โล่ง!65คนเสี่ยงไม่พบเชื้อ เร่งหา51รายสัมผัสผู้ป่วย


เพิ่มเพื่อน    


    ไทยป่วยเพิ่ม 11 ราย กลับจากต่างประเทศอยู่ในสถานกักกันรัฐ สธ.เผยตรวจ 65 คนเสี่ยงสูง เคสสาวเชียงใหม่ไม่พบโควิด เชียงรายลุ้นผลเพื่อนวัย 26 ที่ลักลอบมาจากเมียนมาด้วยกัน เร่งหาตัวผู้สัมผัส 51 คน เจอโชเฟอร์ส่งเข้าขนส่งแม่สายสั่งกักตัวแล้ว นายกฯ กำชับผู้ว่าฯ คุมเข้มชายแดนสกัดหนีเข้าเมือง
     เมื่อวันที่ 29 พฤศจิกายน ศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) หรือ ศบค. รายงานสถานการณ์ประจำวันว่า ประเทศไทยมีผู้ติดเชื้อรายใหม่เพิ่มขึ้น 11 ราย ในสถานที่กักกันของรัฐ ทำให้มียอดผู้ป่วยยืนยันสะสม 3,977 ราย ยอดหายป่วยสะสม 3,800 ราย มีผู้ป่วยรักษาในโรงพยาบาล 117 ราย ยอดผู้เสียชีวิตสะสมคงที่ 60 ราย
    สำหรับผู้ป่วยรายใหม่รายที่ 1 เดินทางมาจากสหรัฐอเมริกาเป็นพระสงฆ์ สัญชาติไทย อายุ 52 ปี ส่วนรายที่ 2 และรายที่ 3 เดินทางมาจากประเทศลิเบีย โดยเป็นนักศึกษาชาย สัญชาติไทย อายุ 25 ปี และนักศึกษาชาย สัญชาติไทย อายุ 26 ปี, รายที่ 4 เดินทางมาจากประเทศโมซัมบิก เป็นชาย สัญชาติไทย อายุ 60 ปี อาชีพค้าขาย, รายที่ 5 เดินทางมาจากอิตาลี เป็นหญิง สัญชาติไทย อายุ 37 ปี, รายที่ 6 เดินทางมาจากฝรั่งเศส เป็นชาย สัญชาติฝรั่งเศส อายุ 55 ปี อาชีพพนักงานบริษัท, รายที่ 7 เดินทางมาจากปากีสถาน เป็นชาย สัญชาติปากีสถาน อายุ 42 ปี อาชีพเกษตรกร, รายที่ 8 และรายที่ 9 เดินทางมาจากเกาหลีใต้ โดยเป็นหญิง สัญชาติไทย อายุ 33 ปี อาชีพพนักงานโรงงาน และชายสัญชาติไทย อายุ 40 ปี อาชีพพนักงานโรงงาน, รายที่ 10 เดินทางมาจากโอมาน เป็นหญิง สัญชาติโอมาน อายุ 23 ปี อาชีพธุรกิจส่วนตัว และรายที่ 11 เดินทางมาจากคูเวต เป็นชาย สัญชาติคูเวต อายุ 28 ปี 
    ที่กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) นพ.โสภณ เอี่ยมศิริถาวร ผู้อำนวยการกองโรคติดต่อทั่วไป กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข เปิดเผยความคืบหน้ากรณีหญิงไทยวัย 29 ปี ป่วยโรคโควิด-19 ที่ จ.เชียงใหม่ โดยกลับจากเมียนมาว่า เมื่อวันที่ 28 พ.ย.ที่ผ่านมา ทีมสอบสวนโรคได้ทำการติดตามผู้สัมผัสและตรวจหาเชื้อ โดยทำการตรวจกลุ่มเสี่ยงสูงไปแล้ว 65 ราย ผลไม่พบเชื้อ อย่างไรก็ตาม ยังคงต้องกักตัวต่อจนครบ 14 วัน ซึ่งทางคณะกรรมการโรคติดต่อ จ.เชียงใหม่ ได้จัดสถานที่กักกันผู้สัมผัสเสี่ยงสูง และเน้นย้ำผู้สัมผัสทุกรายให้สังเกตอาการผิดปกติอย่างใกล้ชิด หากพบอาการผิดปกติจะถูกตรวจหาเชื้อซ้ำ และแยกกักในโรงพยาบาล สำหรับผู้สัมผัสที่กักกันตัวที่บ้าน จะมีการประสานให้หน่วยปฏิบัติการป้องกันโควิด-19 ระดับหมู่บ้าน ดูแลและประเมินจนกว่าจะครบ 14 วัน
