วังวนม็อบเปลี่ยนตัวผู้เล่น ตำรวจรับบท 'หนังหน้าไฟ'


เพิ่มเพื่อน    

       สถานการณ์การเมืองเข้าขั้นระอุ 2 ขั้วตั้งการ์ดสูง ไม่มีใครยอมใคร ม็อบคณะราษฎรยกระดับการชุมนุมตั้งแต่วันที่ 17 พ.ย.ที่ผ่านมา นำมวลชนปิดล้อมรัฐสภาขณะพิจารณาร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ 7 ฉบับ นอกสภาเดือดยิ่งกว่า เมื่อแกนนำม็อบคณะราษฎรที่นำโดย นายพริษฐ์ ชิวารักษ์ หรือเพนกวิน นายอรรถพล บัวพัฒน์ หรือครูพี่ใหญ่ นายจตุภัทร์ บุญภัทรรักษา หรือไผ่ ดาวดิน นายอานนท์ นำภา นำมวลชนเพื่อเข้ายึดพื้นที่หน้าอาคารรัฐสภา กดดันให้ร่างฉบับ “ไอลอว์” ที่กลุ่มคณะราษฎรเชื่อว่าร่าง รธน.ฉบับนี้จะเป็นทางออกของประเทศ

            ร่างรัฐธรรมนูญยังถกกันไม่ถึงครึ่งทาง มวลชน 2 กลุ่มตีโอบถนนสามเสน หน้า บ.บุญรอดฯ และแยกเกียกกายเพื่อฝ่าแนวกั้น กองกำลังตำรวจควบคุมฝูงชนหลายกองร้อยที่พร้อมยุทโธปกรณ์ตั้งรับตามยุทธวิถี พร้อมประกาศเตือนห้ามรุกล้ำเข้ามาในระยะ 50 เมตร ตามประกาศพื้นที่ควบคุม มวลชนไม่สนใจ ประกาศเดินหน้าเข้ารื้อเครื่องกีดขวาง ตำรวจต้องฉีดน้ำสกัด ตามมาตรฐานสากลจากเบาไปหาหนัก ต่อด้วยน้ำผสมแก๊สน้ำตา แต่ก็ไม่สามารถต้านแรงมวลชนได้ สามารถเข้ายึดพื้นที่หน้ารัฐสภาได้ก่อนฟ้ามืด ซึ่งเจ้าหน้าที่ยอมถอยร่นเพื่อไม่ให้เกิดการปะทะกับผู้ชุมนุม

            แต่การชุมนุมครั้งนี้เข้าขั้นรุนแรง เมื่อม็อบชนม็อบ ฝ่ายเสื้อเหลืองหรือกลุ่มปกป้องสถาบัน ที่เข้าพื้นที่มาตั้งแต่ช่วงเช้าเพื่อยื่นคัดค้านการร่างแก้รัฐธรรมนูญยังไม่ยอมกลับ ปักหลักที่แยกเกียกกายฝั่งถนนทหาร เมื่อมวลชนคณะราษฎรฝ่าตำรวจเข้ามาได้จึงเกิดการปะทะกันของม็อบทั้ง 2 ฝ่าย ปรากฏภาพความรุนแรงของคนไทยด้วยกันฆ่าฟันกันได้รับบาดเจ็บทั้ง 2 ฝ่าย “ตำรวจ” กลายเป็นจำเลยของม็อบคณะราษฎร ปล่อยให้เสื้อเหลืองเข้ามาทำกิจกรรมได้ แต่กลับใช้ความรุนแรงกับผู้ชุมนุมคณะราษฎร และจงใจให้เกิดม็อบชนม็อบ ปล่อยให้คนเสื้อเหลืองมาทำร้ายฝั่งตรงข้ามผู้เห็นต่างทางการเมือง

