เดินเถิดรา โอซากา-นาโกยา-โตเกียว


เพิ่มเพื่อน    

(แม่น้ำโดทงโบริ แม่น้ำสายเล็กๆ ย่านใจกลางเมืองโอซากา)

 

        รถไฟชิงกันเซ็นจาก “ฮิโรชิมา” วิ่งปรู๊ดเดียวถึงสถานีชิน-โอซากา (Shin-Osaka) ในเวลาเพียงชั่วโมงเศษ แต่สถานีแห่งนี้ยังไม่ใช่ใจกลางเมือง ต้องนั่งรถไฟท้องถิ่นต่อไปยังสถานีโอซากา แล้วจึงต่อรถไฟสายวนของบริษัท JR ที่เรียกว่า Osaka City Loop Line ไปยังสถานีปลายทางที่ใกล้ที่พัก

        ผมลงจากสถานี Shin-Imamiya ที่มีทางออกหลายทาง เลือกได้ทางหนึ่งแล้วเดินออกไปพร้อมแผนที่จากใบจองที่พักในมือ เจอเหยื่อเป็นคู่วัยรุ่นชาย-หญิง พวกเขาพูดภาษาอังกฤษไม่ค่อยได้ แต่ฟังรู้เรื่อง ชายหนุ่มบอกว่า “ช็อตโตะ มัตเตะ” แปลว่ารอสักครู่ แล้วหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมากดแผนที่กูเกิลเทียบกับพิกัดในใบจอง ก่อนเดินนำทางไป ผมขอให้ชี้มาว่าโรงแรมอยู่ทิศทางไหนก็พอ ทั้งคู่พูดว่า “โน พร็อบเบล็ม” ไม่มีปัญหา

        พอถามว่าพวกเธอไปทางเดียวกันใช่ไหม ก็ได้ยินคำตอบเหมือนเดิมว่า “โน พร็อบเบล็ม”

        ชายหนุ่มมาจากจังหวัดนาระ เมืองหลวงเก่าแก่ของญี่ปุ่นก่อนเกียวโต อยู่ติดกับจังหวัดโอซากาทางด้านตะวันออก กำลังเรียนแพทยศาสตร์ ปี 2 ส่วนหญิงสาวผมไม่ได้ถามว่ามาจากเมืองอะไร แต่เธอก็เรียนอยู่ปี 2 เช่นกันในคณะทันตแพทย์ ผมขอบคุณและขอให้ทั้งคู่เรียนได้เกรดดีๆ พวกเขาก็ขอให้ผมเที่ยวญี่ปุ่นให้สนุก

        ต้นพฤกษาคมแท้ๆ แต่ฝนตกลงมาเกือบตลอดเวลา ผมจึงไม่ได้ออกไปไหนมากนัก นอกจากวันที่สองที่ฝนหยุดให้ช่วงหนึ่ง จึงเดินจากย่านที่พักเข้าสู่ย่าน “นัมบะ” ใจกลางเมือง แวะไปถ่ายรูปนักวิ่งชุดขาวในโฆษณากูลิโกะที่ริมแม่น้ำโดทงโบริ แล้วตัดสินใจเดินต่อไปยังปราสาทโอซากา กินระยะทางยาวและใช้เวลานานพอสมควร

        คนชอบเดินส่วนมากถ้าตั้งใจเดินแล้วจะไม่ขึ้นรถให้เสียเหลี่ยม แม้ว่าจะปวดเท้าปวดขาสักปานใดก็ตาม โดยเฉพาะเมื่อเดินเลยครึ่งทางมาแล้ว นอกจากฝนตกหนักและฟ้าจะผ่ากบาลนั่นแหละที่อาจจะวิ่งลงรถไฟใต้ดิน แล้วเผลอหยิบเหรียญออกมากดซื้อตั๋ว แต่วันนี้ผมยังโชคดี ฝนเว้นวรรคให้จนเดินยาวเกือบ 9 กิโลเมตร (ตั้งแต่ที่พัก) ถึงปราสาทโอซากา จุดหมายยอดนิยมของนักท่องเที่ยวทั้งหลายล

