เป้าหมาย-แนวรบเดิม แต่แยกกันตี


เพิ่มเพื่อน    

 เสียงเตือนถึงแกนนำม็อบ ทบทวนแนวทาง ก่อนเสียแนวร่วม

            การเคลื่อนไหวชุมนุมทางการเมืองของกลุ่มม็อบสามนิ้วโดยการนำของคณะราษฎร 2563 แม้ช่วงนี้จะนัดชุมนุมกันน้อยลง แต่แกนนำม็อบยังยืนยันจะเคลื่อนไหวต่อไป ซึ่งการชุมนุมทางการเมืองทุกครั้งที่มีคนมาร่วมจำนวนมาก คนกลุ่มหนึ่งที่มีความสำคัญไม่น้อยก็คือ การ์ดผู้ชุมนุม โดยเฉพาะการทำหน้าที่ดูแลความปลอดภัยให้ผู้ชุมนุม ซึ่งช่วงที่ผ่านมาการทำงานของการ์ดการชุมนุม มีทั้งข่าวและคลิปออกมาเป็นระยะ เช่น มีการทะเลาะทำร้ายร่างกายกันเอง จนถูกมองว่า กลุ่มการ์ดมีปัญหาการทำงานร่วมกัน ซึ่งเมื่อต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา การ์ดอาสา We Volunteer หรือ WeVo ที่อยู่กับการชุมนุมมาตั้งแต่แรกเริ่ม ได้ประกาศแยกตัวออกมาเพื่อจะมาเคลื่อนไหวทำกิจกรรมการเมืองกันเองในนามของกลุ่มวีโว่

                โตโต้-ปิยรัฐ จงเทพ หัวหน้ากลุ่ม WeVo อดีตหัวหน้าการ์ดของกลุ่มราษฎร 63 ซึ่งเคลื่อนไหวทำกิจกรรมทางการเมืองมาตั้งแต่ยุค คสช.ในนามกลุ่มคนอยากเลือกตั้ง ร่วมกับแกนนำคนอื่น เช่น รังสิมันต์ โรม เขาได้บอกเล่าเรื่องราวการทำงานของการ์ดม็อบสามนิ้วในช่วงที่ผ่านมา เชื่อมโยงมาถึงการขับเคลื่อนของกลุ่มวีโว่ต่อจากนี้ โดยย้ำว่ายังคงเป้าหมายเดียวกันกับกลุ่มคณะราษฎร เพียงแต่จะใช้รูปแบบการเคลื่อนไหวที่เป็นอิสระและแตกต่างออกไป

            กลุ่มวีโว่จะขับเคลื่อนอย่างไรต่อไปนับจากนี้ ลำดับแรก ปิยรัฐ-หัวหน้ากลุ่ม Wevo วิเคราะห์สถานการณ์การเมืองต่อจากนี้เชื่อมโยงไปถึงการชุมนุมทางการเมืองว่า การเมืองไทยคงไม่ไปถึงจุดพีกหรือจุดต่ำกว่านี้ไปอีกแล้ว มันจะรักษาระดับแบบนี้ต่อไป จะยื้อแบบนี้ไปจนกว่าจะมีเหตุปัจจัยอื่นที่มันมีผลต่อสถานการณ์มากกว่านี้ ซึ่งตราบใดที่ยังไม่มีการบังคับใช้ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 อย่างรุนแรง และยังไม่มีการยกเลิก 112  สถานการณ์ม็อบก็จะไม่ลงและจะไม่ขึ้น เว้นแต่จะมีการบังคับใช้มาตรา 112 อย่างรุนแรง ก็จะนำไปสู่เหตุการณ์ที่ยกระดับนำไปสู่การตื่นตัวอีกครั้งหนึ่งของประชาชน