    "ขอความร่วมมือผู้ประกอบการโรงแรม ที่พัก คอนโดมิเนียม และประชาชน ช่วยกันเป็นหูเป็นตา หากพบบุคคลแปลกหน้าหรือพบผู้เดินทางที่ไม่ผ่านการกักตัว 14 วัน ตามมาตรการภาครัฐ ให้แจ้งเจ้าหน้าที่สาธารณสุข ตำรวจ หรือเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง เพื่อดำเนินการควบคุม ป้องกัน สอบสวนโรค หากพบผู้ติดเชื้อจะสามารถนำส่งรักษาตามระบบได้อย่างทันท่วงที ไม่ให้มีการนำเชื้อมาแพร่สู่คนในประเทศเป็นวงกว้าง” นพ.โสภณระบุ
    ผอ.กองโรคติดต่อทั่วไปได้เน้นย้ำให้ประชาชนคงยึดหลัก DMHT โดย D: Distancing เว้นระยะห่าง, M: Mask wearing สวมหน้ากากผ้า/หน้ากากอนามัยทุกครั้งที่อยู่ในพื้นที่สาธารณะ,  H: Hand washing ล้างมือบ่อยๆ ด้วยน้ำและสบู่หรือเจลแอลกอฮอล์ และ T: Rapid Testing การตรวจเร็ว รักษาเร็ว ควบคุมโรคได้เร็ว และปฏิบัติอย่างต่อเนื่อง เพื่อสร้างเกราะป้องกันโควิด-19 แก่ตนเองและคนรอบข้าง รวมทั้งหลีกเลี่ยงการเข้าไปอยู่ในสถานที่แออัด และลงทะเบียนเข้า-ออกสถานที่ด้วยแพลตฟอร์มไทยชนะทุกครั้งที่ใช้บริการสถานที่/ร้านค้าต่างๆ รวมถึงเฝ้าระวังสังเกตอาการป่วยของตนเองและคนรอบข้างอยู่เสมอ หากมีอาการไข้ ไอ เจ็บคอ มีอาการระบบทางเดินหายใจ และมีอาการจมูกไม่ได้กลิ่น ลิ้นไม่รับรส ให้รีบไปพบแพทย์เพื่อรับการตรวจวินิจฉัยและรักษาทันที
    ทางด้าน น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม กำชับผู้ว่าราชการทุกจังหวัด โดยเฉพาะจังหวัดชายแดนไทยติดประเทศเพื่อนบ้าน ไม่ว่าจะเป็นเมียนมา กัมพูชา ลาว มาเลเซีย เพิ่มความเข้มงวดเฝ้าระวังการลักลอบเข้าเมืองผิดกฎหมาย พร้อมบูรณาการทุกภาคส่วนติดตามการลักลอบเข้าเมืองแบบผิดกฎหมายอย่างเร่งด่วน หลังพบว่ามีแรงงานจากประเทศเพื่อนบ้านลักลอบเดินทางเข้ามายังประเทศไทย ก่อให้เกิดความกังวลในความเสี่ยงต่อการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 นอกจากนี้ได้กำชับให้เจ้าหน้าที่ตำรวจและสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง บังคับใช้กฎหมายอย่างเคร่งครัด หากพบเจ้าหน้าที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับกระบวนการลักลอบเข้าเมือง จะต้องถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย ไม่มีละเว้น  