(ปราสาทโอซากาในวันครึ้มฟ้าครึ้มฝน)

 

        ปราสาทโอซากาสร้างขึ้นโดย “โทโยโทมิ ฮิเดโยชิ” ผู้ยิ่งใหญ่คนที่สองที่ทำการรวมชาติญี่ปุ่น (คนแรกคือ “โอดะ โนบุนางะ” และคนที่สามที่ทำได้สำเร็จคือ “โตกุกาวะ อิเอยะสึ”) ในปี ค.ศ.1583 บนพื้นที่ของวัด “อิชิยามะ ฮงกันจิ” ที่ถูกทำลายลงไปก่อนนั้นโดยโนบุนางะ มีคูน้ำขนาดใหญ่ล้อมรอบก่อนกำแพงหินหนา ตัวปราสาทดูจากภายนอกเห็นเป็น 5 ชั้น แต่ด้านในมีถึง 8 ชั้น ฮิเดโยชิต้องการสร้างโดยมี “ปราสาทอะสึชิ” ของโนบุนางะเป็นแบบ แต่ทำให้ล้ำกว่าในทุกๆ ด้าน อย่างไรก็ตาม ตัวปราสาทถูกทำลายลงหลายครั้ง โดยเฉพาะคราวที่โชกุนตระกูลโตกุกาวะปราชัยให้กับฝ่ายจักรพรรดิเมจิเมื่อ ค.ศ1868 และอีกครั้งในระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2 ช่วงปลาย ปัจจุบันได้สร้างขึ้นใหม่ด้วยคอนกรีต แล้วเสร็จเมื่อ ค.ศ.1997 นี่เอง    

        เมื่อผ่านประตูและเดินขึ้นไปถึงตัวปราสาทผมก็หมดแรง อีกทั้งเป็นเวลาเย็นแล้ว จึงไม่ได้ขึ้นไปด้านบนของตัวปราสาท นั่งพักและเดินชมนกชมไม้อยู่สักครู่ก็เดินลงมา สวนด้านนอกปราสาทเต็มไปด้วยอีกาตัวเขื่อง ร้อง “กาๆๆ” กันระงม ใครเชื่องเรื่องลี้ลับก็อาจขนลุกไปตามๆ กัน

        ออกมาจากอุทยานปราสาทโอซากาได้ไม่เท่าไหร่ก็เจอสถานีรถไฟ Morinomiya อยู่ติดๆ กับห้างสรรพสินค้าชื่อเดียวกัน ผมนั่ง Osaka Loop Line ไปลงสถานี Tennoji แวะกินซูชิในร้านอาหารย่าน “ตลาดชินเซไก” หนึ่งชุดยังไม่หายหิว ต่อด้วย “คูชิคัตสึ” หรือเนื้อสัตว์เสียบไม้ชุบแป้งทอดที่ร้านติดๆ กัน อีกหนึ่งอาหารขึ้นชื่อของโอซากา แก้จุกด้วยเบียร์กิรินแก้วใหญ่ แล้วเดินกลับโรงแรมที่พัก นอนหลับสบายอย่างรวดเร็ว

        แผนการกินปูในย่านนัมบะต้องพังทลายลงเมื่อตื่นเช้าขึ้นมา ฝนไม่ซาเม็ดจนแม้เลยบ่ายโมงไปแล้ว จึงฝากท้องกับราเม็งถ้วยสำเร็จรูปของโรงแรม เมื่อฝนปรานีลดความแรงลงหน่อยก็เดินเสี่ยงหวัดแบกกระเป๋าไปยังสถานี Shin-Imamiya นั่งรถไฟสายวนไปยังสถานี Osaka แล้วต่อรถไฟของบริษัท JR อีกทอดไปยังสถานี Shin-Osaka นั่งชิงกันเซ็นขึ้นเหนือไปอีกหน่อยก็ถึงเมืองนาโกยา จังหวัดไอชิ ในเวลาชั่วโมงนิดๆ เวลายังไม่ถึง 5 โมงเย็น แต่ฟ้ามืดแล้วด้วยสายฝนที่ลงม่านมาปิดเมือง

