลินของนิวยอร์ก ผู้ที่ได้ยินข่าวพากันกรีดร้องดีใจ หลายคนออกมาเต้นรำและร้องตะโกนด้วยความสะใจ บรรยากาศในเมืองใหญ่อื่นๆ ที่เป็นฐานเสียงของเดโมแครต เช่น ฟิลาเดลเฟียและลอสแองเจลิส ก็ครึกครื้น ท้องถนนมีผู้คนออกมาฉลองและบีบแตรรถยนต์ ใกล้กับทำเนียบขาวที่เป็นแหล่งชุมนุมของกลุ่มแบล็กไลฟ์แมตเทอร์หลายพันคน พวกเขาตื่นเต้นยินดีและเมื่อขบวนรถของทรัมป์เดินทางกลับเข้าทำเนียบขาว ก็พากันเปล่งเสียงโห่ฮาใส่
    อย่างไรก็ดี บรรยากาศของอีกหลายเมือง ผู้ที่สนับสนุนทรัมป์ออกมาชุมนุมกันด้วยอารมณ์ปะปนกันทั้งผิดหวัง คลางแคลง และยอมรับความพ่ายแพ้ ในรัฐแอริโซนาซึ่งยังนับบัตรไม่เสร็จและผลคะแนนยังสูสี ผู้สนับสนุนทรัมป์เกือบ 1,000 คนรวมตัวที่เมืองฟินิกซ์ประท้วงว่าโดนขโมยผลการเลือกตั้ง ที่รัฐมิชิแกนและเพนซิลเวเนียก็มีผู้สนับสนุนทรัมป์ออกมาชุมนุม "หยุดการขโมย" ด้านนอกอาคารรัฐสภาของรัฐ ที่เมืองแฮร์ริสเบิร์กของเพนซิลเวเนีย ผู้สนับสนุนสองฝ่ายที่มีกันฝ่ายละประมาณ 100 คน เผชิญหน้ากัน แต่ไม่มีรายงานเหตุการณ์รุนแรงอย่างที่หลายฝ่ายกลัว 
    พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้มีสารแสดงความยินดีต่อนายโจ ไบเดน โดยมีใจความว่า "ข้าพเจ้าขอแสดงความยินดีกับ ฯพณฯ โจ ไบเดน และวุฒิสมาชิก คามาลา แฮร์ริส ในโอกาสที่ท่านได้รับชัยชนะในการเลือกตั้ง และได้รับความไว้วางใจจากประชาชนชาวอเมริกัน ประเทศไทยในฐานะมิตรประเทศที่มีความสัมพันธ์กับสหรัฐอเมริกามายาวนานมากกว่า 200 ปี และเรายังเป็นประเทศแรกในภูมิภาคเอเชียที่ตกลงเป็นภาคีของสหรัฐ เราภาคภูมิใจในความเป็นหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ระหว่างกัน ซึ่งได้สร้างประโยชน์นานัปการแก่ไทยและสหรัฐ รวมถึงความสงบสุข เสถียรภาพ และความมั่งคั่งของภูมิภาคนี้ข้าพเจ้าในนามรัฐบาลไทยและประชาชนชาวไทย ขออวยพรให้ท่านประสบความสำเร็จ และหวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะได้ร่วมทำงานกับท่านและรัฐบาลของท่านในการเสริมสร้างความร่วมมือระหว่างกันในทุกระดับต่อไป".


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"