เกาหลีกับสงครามที่ยังไม่ยุติหรืออาจไม่มีวันยุติ (1)


เพิ่มเพื่อน    

(ภาพ : คาบสมุทรเกาหลีและพื้นที่รายรอบ)

 

        ผู้ติดตามข่าวเกาหลีเหนือ-ใต้ มักจะได้ยินคำคำหนึ่งว่า 2 ประเทศนี้ยังอยู่ในภาวะสงคราม สงครามเกาหลีที่เริ่มตั้งแต่ต้นทศวรรษ 1950 ยังไม่ยุติ (กว่า 68 ปีแล้ว)

        ผลการประชุมสุดยอด 2 ผู้นำเกาหลีเมื่อ 24 เมษายน 2018 ระหว่างผู้นำคิม จ็องอึน (Kim Jong-un) กับประธานาธิบดีมุน แจอิน (Moon Jae-in) ใจความหลักคือไม่มีสงครามในคาบสมุทรเกาหลีอีกต่อไป เปิดศักราชสันติภาพ ยกเลิกการแบ่งแยกและเผชิญหน้าแบบยุคสงครามเย็น ลดความตึงเครียดทางทหาร เริ่มยุคสมานฉันท์ ยกระดับการติดต่อระหว่างเจ้าหน้าที่และระดับประชาชน การให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยชน เดินหน้าการเชื่อมต่อทางถนนกับรถไฟ ฯลฯ

        จะเห็นว่าผลการประชุมสุดยอดนี้ประกาศยุติสงครามระหว่าง 2 เกาหลี เริ่มต้นสันติภาพถาวร นำความสุขความยินดีแก่ชาวเกาหลีทั้งมวลที่เฝ้าฝันวันนี้มานานกว่าร้อยปี

        บทความนี้จะนำเสนอจุดเริ่มของความขมขื่นทุกข์ยากของคนเกาหลีที่ดำเนินมาแล้วกว่าศตวรรษ

ญี่ปุ่นต้องครอบครองเกาหลี :

        ญี่ปุ่นมองเกาหลีเป็นเส้นทางสู่แผ่นดินใหญ่เรื่อยมา เกาหลีเป็นทางผ่านของอารยธรรมจากจีน เป็นเส้นทางการค้าเก่าแก่ เส้นทางเดินทัพของกองทัพต่างๆ ที่หวังรุกรานญี่ปุ่น ไม่ว่าจะแง่มุมใด ญี่ปุ่นหวังได้เกาหลีเป็นหัวหาดสู่แผ่นดินใหญ่เสมอ

        ค.ศ.1873 ผู้นำญี่ปุ่นคิดรุกรานเกาหลีโดยอ้างเหตุผลว่าผู้ปกครองเกาหลีไม่ยอมปรับความสัมพันธ์ปกติกับตน 1875 กองเรือญี่ปุ่นเริ่มเปิดฉากโจมตีท่าเรือเกาหลีและเมืองต่างๆ  1876 บังคับให้เกาหลีเปิดเมืองท่าทำนองเดียวกับที่จีนเปิดให้แก่ชาติตะวันตก

        สงครามเพื่อขยายดินแดนของญี่ปุ่นเริ่มเมื่อญี่ปุ่นทำสงครามกับจีน ในสงครามจีน-ญี่ปุ่น ครั้งที่ 1 เมื่อช่วงปี 1894-95 (First Sino-Japanese War) เป้าหมายของญี่ปุ่นคือการได้ครอบครองแหล่งแร่เหล็กกับถ่านหินของเกาหลี ซึ่งในสมัยนั้นถือว่าเป็นทรัพยากรที่สำคัญยิ่งต่อความมั่นคงของชาติ

        รัฐบาลเกาหลีขอความช่วยเหลือจากจีนในฐานะเป็นเจ้าประเทศราชแต่อาจไม่สู้ญี่ปุ่น กองทัพจีนแม้มีจำนวนมากกว่าไม่อาจต้านกองทัพญี่ปุ่นที่ทันสมัยกว่า เกาหลีจึงตกอยู่ใต้อำนาจญี่ปุ่น ความพ่ายแพ้แสดงให้เห็นถึงความอ่อนแอของกองทัพจีน เหตุผลหนึ่งที่แพ้มาจากการคอร์รัปชันในหมู่ราชการ งบประมาณกองทัพถูกข้าราชการโกงกิน ทหารขาดการฝึกซ้อมและขาดขวัญกำลังใจ

        ความพ่ายแพ้ต่อญี่ปุ่นทำให้ชาวจีนรู้สึกอับอายอย่างยิ่ง เนื่องจากแต่ไหนแต่ไรมักถือว่าตนเป็นชาติที่ยิ่งใหญ่กว่าญี่ปุ่นเสมอมา

        เกาหลีจึงตกอยู่ใต้อำนาจญี่ปุ่น และถูกผนวกเข้าเป็นส่วนหนึ่งของญี่ปุ่นอย่างเป็นทางการในเดือนสิงหาคม 1910