...หากให้มองรัฐบาลพลเอกประยุทธ์ในช่วง 1-2 เดือนต่อจากนี้ คิดว่าพลเอกประยุทธ์อยู่ได้ อาจอยู่ได้สักถึง 1-2 ปี แต่การเมืองก็จะเป็นแบบนี้ คือสถานการณ์การต่อสู้จะเปลี่ยนแปลงรูปแบบออกไป การประท้วงอาจเกิดขึ้นเป็นรายสัปดาห์ หรืออาจขยับเป็นรายเดือนชุมนุมครั้งใหญ่ๆ แต่ไม่ได้ลดน้อยถอยลงไปในเชิงปริมาณ จะไม่ลดน้อยถอยลงในเชิงขบวนการ แต่จะแตกหน่อออกไปเป็นกลุ่มต่างๆ และที่สำคัญจะมีแนวทางที่หลากหลายมากขึ้น หลายคนอาจคิดว่า แนวทางที่กลุ่มคณะราษฎร 63 ต่อสู้อยู่ ณ ตอนนี้ไม่เวิร์ก อาจจะมีคนตั้งกลุ่มต่างๆ ขึ้นมาเพื่อต่อสู้ในแนวทางที่เขาเชื่อมั่นว่า เป็นแนวทางไปสู่หนทางแห่งชัยชนะก็ได้ ในจุดที่คนมองว่ามันเหมาะกับสถานการณ์ ที่ก็จะยื้อถ่วงรั้งกันแบบนี้ รักษาสภาวะแบบนี้ไปตลอด

ม็อบสามนิ้ว-แม่น้ำแยกสาย

ทางใหม่ของ-กลุ่มวีโว่

ปิยรัฐ-หัวหน้ากลุ่ม Wevo กล่าวถึงทิศทางของกลุ่มต่อจากนี้ว่า วีโว่เริ่มต้นจากการเป็นสตาฟฟ์ ตั้งแต่เริ่มมีการชุมนุมทางการเมืองของกลุ่มเยาวชนปลดแอก จนกระทั่งเราเห็นว่าเรายังขาดเรื่องของความปลอดภัย จึงมีการเพิ่มมาตรการดูแลความปลอดภัยเข้ามา หลังจากนั้นภาพจำของสังคมจึงจำว่านั่นคือการ์ด แต่จริงๆ เราคือสตาฟฟ์ในชุดแรกๆ เมื่อเป็นการ์ด ก็เป็นการ์ด เราก็ยอมเป็นการ์ดให้ จนกระทั่งมีการสลายการชุมนุมเมื่อช่วงเช้า 15 ต.ค. ตอนชุมนุมใหญ่ที่เริ่มต้น 14 ต.ค. ก็เริ่มมีการ์ดเกิดขึ้นหลายกลุ่ม เมื่อเกิดหลายกลุ่มก็ยอมรับว่ามีปัญหาเกิดขึ้นบ้าง ในเรื่องการบริหารจัดการ-การประสานงาน-ความไว้เนื้อเชื่อใจ พอมีปัญหาเราก็คิดว่าถึงเวลาพอดีที่เราคิดว่าการต่อสู้ในรูปแบบ เดิมน่าจะถึงจุดที่ต้องหาทางที่ต้องหาทางออกเดินหรือการหาทางเลือกอื่นบ้าง แต่ไม่ได้หมายความว่าทางของเขาไม่ถูก แต่หมายความว่า ควรมี choice 1-2-3 ไว้เผื่อบ้าง

            วีโว่เลยคิดว่า ประสบการณ์ที่เราสั่งสมมา รวมถึงการจัดตั้งขบวนการที่ทำไว้ และรูปแบบการทำงานที่เป็นระบบ มีวินัย มันควรไปทำอย่างอื่นที่มีประสิทธิภาพ หรือไปทำอย่างอื่นที่ยังขาดตกบกพร่องอยู่ซึ่งวีโว่จะทำอะไร ผมยังตอบไม่ได้ ณ วันนี้ แต่สิ่งที่ผมตอบได้ชัดเจนคือ วีโว่ไม่ใช่การ์ดอีกต่อไป แต่วีโว่คือกลุ่มบุคคลหรือกลุ่มองค์กรที่จะเติบโตขึ้น เพื่อสนองตอบต่อการขับเคลื่อนในรูปแบบใหม่ ที่ไม่ใช่การชุมนุมยืดเยื้อ ที่ไม่ใช่การตั้งเวทีปราศรัย-ไม่ใช่การชุมนุมค้างคืน แต่จะเป็นการเคลื่อนไหวแบบสายฟ้าแลบ ไม่ต้องเอามวลชนมาเป็นผนังทองแดงกำแพงเหล็ก ไม่ต้องเอาประชาชนมาเป็นมวลชนในการขับเคลื่อนในรูปแบบของการเดินขบวนหรืออะไรก็ตามแต่ เราจะไม่ทำแบบนั้น