            “สำนักงานตำรวจแห่งชาติ” จึงเป็นเป้าหมายของม็อบปฏิบัติการเอาคืน “ฉีดมาสาดกลับ” ระดมมวลชนปิดล้อม “กรมปทุมวัน” สาดสี ฉีดพ่นใส่ป้ายสำนักงานตำรวจแห่งชาติและบริเวณโดยรอบจนไม่เหลือสภาพเดิม ซึ่งเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ปฏิบัติหน้าที่อยู่ภายในไม่มีการตอบโต้แต่อย่างใด ม็อบกล่าวอ้างเป็นการชุมนุมโดยสันติ แต่ผลกลับย้อนแย้ง ทรัพย์สินของราชการเสียหายหนัก โดยเฉพาะที่หน้ารัฐสภา รถฉีดน้ำความดันสูง รถน้ำ รถตู้ของเจ้าหน้าที่ตำรวจถูกทำลายพังยับเยินหลายคัน ทรัพย์สินทางราชการสูญหายหลายรายการ ส่วนที่หน้า สตช. นอกจากถูกละเลงสีทำลายป้าย กล้องวงจรปิด รถยนต์ได้รับความเสียหายเช่นกัน แม้กระทั่งกำแพงวัดปทุมวนาราม ซึ่งเป็นศาสนสถานยังถูกกลุ่มมวลชนที่เรียกตัวเองว่าม็อบปัญญาชนฉีดพ่นสีได้รับความเสียหาย

            ไม่ใช่ครั้งแรกที่ “สำนักงานตำรวจแห่งชาติ” ถูกผลักให้อยู่ฝ่ายตรงข้ามม็อบการเมือง เมื่อมองย้อนกลับไปเมื่อปลายปี 56-57 เป็นการชุมนุมของกลุ่มคณะกรรมการประชาชนเพื่อการเปลี่ยนแปลงประเทศไทยให้เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข หรือ กปปส.ไม่พอใจการทำงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ถูกอ้างเป็นขี้ข้ารัฐบาล กลุ่มเครือข่ายนักศึกษาประชาชนปฏิรูปประเทศไทย หรือ คปท.ซึ่งเป็นหนึ่งในเครือของ กปปส. เข้าทำการปิดล้อมสำนักงานตำรวจแห่งชาติและทำลายป้าย ฉีดพ่นสีเสียหายทั้งหมด

            การทำงานของตำรวจทั้ง 2 เหตุการณ์เหมือนกัน คือ ทำตามกฎหมาย ตามอำนาจขอบเขตที่ให้ไว้ โดยยึดหลักมาตรฐานสากล ส่วนผู้ชุมนุมละเมิดกฎหมายจึงต้องถูกดำเนินคดี เหตุการณ์ คปท.ครานั้นถูกดำเนินคดี 21 คน ส่วนม็อบคณะราษฎร เจ้าหน้าที่อยู่ระหว่างพิสูจน์ตัวบุคคล และตรวจสอบทรัพย์สินที่เสียหาย เพื่อดำเนินการเอาผิดกับกลุ่มผู้ชุมนุม โดยเฉพาะรถฉีดน้ำแรงดันสูงจีโน่ที่แยกเกียกกายเสียหาย 3 คัน ที่จัดซื้อจากต่างประเทศ ตกคันละ 25 ล้านบาท ยังไม่รวมทรัพย์สินอื่นที่เสียหายหลายรายการ ทั้งรถผู้ต้องขัง รถตู้ และยุทโธปกรณ์ที่ถูกกลุ่มผู้ชุมนุมทำลาย