      รัฐบาลญี่ปุ่นพยายามสร้างภาพว่ากำลังพัฒนาเกาหลีให้เป็นชาติอารยะ แต่โดยความจริงแล้ว เกาหลีได้ประโยชน์น้อย ผลประโยชน์ส่วนใหญ่ตกอยู่กับญี่ปุ่นทั้งสิ้น

        ตั้งแต่ปี 1919 ชาวเกาหลีเริ่มต่อต้านการยึดครองอย่างเป็นขบวนการ ในช่วงกลางทศวรรษ 1920 แกนนำการต่อต้านเป็นพวกมีแนวคิดคอมมิวนิสต์

        ชาวเกาหลีจำนวนร่วมล้านคนเดินขบวนต่อต้านการยึดครอง เรียกร้องเสรีภาพ เป็นเอกราช แต่ชาติมหาอำนาจตะวันตกไม่ทำอะไร เนื่องจากพวกตนต่างมีอาณานิคมเช่นกัน

สภาพอาณานิคม :

      ตลอดทศวรรษ 1930 กองทัพญี่ปุ่นควบคุมเศรษฐกิจเพื่อการผลิตสินค้าอุตสาหกรรม ญี่ปุ่นพยายามครอบงำเปลี่ยนแปลงสังคมเกาหลี ไม่อนุญาตให้โรงเรียนใช้ภาษาเกาหลี แม้กระทั่งต้องตั้งชื่อเป็นญี่ปุ่นด้วย

        ตั้งแต่ช่วงปลายทศวรรษ 1930 เมื่อสงครามกับจีนทวีความรุนแรงขยายวงกว้างออกไป กองทัพญี่ปุ่นเริ่มเกณฑ์แรงงานชายเกาหลีเพื่อทำงานให้กองทัพ และเมื่อเริ่มเข้าสู่สงครามโลกครั้งที่ 2 การขาดแคลนทรัพยากรทำให้ญี่ปุ่นกอบโกยผลผลิตทางการเกษตรกับวัตถุดิบต่างๆ ของเกาหลีทั้งหมด โดยเฉพาะสินแร่สำคัญที่จำเป็นต่อการสร้างอาวุธสงคราม สร้างความทุกข์ยากแก่ชาวเกาหลี

        ญี่ปุ่นใช้แรงงานเกาหลีด้วยการเกณฑ์และใช้งานเยี่ยงทาส มีข้อมูลว่ากองทัพญี่ปุ่นใช้แรงงานเกาหลีถึง 2,600,000 คน ในจำนวนนี้ 750,000 คนถูกส่งไปต่างประเทศเพื่อเป็นแรงงานอุตสาหกรรม ส่วนผู้หญิงกลายเป็นหญิงบำเรอ (comfort women)

        ในความเป็นอาณานิคม ไม่ว่าจะใช้คนเกาหลีเยี่ยงทาส กึ่งทาสหรืออย่างไรก็แล้วแต่ ญี่ปุ่นมองว่าตนเป็น “เจ้าของ” เกาหลี “อย่างถาวร” จึงพยายามเปลี่ยนคนเกาหลีให้ใช้ภาษาญี่ปุ่น มีชื่อญี่ปุ่น ลบล้างความเป็นเกาหลี จึงไม่แปลกที่กองทัพญี่ปุ่นใช้สตรีเกาหลีเป็นหญิงบำเรอ เพราะนั่นคือการใช้ “แรงงาน” หรือการ “ทำงาน” อย่างหนึ่งของคนภายใต้อาณานิคม เพื่อจักรวรรดิญี่ปุ่นอันไพบูลย์

        เดิมนั้นคือหญิงญี่ปุ่นที่มาด้วยความสมัครใจ แต่เมื่อสงครามขยายตัว ทหารมากขึ้น ความต้องการหญิงบำเรอเพิ่มมากขึ้น หันไปหาสาวต่างชาติด้วยวิธีการต่างๆ ที่หญิงหลายคนไม่ได้มาด้วยความสมัครใจ ถูกล่อลวง

        ดังนั้น เมื่อเอ่ยถึงหญิงบำเรอจะหมายถึงสตรีที่ถูกบังคับให้มาปรนเปรอความสุขทางเพศแก่ทหารในกองทัพจักรพรรดิญี่ปุ่น (Japan's Imperial Army) เกิดขึ้นในช่วงทศวรรษ 1930-1940 ขณะญี่ปุ่นเป็นเจ้าอาณานิคมหลายแห่งและช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 หญิงเหล่านี้มาจากหลายประเทศ ส่วนใหญ่เป็นคนเกาหลีกับจีน

        ไม่มีผู้ใดทราบจำนวนหญิงบำเรอที่แท้จริง นักประวัติศาสตร์บางคนชี้ว่าจำนวนทั้งหมดน่าจะอยู่ที่ 100,000-200,000 ราย แต่ฝ่ายญี่ปุ่นเห็นว่าน่าจะน้อยกว่านั้น อาจมีเพียง 20,000 คน

