'กรุงศรีฯ'ฟันธงปีหน้าบาทไทยยังแข็งโป๊กลุ้นแบงก์ชาติดูแล


เพิ่มเพื่อน    

 

1 ธ.ค. 2563  นายตรรก บุญนาค ประธานคณะเจ้าหน้าที่ด้านโกบอลมาร์เก็ตส์ ธนาคารกรุงศรีอยุธา จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ภาพรวมเงินบาทไทยในสิ้นปี 2563 คาดว่าจะทรงตัวอยู่ที่ระดับ 30 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ขณะที่ทิศทางค่าเงินบาทไทยในปี 2564 คาดว่าจะยังคงแข็งค่าต่อเนื่อง ทะลุระดับ 30 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ แต่จะไม่เกิน 29 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากปัจจัยภายนอก โดยเฉพาะค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ที่อ่อนค่าลง ภายหลังการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ เสร็จสิ้น โดยผู้นำคนใหม่มีนโยบายในการบริหารเศรษฐกิจที่แตกต่างจากประธานาธิบดีคนเดิม 

นอกจากนี้ มีการประเมินว่าสหรัฐฯ จะใช้นโยบายการเงินการเงินแบบผ่อนคลายขนาดใหญ่ และความพยายามที่จะตรึงดอกเบี้ยไว้ที่ระดับต่ำเป็นระยะเวลานาน รวมทั้งคาดว่าจะมีการใช้มาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (คิวอี) อย่างต่อเนื่อง ซึ่งปัจจัยภายนอกดังกล่าวถือเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้เงินบาทของไทยแข็งค่าขึ้นในระยะต่อไป

ขณะที่การระบาดของโควิด-19 ก็ยังเป็นอีกความเสี่ยงหนึ่งของทิศทางค่าเงินบาท ทำให้มีเงินทุนร้อนไหลเข้ามาเก็บกำไรในสินทรัพย์เสี่ยงของไทยอย่างต่อเนื่องในไตรมาส 4/2563 ทั้งในตลาดหุ้นและตลาดพันธบัตร โดยต้องติดตามต่อว่าเงินทุนร้อนที่ไหลเข้ามาดังกล่าวจะเข้ามาลงทุนยาวถึงต้นปีหน้า หรือยาวแค่ไหน ซึ่งประเมินว่ารัฐบาลและธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) จะมีมาตรการออกมาดูแลค่าเงินบาทไม่ให้ผันผวนเร็วจนเกินไป จากที่ผ่านมา ธปท. ได้ออกมาตรการเพื่อลดความผันผวนของค่าเงินแล้ว ซึ่งเป็นการดูแลระยะยาวเป็นหลัก เพื่อไม่ให้เงินบาทแข็งค่าเกินกว่าค่าเงินในภูมิภาค

"ธนาคารกรุงศรีฯ คาดว่า ธปท. จะพยายามดูแลค่าเงินบาทไม่ให้แข็งค่าเกินกว่าระดับ 5-7% เมื่อเทียบกับค่าเงินในภูมิภาค หากแข็งค่ามากกว่านี้เชื่อว่า ธปท. จะมีมาตรการระยะสั้นออกมาดูแลเพิ่มเติม แต่คงไม่มีมาตรการที่เป็นยาแรงออกมาแน่นอน โดยยอมรับว่า ในเดือน พ.ย. ที่ผ่านมา เงินบาทมีการเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว เกิดจากการตอบรับจากนักลงทุนกับข่าวดีจากทั้งการเลือกตั้งของสหรัฐ และวัคซีนโควิด-19 ทำให้เงินทุนที่เคยไหลออกไปอย่างรุนแรงในช่วงไตรมาส 2/2563 ได้ทยอยไหลกลับเข้ามาในช่วงครึ่งหลังของปีนี้อย่างรุนแรงในหุ้น พันธบัตร หรือแม้แต่หุ้นกู้ของภาคเอกชน ทำให้เงินบาทแข็งค่าอย่างรวดเร็ว" นายตรรก กล่าว

สำหรับปัจจัยที่ต้องจับตา คือมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยเฉพาะมาตรการด้านการคลัง ที่ขณะนี้ยังมีเม็ดเงินเพียงพอในการกระตุ้นเศรษฐกิจได้อีกมาก ซึ่งหลายฝ่ายคาดหวังว่าความสำเร็จจากการใช้เม็ดเงินดังกล่าว ขณะที่ภาคการท่องเที่ยวก็ยังน่าเป็นห่วย แม้ว่าที่ผ่านมาจะมีการใช้นโยบายการคลังในการกระตุ้นและฟื้นฟูภาคการท่องเที่ยวจำนวนมาก แต่หากนักท่องเที่ยวต่างชาติยังไม่กลับเข้ามาไทย ก็จะทำให้การท่องเที่ยวฟื้นตัวได้ช้า ขณะที่มาตรการด้านการเงิน เชื่อว่า ธปท. จะทำหน้าที่ดูแลสถานการณ์เงินบาทไม่ให้แข็งค่าเงินกว่าภูมิภาค รวมทั้งประเมินว่าในปีหน้าจะมีการตรึงอัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทยไว้ที่ระดับ 0.50% ต่อปีด้วย

ทั้งนี้ ในส่วนภาคการส่งออกของไทยก็ยังได้รับผลกระทบจากการแข็งค่าของเงินบาทด้วย เพราะที่ผ่านมาผู้ประกอบการส่วนใหญ่ชินและยอมรับกับค่าเงินที่ระดับ 30-31 บาทต่อดอลล่าร์สหรัฐ แต่เมื่อมีการประเมินว่าเงินบาทมีโอกาสจะแข็งค่าถึงระดับ 29 บาทต่อดอลล่าร์สหรัฐก็จะกระทบแน่นอน เป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ เพราะทิศทางเงินบาทจะยังแข็งค่าในระยะยาว ซึ่งที่ผ่านมาพบว่ามีผู้ประกอบการในภาคส่งออกส่วนใหญ่เริ่มใช้เครื่องมือป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มเอสเอ็มอี เพราะรู้ว่าไม่สามารถนั่งรอให้เงินบาทอ่อนค่ากลับมาเหมือนในอดีตได้ จึงต้องปรับตัวและหาทางป้องกันความเสี่ยง

นายตรรก กล่าวอีกว่า ในส่วนภาพรวมการลงทุนในปี 2564 มองว่ามีความราบเรียบแต่ไม่ราบลื่น เพราะแนวโน้มการลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นมาก สะท้อนจากดัชนีตลาดหุ้นไทยที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นมาอยู่ระดับสูงกว่า 1,400 จุด ส่วนพันธบัตรแม้ว่าผลตอบแทนระยะสั้นจะต่ำ แต่ผลตอบแทนระยะยาวถือว่าสูงแล้ว ส่วนภาคเอกชนมีการออกหุ้นกู้และการออกหุ้นกู้รุ่นใหม่เพื่อทดแทนรุ่นเดิม (Roll Over) ส่วนสถานการณ์ทางการเมืองในประเทศนั้น ถือเป็นปัจจัยพิเศษที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิด


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"