        เจ้าหน้าที่สถานีรถไฟไม่รู้จักโรงแรมที่ผมยื่นแผนที่จากใบจองให้ดู แม้ว่าในใบจองนี้จะระบุว่าอยู่ห่างจากสถานีนาโกยาแค่ 400 เมตรเท่านั้น ถามใครก็ไม่รู้จัก จึงซื้อร่มภายในห้างของสถานีแบบสีใสๆ มา 1 คัน ราคา 600 เยน แล้วเดินฝ่าฝนออกไปยังถนนใหญ่ก็เห็นป้าย Eco Hotel Nagoya ติดหราอยู่ฝั่งตรงข้าม เดินลงทางลอดใต้ดินไปถึงก็เข้าเช็กอิน อันที่จริงมีทางเดินใต้ดินจากสถานีเชื่อมมาถึงหน้าโรงแรมเลยด้วยซ้ำ คุยกับพนักงานต้อนรับว่า “ในใบจองระบุว่าห่างจากสถานีนาโกยา 400 เมตร ผมว่าไม่น่าจะถึง” เขาบอกว่า “ไม่รู้เหมือนกันว่าวัดจากจุดไหนของสถานี”  

        เป็นไปได้สูงว่าวัดจากราง ตรงจุดที่รถไฟจอด ซึ่งประสบการณ์ในครั้งต่อๆ มาทำให้ทราบว่าสมมติฐานนี้ไม่ผิด

        หลังจากนอนดูทีวีเสนอข่าวพายุพัดเข้าญี่ปุ่นทั่วทุกภูมิภาคของประเทศ ก็เดินกางร่มออกไปหามื้อเย็น แต่ตัดสินใจไม่ได้ด้วยความลังเล จึงมาจบลงที่ยากิโซบะและทาโกยากิของร้านใต้โรงแรม

        ตอนถือเดินขึ้นไปกินในห้องพัก ผ่านชายคนหนึ่งที่นั่งอยู่หน้าล็อบบี้ เขาพูดขึ้นเป็นภาษาไทยว่า “ไปเที่ยวไหนมาบ้างครับ” ก่อนตอบผมถามกลับไปว่ารู้ได้อย่างไรว่าผมเป็นคนไทย เขาว่า “คนที่ยิ้มให้คนที่ไม่รู้จักกันจะมีชาติไหนบ้างล่ะ”

        “เต๋า” นามสมมติ เปิดคอมพิวเตอร์หลังจากดื่มเหล้าเข้าไปหลายแก้วในคืนหนึ่งเมื่อเดือนก่อน ตื่นขึ้นมาตอนเช้าอีกวันก็พบว่าตัวเองได้แช้ตกับเพื่อนอีกคน ขอให้เพื่อนซื้อตั๋วไป-กลับ อายุตั๋ว 30 วัน เพื่อเที่ยวญี่ปุ่นเป็นครั้งแรก และเพื่อนก็ดำเนินการให้เรียบร้อยแล้วโดยไม่มีโอกาสอุทธรณ์ แถมต้องเดือดร้อนไปขอวีซ่าอีก เพราะอยู่เกิน 15 วัน 

        อีกสองวันเต๋าจะบินกลับเมืองไทย เขาเพิ่งจะกลับเข้าเมืองใหญ่มาเมื่อวานนี้หลังจากไปเที่ยวมาหลายเมืองในภูมิภาคชูบุ รวมถึงได้ไปเล่นสกีบนภูเขาในเมืองทาคายามาอย่างสำราญใจอีกด้วย