        หญิงเกาหลีที่ให้บริการส่วนใหญ่ถูกเรียกตัวเมื่อมีอายุระหว่าง 14-18 ปี บางคนได้รับการทาบทามแต่แรกว่าให้เป็นโสเภณี แต่ส่วนใหญ่ถูกล่อลวง ข่มขู่และบังคับด้วยกำลัง หลายคนได้รับการชี้ชวนว่าไปทำงานในภัตตาคาร ร้านอาหาร โรงงาน แต่สุดท้ายเมื่อทราบว่าต้องเป็นหญิงบำเรอก็ไม่สามารถกลับบ้านแล้ว บางรายเป็นการแลกตัวเพื่อผู้ชายในครอบครัวไม่ต้องถูกเกณฑ์แรงงาน

        World War II in the Pacific : An Encyclopedia บรรยายว่าเมื่อแรกเริ่มเข้าสู่กระบวนการ หญิงเหล่านี้จะถูกเฆี่ยนตี ข่มขืน จนกว่าเธอจะยอมปรนนิบัติปรนเปรอผู้ชายวันละ 30-40 คน หลายคนติดกามโรคนานาชนิด ถูกบังคับให้ทำแท้งเมื่อตั้งครรภ์ บางคนตัดสินใจหนีชีวิตด้วยการฆ่าตัวตาย

        ในช่วงอาณานิคม ชาวเกาหลีจำนวนหนึ่งลุกขึ้นต่อต้านจักรวรรดินิยมญี่ปุ่น เกิดวีรบุรุษทั้งภาคเหนือกับภาคใต้ หนึ่งในนั้นคือคิม อิลซุง (Kim Il-sung) ผู้กลายเป็นผู้นำเกาหลีเหนือในเวลาต่อมา

        ในเวลาต่อมา สงครามญี่ปุ่นกับจีนกลายเป็นส่วนหนึ่งของสงครามโลกครั้งที่ 2

การแบ่งเกาหลีเป็นเหนือ-ใต้ ก่อนสงครามเกาหลี :

        เมื่อสหรัฐทิ้งระเบิดนิวเคลียร์ลูกแรก ในขณะนั้นทุกฝ่ายรู้ดีว่าญี่ปุ่นจะต้องประกาศยอมแพ้ อันหมายถึงต้องคืนเกาหลีด้วย แต่ชาติมหาอำนาจไม่คิดคืนแก่ชาวเกาหลีโดยตรง ต้องการอยู่ในอาณัติของชาติมหาอำนาจ

        9 สิงหาคมสหรัฐทิ้งระเบิดนิวเคลียร์อีกลูกที่นางาซากิ วันต่อมา รัฐบาลสหรัฐตัดสินใจแบ่งเกาหลีออกเป็น 2 ส่วน โดยใช้เส้นขนานที่ 38 ทางเหนือโซเวียตรัสเซียจะเป็นคนดูแล ส่วนทางใต้อยู่ในการดูแลของสหรัฐ ฝ่ายโซเวียตเห็นชอบในข้อตกลงลับนี้

        การแบ่งเกาหลีเป็นเหนือกับใต้จึงมาจากข้อตกลงลับระหว่างรัฐบาลสหรัฐกับโซเวียตรัสเซีย

        15 สิงหาคม 1945 ญี่ปุ่นประกาศยอมแพ้

        เมื่อญี่ปุ่นแพ้สงคราม กองทัพสหรัฐกับพันธมิตรเข้ามาควบคุมทางตอนใต้ รัฐบาลสหรัฐหวังญี่ปุ่นช่วยดูแลเกาหลีใต้ (เพราะเป็นเจ้าอาณานิคมเดิม) ด้านกองทัพโซเวียตเข้ามาปลดอาวุธทหารญี่ปุ่นที่อยู่ในตอนเหนือของเกาหลี และพยายามติดต่อชาวเกาหลีที่ต่อต้านญี่ปุ่นเพื่อขอความร่วมมือปกครองเกาหลีเหนือ

        จะเห็นได้ว่าในตอนนี้เกาหลีใต้ส่วนที่เป็นอาณานิคมญี่ปุ่น ไม่ได้ปลดแอกตัวเอง แต่เปลี่ยนเจ้าอาณานิคมเนื่องจากเจ้าอาณานิคมเดิมแพ้สงคราม ส่วนพื้นที่ตอนเหนืออยู่ใต้ลัทธิคอมมิวนิสต์

        เส้นทางอนาคตของเกาหลีเหนือ-ใต้มุ่งสู่ทิศทางแตกต่างชัดเจน สงครามโลกยุติแต่ปัญหาเกาหลีเหนือ-ใต้เพิ่งจะเริ่มต้น

        ไม่ว่าชาวเกาหลีจะชอบหรือไม่

 

ที่มา : https://www.transcend.org/tms/wp-content/uploads/2015/08/north-south-korea-map-asia.gif


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"