            เรามีมวลสมาชิกห้าร้อยคนของวีโว่ ที่พร้อมมูฟไปในสถานที่ซึ่งเราต้องการชูประเด็นให้เกิดขึ้น สมมุติพลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ มีข้อครหาเรื่องนาฬิกา แล้วเขาอยู่ทำเนียบรัฐบาล เราก็อาจนำห้าร้อยชีวิตของเราไปที่หน้าทำเนียบฯ ไปเสนอข้อมูลเรื่องนี้ต่อประชาชน โดยไม่กระทบต่อการจราจรและการใช้ชีวิตของประชาชน นี่คือรูปแบบของวีโว่ที่จะทำ พูดง่ายๆ ว่าเจาะไปที่ปัญหา-ตัวบุคคลที่คือปัญหา นำเสนอสื่อสารสาธารณะไป โดยจะไปเฉพาะเราวีโว่ จะเป็นขบวนการเคลื่อนไหวทางการเมืองแบบใหม่

-ที่จะทำต่อจากนี้ คนก็ต้องถามว่าวีโว่ได้ทุนจากไหน มีใครเป็นท่อน้ำเลี้ยงให้วีโว่?

            วีโว่ทำทั้งร่ม-เสื้อขาย อย่างเสื้อก็ 2,500 ตัว ขายตัวละ 450 บาท เหล่านี้คือท่อน้ำเลี้ยง และที่สำคัญคนไม่ค่อยรู้กันว่าวีโว่ สภาพการณ์คนที่มารวมกันเรามีแต่ชนชั้นกลาง เรามีลูกผู้พิพากษา ลูกอัยการ ลูกนายพล เรามีนักขับเครื่องบิน มาเป็นการ์ดวีโว่ เรามีชนชั้นกลางจำนวนมากเขามีทุนทรัพย์ คนชั้นกลางที่มีตังค์ บางคนก็ลูกมหาเศรษฐีเช่นที่เพชรบูรณ์ ก็รวยเป็นร้อยล้านบาท เรามีคนจบจากต่างประเทศไม่ต่ำกว่า 20 คน คนที่นี่ส่วนใหญ่ไม่ได้เดือดร้อนเรื่องเงิน เขาเข้ามาโดยพร้อมจะควักกระเป๋า เลยมีคนพูดว่าทำไมการ์ดกลุ่มนั้นมีอะไรดีกว่าการ์ดกลุ่มนี้ ก็จะทำยังไง ในเมื่อวีโว่มีระบบแบบนี้ มันทำให้ชนชั้นกลางเขาซื้อ เหมือนวัดป่ากับวัดธรรมกาย ทำไมคนมีเงินถึงไปวัดธรรมกาย เขาอาจชอบรูปแบบของวัดธรรมกายก็ได้

            ถามเมื่อว่า การเคลื่อนไหวที่แยกออกมาแบบนี้ คนก็ต้องมองว่าวีโว่มีปัญหาขัดแย้ง จนต้องแยกออกมาจากการเคลื่อนไหวกับกลุ่มคณะราษฎร ที่เคยร่วมงานกันมานาน ปิยรัฐ-อดีตแกนนำกลุ่มคนอยากเลือกตั้ง แจงว่า ถ้าจะบอกว่าแยก ก็แยกในวิธีการ แต่ไม่ได้แยกเพราะความขัดแย้ง หรือเกิดความแตกแยก เพราะวิธีการมันมีหลายวิธี

“ถ้าผมแตกแยก ผมจะบอกว่าคุณไปทางนั้น ผมมาทางนี้ หมายถึงเช่น หากเขาบอกว่าจะไปลานพระบรมรูป ไปถึงหมุดคณะราษฎร แต่ผมจะไปถึงแค่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย จะไปไม่ถึงหมุดคณะราษฎร อันนั้นคือแตกแยกหรือขัดแย้ง แต่หากเขายืนยันจะไปหมุดคณะราษฎร ผมก็จะไปหมุดคณะราษฎรเหมือนกัน นั่นคือการแยกกันตีก็ได้ ในการยุทธศาสตร์ทางการทหาร เป็นเรื่องปกติในทางการต่อสู้”

ตั้งคำถามย้ำว่า หลังจากนี้เวลามีการชุมนุมของกลุ่มคณะราษฎร จะไม่เห็นโตโต้และวีโว่ในที่ชุมนุม หัวหน้ากลุ่มวีโว่ ยืนยันว่า จะไม่เห็นรูปแบบของวีโว่ในที่ชุมนุม แต่ถ้าจะไปในนามส่วนบุคคลไม่ว่ากัน ผมจะไปเดินในที่ชุมนุมในนามส่วนบุคคล ผมไปให้กำลังใจแล้วกลับก็ได้ เพราะผมไม่ได้ทะเลาะแตกหักอะไรกันขนาดนั้น เราชัดเจนแล้วว่าจะขับเคลื่อนโดยวีโว่ และวีโว่จะขับเคลื่อนในแนวทางเดียวกัน แต่คนละเส้นทาง

-ก่อนที่วีโว่แยกออกมาแบบนี้ แสดงว่าเกิดปัญหาขึ้นใช่หรือไม่ ลองไล่พัฒนาการของปัญหาของกลุ่มการ์ดการชุมนุมในครั้งนี้?