    ที่ศาลากลางจังหวัดเชียงราย นายประจญ ปรัชญ์สกุล ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย ได้เรียกประชุมคณะทำงานติดตามสถานการณ์การระบาดโรคโควิด-19 จังหวัดเชียงราย หลังสอบประวัติผู้ป่วยโควิด-19 ที่จังหวัดเชียงใหม่ พบว่าหญิงคนดังกล่าวได้ข้ามมาจากประเทศเมียนมาทางชายแดน อ.แม่สาย เมื่อวันที่ 24 พ.ย.ที่ผ่านมา จึงได้สั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งประชาสัมพันธ์ให้ผู้โดยสารที่เดินทางมาด้วยกับรถตู้ บขส.คันที่ 11 ทะเบียน 10-2973 จ.เชียงราย จากสถานีขนส่ง อ.แม่สาย เมื่อเวลา 09.30 น. ถึงสถานีขนส่งเชียงรายแห่งที่ 1 เมื่อเวลา 10.45 น. ของวันที่ 24 พ.ย.63 ซึ่งเป็นคันและเที่ยวเดียวกันที่ผู้ป่วยหญิงที่เดินทางไป จ.เชียงใหม่นั่งมาด้วย มารายงานตัวเพื่อคัดกรองและตรวจหาเชื้อ ส่วนคนขับรถตู้คันดังกล่าว ขณะนี้ได้เดินทางมารายงานตัวแล้ว และให้ติดตามชายที่ขับรถกระบะนำหญิงวัย 29 ที่ป่วยจากชายแดนมายังสถานีขนส่งแม่สายมาสอบประวัติและตรวจหาเชื้อและดำเนินคดี 
    ภายหลังการประชุม นายประจญเปิดเผยว่า ได้ขอให้คณะกรรมการชายแดนส่วนท้องถิ่นฝ่ายไทย หรือทีบีซีไทย เร่งประสานทีบีซีเมียนมา ประกาศให้คนไทยที่ตกค้างอยู่ในเมียนมา โดยเฉพาะที่ จ.ท่าขี้เหล็ก ฝั่งตรงข้ามกับ อ.แม่สาย และต้องการเดินทางกลับไทยมาลงทะเบียนกับทีบีซีเมียนมา เพื่อนำกลับเข้าไทยและจะทำการตรวจหาเชื้อกักตัวตามขั้นตอน โดยไม่ต้องลักลอบข้ามกลับมาเหมือนกรณีหญิงป่วยวัย 29 ปี พร้อมกำชับให้เจ้าหน้าที่ตำรวจไปติดตามจับกุมขบวนการลักลอบรับจ้างนำเข้าผู้ลักลอบหลบหนีเข้าเมืองทางชายแดน เบื้องต้นทราบว่าเป็นเส้นทางบ้านห้วยน้ำริน บ้านผาแตก ตำบลเวียงพางคำ อำเภอแม่สาย เป็นทางผ่าน
    ส่วนแนวทางป้องกันและสกัดกั้นการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ใน จ.เชียงรายนั้น ขณะนี้ต้องขอความร่วมมือประชาชนทุกคนหันมาสวมหน้ากาก ล้างมือด้วยเจลหรือแอลกอฮอล์ ไม่ไปในสถานที่ผู้คนพลุกพล่าน ละขอให้ผู้ที่กลับจากฝั่งเมียนมาภายในระยะ 1 เดือนทุกคน มารายตัวต่ออาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) หรือโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล เพื่อตรวจหาเชื้อด้วย อย่างไรก็ตาม หลังพบผู้ป่วยรายใหม่ จะยังไม่มีการปิดด่าน ทั้งนี้ ทางเมียนมาได้สั่งปิดโรงแรมวันจีวัน ซึ่งเป็นสถานที่ทำงานของหญิงสาวชาวไทยที่ติดเชื้อ พร้อมล็อกดาวน์หมู่บ้านจำนวน 3 แห่งที่เกี่ยวข้องด้วย 