        วันต่อมาผมต้องเช็กเอาต์ตั้งแต่ 9 โมงเช้า ตามระเบียบอันแสนพิกลของที่พักแห่งนี้ จึงฝากกระเป๋าไว้ในห้องเต๋าที่อยู่ต่ออีกคืน ผมบอกเขาว่าจะเดินไปพิพิธภัณฑ์โตโยต้า ระยะทางประมาณ 2 กิโลเมตร เต๋าสนใจร่วมทางไปด้วย

        หลังจากแวะกินครัวซองต์และดื่มกาแฟระหว่างทาง เราก็ถึง Toyota Commemorative Museum of Industry and Technology ค่าเข้าชมคนละ 500 เยน สตรีพนักงานต้อนรับเมื่อทราบว่าเราเป็นคนไทยก็ยกมือไหว้แล้วกล่าว “สวัสดีค่ะ” ชัดแจ๋ว พร้อมหยิบโบรชัวร์ภาษาไทยยื่นให้

        ส่วนจัดแสดงโซนแรกของพิพิธภัณฑ์เป็นวิวัฒนาการเรื่องการทอผ้า โดย “ซาคิชิ โตโยดะ” ได้ก่อตั้งโรงงานทอผ้าขึ้นในชื่อ "Toyoda” เมื่อ ค.ศ.1911 ขยายกิจการอย่างต่อเนื่องและประสบความสำเร็จอยู่นานกระทั่งขายสิทธิบัตรต่อให้กับบริษัทในอังกฤษ ขณะเดียวกัน “คิชิโร โตโยดะ” ลูกชายที่ได้ศึกษาเรื่องอุตสาหกรรมรถยนต์ในอเมริกาและยุโรปก็กลับมาค้นคว้าวิจัยอย่างจริงจัง ก่อตั้งแผนกรถยนต์ขึ้นในปี ค.ศ.1933 นำไปสู่การผลิตรถยนต์ต้นแบบ Toyoda A1 ก่อนจะออกขายคันแรกในชื่อรุ่น AA เมื่อปี ค.ศ.1936 ซึ่งได้เปลี่ยนชื่อบริษัทเป็น “Toyota” เพราะเขียนในภาษาญี่ปุ่นได้ง่ายกว่าและมีความหมายดีกว่า ส่วนจัดแสดงยานยนต์นี้มีนิทรรศการและสิ่งแสดงที่หวือหวาไม่แพ้โซนทอผ้า นอกจากนี้ยังมีโซนแสดงเทคโนโลยีด้านอื่นๆ ของโตโยต้าอีกด้วย ซึ่งพิพิธภัณฑ์แห่งนี้เป็น 1 ใน 3 พิพิธภัณฑ์ของโตโยต้าที่ล้วนตั้งอยู่ในจังหวัดไอชิ

        ปัจจุบัน “โตโยต้ามอเตอร์” เป็นบริษัทรถยนต์ที่มียอดขายและรายได้มากที่สุดในโลก เป็นบรรษัทขนาดใหญ่ที่สุดในญี่ปุ่น และมีผลประกอบการเป็นอันดับ 5 ของโลก เป็นรองเพียง “วอลมาร์ท” ของสหรัฐ และธุรกิจพลังงานของจีน 3 บริษัท

        ประมาณบ่ายสองเราออกจากพิพิธภัณฑ์ ผมบอกเต๋าว่าจะไปปราสาทนาโกยาต่อ ซึ่งปราสาทนี่สร้างขึ้นเมื่อปี ค.ศ.1610 โดยโชกุนผู้ยิ่งใหญ่ที่สามารถรวมชาติญี่ปุ่นได้สำเร็จนาม “โตกุกาวะ อิเอยะสึ” 

        ด้วยกลัวจะเสียหน้าก็เลยชวนกันเดินอีก แต่มีข้อแม้ที่เห็นพ้องกันว่าจะกินมื้อเที่ยงกันก่อน และเมื่อเจอร้านอาหารแฟรนไชส์ในชื่อภาษาอิตาเลียนก็พุ่งเข้าไปหาทันที