            ปัญหาที่เจอก็มี 2-3 เรื่อง ซึ่งเกิดจากปัญหาภายในก็มี ก็เช่น การที่มีการ์ดเกิดขึ้นจำนวนมาก โดยหลังมีการสลายการชุมนุมเมื่อช่วงเช้าวันที่ 15 ต.ค. ทำให้ความเห็นของแกนนำมีทิศทางที่หลากหลายขึ้น บางคนต้องการการชุมนุมแบบมีแกนนำ บางทีมก็ต้องการมีการชุมนุมแบบไม่มีแกนนำ บางทีมต้องการแบบแฟลชม็อบ และบางทีมต้องการการนำเสนอประเด็นการเคลื่อนไหวที่เพิ่มขึ้น ก็มีเยอะมาก ก็ต้องยอมรับ เพราะขบวนการที่ไม่มีการจัดตั้ง ก็จะเป็นแบบนี้ ไม่มีนายทุน ไม่มีนายใหญ่อยู่ข้างบนแล้วสั่ง 1-2-3-4 ลงมา มันไม่มีระบบแบบนั้น เมื่อไม่มีแบบนั้น ใครก็เป็นแกนนำได้ คุณมีเฟซบุ๊ก แล้วมีคนติดตาม 4-5 หมื่นคน ก็เป็นแกนนำได้ ก็เกิดกลุ่มแบบนี้เยอะแยะมากมาย

ส่วนปัจจัยภายนอกก็มี ก็มาจาก มือที่สาม คือคนที่เป็นอีกกลุ่มที่ไม่พอใจเรา เป็นมวลชนอีกกลุ่มที่ไม่โอเคกับการเคลื่อนไหวของเรา ก็พร้อมจะนัดหมายมวลชนมาเผชิญหน้ากับเราในนัดหมายหลายครั้งที่ผ่านมา ก็ใส่เสื้อเหลือง ใส่เสื้อหลากสีแล้วเข้ามาในพื้นที่ชุมนุม เราจะเห็นหลายครั้ง จะกระทบกระทั่งกันก็มีบางครั้ง จะรุนแรงถึงขนาดยิงกันก็มีมาแล้ว รวมถึงปัจจัยที่ภาครัฐเรียนรู้วิธีการเคลื่อนไหวของเราในช่วงที่ผ่านมา และหาวิธีจัดการกับเราได้ง่าย

            จากสามปัจจัยข้างต้นประกอบกัน ทำให้วีโว่ต้องพัฒนาตัวเองหรือแอคทีฟตัวเองขึ้นไปให้เป็นมากกว่าสิ่งที่เขาจะทำลายเราได้ ในเมื่อเขาจัดตั้งคนมา เพราะรู้ว่าเราจะไปไหน เราก็ต้องทำให้เขาไม่รู้ ในเมื่อรัฐจะเข้ามาแทรกแซงเรา จากกลไกที่มันเปิดกว้าง เราก็ต้องปิดมันเสีย ก็เอาเฉพาะคนที่เราไว้ใจ 500 คนที่วีโว่เรามี ก็ปิดมันเสีย ป้องกันการแตกหน่อแตกแยกในกลุ่มพวกเรา เราก็ต้องไม่ไปอยู่ในจุดที่เขาขัดแย้งกัน เราก็ไปอยู่ในส่วนของเรา เป็นองค์กรคู่ขนานกันไป การต่อสู้ คุณอยากไปอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย คุณอยากเดิน คุณเดิน คุณอยากปั่นจักรยานก็ทำ แต่ผมอยากจะวิ่ง มันก็จะเป็นทางคู่ขนานกันไป ก็อย่าไปอยู่ในจุดที่เขาอยากจะเดิน แต่เราอยากปั่นจักรยาน มันก็จะทะเลาะกัน