            ตำรวจจึงเป็น “หนังหน้าไฟ” เป็นคู่กรณีของทุกม็อบทุกสี ตำรวจหลายหมื่นนายจึงถูกเกณฑ์จากต่างจังหวัด สลับสับเปลี่ยนกำลังกันตลอด 24 ชม.ในการรักษาความสงบสถานที่ราชการและสถานที่สำคัญตั้งแต่เดือน ก.ย.ที่ผ่านมา ซึ่งยังไม่มีท่าทีจะหาทางลงได้ อุณหภูมิความรุนแรงเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เมื่อม็อบคณะราษฎรนัดชุมนุมบิ๊กเซอร์ไพรส์อีกครั้งวันที่ 25 พ.ย. ที่สำนักงานทรัพย์สินพระมหากษัตริย์ และชุมนุมต่อเนื่อง 7 วัน ถือเป็นการยกระดับการชุมนุมขึ้นมาอีกสเต็ป เพื่อท้าทายอำนาจรัฐ และเป็นการแจ้งล่วงหน้าที่ไม่เหมือนกับทุกครั้งที่ผ่านมา จะไปชุมนุมที่ไหนจะแจ้งก่อนเพียงไม่กี่ชั่วโมง ซึ่งการนัดหมายชุมนุมที่สำนักงานทรัพย์สินพระมหากษัตริย์ จุดประสงค์เพื่อให้เกิดภาพความรุนแรง

            “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้ออกแถลงการณ์ด่วน “รัฐบาลและทุกฝ่ายพยายามหาทางออกเพื่อสันติเพื่อรักษาผลประโยชน์ของบ้านเมืองและประชาชนส่วนใหญ่ แต่สถานการณ์ไม่มีท่าทีจะบรรเทาลง มีแนวโน้มจะไปสู่ความขัดแย้งที่รุนแรงมากขึ้น หากปล่อยไว้จะเกิดความเสียหายต่อประเทศชาติและสถาบันอันเป็นที่รักยิ่งและความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน จึงต้องบังคับใช้กฎหมายทุกฉบับทุกมาตราที่มีอยู่กับผู้ชุมนุมที่ฝ่าฝืนกฎหมาย ให้เป็นไปตามกระบวนการยุติธรรมของประเทศ ที่สอดคล้องกับหลักการสากล”

            เชื้อไฟรอวันประทุ ม็อบคณะราษฎรยืนยันจะเดินหน้าให้ถึงเป้าหมาย 3 ข้อเรียกร้อง “ถอยถือว่าแพ้” ไม่มีการเจรจาใดๆ ทั้งสิ้นอีกต่อไป ตามประกาศของนายกฯ มาตรา 112 ถูกกลับมาใช้อีกครั้ง ความผิดมาตรา 112 บัญญัติไว้ "ผู้ใดหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาท หรือผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 3 ปีถึง 15 ปี" ซึ่งทางตำรวจรับลูกพร้อมนำใครเข้าข่ายความผิดดำเนินคดีทันที

                ตำรวจจึงต้องรับบทเป็นทั้งพระเอกและผู้ร้าย อยู่ท่ามกลางความเห็นต่าง โดยยึดรัฐศาสตร์และนิติศาสตร์ เพื่อให้กฎกติกาบ้านเมืองเดินไปในทิศทางเดียวกัน โดยมีทั้งคนพอใจและไม่เห็นด้วย ตำรวจคือผู้ปฏิบัติ ตำรวจมีหน้าที่บังคับใช้กฎหมาย ตำรวจไม่ใช่คู่ขัดแย้งของใคร ละเว้นถือว่ากระทำผิดกฎหมายเสียเอง หัวโขน “ตำรวจ” คือตัวกำหนดหน้าที่ของผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ เมื่อถอดหัวโขนเขาก็คือคนธรรมดา เป็นพ่อ เป็นแม่ เป็นลูก มีครอบครัวคอยห่วงใยอยู่เบื้องหลัง เขาไม่ได้มาสู้รบกับใคร อย่าจ้องทำร้ายเขาเพียงมองอยู่ฝั่งตรงข้าม อย่าให้ประวัติศาสตร์อันเลวร้ายกลับมาซ้ำรอย ม็อบมาแล้วก็ไป แต่ตำรวจต้องใกล้ชิดรับใช้ประชาชนยันเกษียณอายุราชการ.   

 

 

 


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"