        อาหารราคาถูกจนน่าแปลกใจ ข้าวผัดขมิ้นซีฟู้ด 500 เยน เบคอนผัดผักโขม 300 เยน ปีกไก่ทอด 7-8 ชิ้น 200 เยน เครื่องดื่มฟรีไม่อั้น หนึ่งอิ่มของผมที่ทำเอากึ่งหลับกึ่งตื่นสนนราคาแค่ราว 300 บาทเท่านั้น

        เราไปถึงปราสาทนาโกยาตอนเวลา 4 โมงเย็นแล้ว เต๋าบอกว่าขอนั่งรอหน้าปราสาท เพราะเข้าไปชมแล้วเมื่อวานนี้ ผมเดินไปถามเจ้าหน้าที่ได้รับคำตอบว่าปราสาทปิด 4 โมงครึ่ง และจะไม่อนุญาตให้เข้าหลัง 4 โมงตรง 

        นี่คือผลที่ได้รับจากความหัวรั้นของนักเดิน 

        เวลารถไฟเข้าโตเกียวของผมทำให้หยุดยั้งความคิดแข่งกันเดินต่อเอาไว้ได้ เราจึงขึ้นรถบัสเหลืองที่วิ่งรอบเมือง มันวิ่งย้อนทางที่เราเดินมาจนกระทั่งถึงที่พัก ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง เต๋าเปิดประตูห้องพักยกกระเป๋ายื่นให้ แล้วเราก็ลากันตรงนั้น

        ผมขึ้นรถไฟชิงกันเซ็น ใช้เวลา 2 ชั่วโมงครึ่ง ถึงโตเกียวประมาณ 20.30 น. ยอมรับว่ารถไฟทั้งบนดินและใต้ดินของโตเกียวทำเอาสับสนมึนงงกว่าเมืองไหนๆ ที่ผ่านมา แต่สุดท้ายก็ไปยังสถานีเมโทรปลายทาง Uguisidani จนได้ พนักงานสถานีบอกให้เลี้ยวซ้ายเมื่อออกจากสถานี และเมื่อถึงถนนใหญ่ก็ถามสตรีคนหนึ่ง เธอบอกให้เดินตรงไป

        ผมเดินกลับไป-กลับมาบนถนนใหญ่สายนี้อยู่ราว 1 ชั่วโมง พร้อมกับแบกกระเป๋าสิบกว่ากิโลกรัมบนหลัง เมื่อเห็นว่าจนด้วยปัญญาแล้วก็เลยถามวัยรุ่นชายคนหนึ่งที่เดินผ่านมา เขาบอกว่า “พี่ต้องเลี้ยวซ้ายตั้งแต่แรก แล้วเดินตรงไปเรื่อยๆ” ผมเดินตามที่เขาบอกไปจนจุดที่คิดว่าน่าจะถึงแคปซูลโฮสเทลที่จองไว้แล้ว แต่ก็ยังไม่เจอ ถามวัยรุ่นชายอีกคน น้องแกเดินไปส่งถึงที่เลย และผมคงจะหาอยู่อีกนานถ้าไม่ได้น้องคนนี้ เพราะทางเข้าพิลึกกึกกือมากทีเดียว

        เช็กอินเสร็จผมก็ออกไปกินมื้อเย็นในร้านอาหารอินเดียที่เพิ่งเดินผ่านมา มีชุดไก่ทันดูรี ผักบร็อกโคลีลวก และเบียร์กิริน 1 แก้ว ตอนเรียกเก็บเงินผมถามบริกรหนุ่มว่า “ที่นี่เขาไม่รับทิปกัน คุณรับหรือเปล่า”

        “Up to you sir แล้วแต่ท่านครับ” คือคำตอบ

        ทำให้ต้องถามตัวเองว่า “เราเดินมาไกลถึงอินเดียเลยหรือนี่.

---------------

ภาพ

1.       แม่น้ำโดทงโบริ แม่น้ำสายเล็กๆ ย่านใจกลางเมืองโอซากา

2.       ปราสาทโอซากาในวันครึ้มฟ้าครึ้มฝน


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"