    สำหรับหญิงสาวที่ติดเชื้อโควิด-19 มีประวัติว่าช่วงที่ทำงานอยู่ที่โรงแรมวันจีวัน ได้พักอยู่กับหญิงสาวชาวไทยวัย 26 ปีอีก 1 คน และทำงานอยู่ในห้องเดียวกับหญิงสาวอายุ 20 ปี ชาวเมียนมาที่ป่วยโควิด-19 ด้วย ส่วนหญิงสาวชาวไทยอีกคนที่ทำงานและลักลอบเข้าไทย พบว่าอายุ 26 ปี เป็นชาวตำบลป่าตาล อ.ขุนตาล จ.เชียงราย เมื่อวันที่ 26 พ.ย. เดินทางกลับเข้าไทย ผ่านช่องทางธรรมชาติ (ลักลอบเข้าเมือง) และได้เข้าพักที่โรงแรมแม่สายอินน์ ไม่มีอาการไข้ และเมื่อวันที่ 28 ทราบว่าเพื่อนที่ทำงานด้วยกันป่วยที่เชียงใหม่ จึงนั่งรถจักรยานยนต์รับจ้างไปรับการตรวจรักษาที่โรงพยาบาลกรุงเทพ จ.เชียงราย ขณะนี้อยู่ระหว่างรอผลตรวจ โดยพักรอดูอาการอยู่ที่โรงพยาบาลเชียงรายประชานุเคราะห์
    ล่าสุด เจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครอง อ.แม่สาย ได้ตรวจสอบเส้นทางการลักลอบเข้าเมืองของหญิงวัย 29 ปี และหญิงวัย 26 ปี โดยพบว่าทั้ง 2 คนได้เข้ามาทางชายแดนไทย-เมียนมา ด้านที่เป็นป่าเขาระหว่างเส้นทางจาก จ.ท่าขี้เหล็ก จะไปทาง จ.เมืองสาด ด้านทิศตะวันตกของลำน้ำสาย นอกจากนี้ พบชาย 1 คนที่ตรวจพบว่าเป็นคนรับจ้างพาทั้งคู่เดินทางจากบ้านผาแตก ต.เวียงพางคำ อ.แม่สาย ไปส่งที่สถานีขนส่งผู้โดยสาร อ.แม่สาย จากการสอบปากคำทราบว่าได้รับทั้ง 2 คนไปส่งที่สถานีขนส่ง อ.แม่สายจริง และไม่ทราบว่าทั้ง 2 คนหลบหนีเข้าเมืองมากจากประเทศเมียนมา จึงได้แจ้งข้อมูลให้ทราบว่าได้สัมผัสกับผู้ติดเชื้อโควิด-19 จึงได้ให้ชายคนดังกล่าวเข้าสู่กระบวนการกักโรคในสถานที่กักกันของรัฐ
    ขณะที่เจ้าหน้าที่ยังคงติดตามหาตัวบุคคลอื่นๆ ที่อยู่ในกลุ่มสัมผัสกับทั้ง 2 คน โดยมีจำนวนทั้งหมด 51 คน และเป็นกลุ่มเสี่ยงจำนวน 49 คน เช่น กลุ่มที่เป็นคนพาข้ามแนวชายแดนซึ่งได้หลบหนีอยู่, ผู้ที่ร่วมนั่งรถตู้โดยสารจาก อ.แม่สาย ไปยังสถานีขนส่งผู้โดยสาร จ.เชียงราย แห่งที่ 1 ในเขต อ.เมืองเชียงราย จำนวน 11 ราย, ผู้ที่ร่วมนั่งรถบัสปรับอากาศจาก จ.เชียงราย ไปยัง จ.เชียงใหม่ จำนวน 35 ราย.


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"