            ผมเป็นคนบอกกับทีมงาน บอกกับแกนนำทุกคนเลยว่า เมื่อไหร่ก็ตามที่เราบอกว่าเราไม่ใช่ม็อบจัดตั้ง เราต้องยอมรับสภาวะความขัดแย้งภายในให้ได้ และเราต้องบริหารจัดการมันให้ได้ ถ้าเมื่อไหร่เราคิดเล็กคิดน้อย ถือโทษโกรธเคืองกัน มันก็ไม่จบไม่สิ้น แล้วจะนำไปสู่ความขัดแย้งรุนแรง ผมเป็นคนบอกน้องๆ เขาเองว่าต้องทำใจและหาทางรับมือ ถ้าเมื่อไหร่คุณรับมือกับมันได้ จะเป็นการเคลื่อนไหวที่น่ากลัวที่สุด แล้วคุณจะไม่พ่ายแพ้แบบที่ฮ่องกงพ่ายแพ้ ฮ่องกงก็แบบนี้ เกิดกลุ่มก้อนต่างๆ มีความขัดแย้งภายใน

                -ที่มีคลิปการทะเลาะทำร้ายร่างกายกันของการ์ด เป็นอย่างไร?

            ผมคิดว่ามันเป็นเรื่องเล็กน้อยมากสำหรับการชุมนุมที่มีคนมาร่วมเป็นพันเป็นหมื่น แล้วมาทำงานร่วมกันก็อาจมีการกระทบกระทั่งกัน แต่ที่รับไม่ได้คือการทำร้ายร่างกายกัน  ถามว่าการ์ดของวีโว่โดนทำร้ายร่างกายกันยอมรับได้ไหม  เรื่องนี้ไม่ใช่แค่วีโว่ ต่อให้เป็นประชาชนถูกทำร้ายร่างกายผมก็ยอมรับไม่ได้ ก็ต้องประณาม เพราะนี่คือสิ่งที่เรายืนยันมาตลอดในการรักษาซึ่งสิทธิเสรีภาพ การไม่ละเมิดซึ่งสิทธิในร่างกายของใครคนใดคนหนึ่ง เป็นเรื่องที่เราออกมาเรียกร้อง  ผมจึงตักเตือนและให้มีการดำเนินการตามกฎหมายบ้านเมือง  ไม่ใช่เอากำลังตอบโต้หรือเอาพวกไปห้ำหั่นกัน เราไม่ทำ

เราก็ต้องชี้แจงไปตามข้อเท็จจริง ไม่ปกปิด ไม่โกหกประชาชน ไม่ใช่มาช่วยกันปิดข่าว ไม่ให้ใครรู้ว่าเราทะเลาะกัน ผมไม่ใช่คนอย่างนั้น ผมตรงไปตรงมา ทำไมต้องมาปิด  คนถามว่า เห้ย จริงไหมการ์ดตีกัน ก็ตอบว่าจริง ผมยอมรับ  ตีกันเพราะอะไร ก็เพราะทำงานไม่เข้าขากัน แล้วจะทำอย่างไร ก็คุยกัน ก็จบ ส่วนคนไม่พอใจก็ไปแจ้งความ แล้วก็ไม่มีการไปเอาคืน หลายคนบอกอย่าไปให้ข่าวเลย คนจะเอาไปไอโอ เอาไปโจมตี ทั้งที่หากเรายิ่งพูดความจริง ไอโอยิ่งทำงานไม่มีประสิทธิภาพ คือหากเกิดเรื่องต้องรีบแถลง ให้ความจริง  เอาคลิปออกมา แล้วก็ให้คำมั่นสัญญากับประชาชนว่าเราจะแก้ปัญหา เราจะไม่หมกมันไว้ใต้พรม ผมเชื่อว่าประชาชนจะเข้าใจ

                -เวลามีการชุมนุมแต่ละครั้ง ก่อนการชุมนุมได้คุยกับพวกการ์ดทั้งหมดด้วยตัวเองหรือไม่?

            ผมจะคุยในระดับยุทธศาสตร์ เช่นแนวทางจะไปอย่างไร  แต่รายละเอียดของงานที่แต่ละกลุ่มจะคุยกัน จะมีการมอบหมายให้คนไปคุย เพราะผมไม่สามารถไปดูในรายละเอียดได้  ผมอาจไม่ได้ไปในการชุมนุมทุกครั้ง เพราะผมอาจมั่นใจว่าอาจจะโดนจับก่อน 1-2 วัน ซึ่งหากมีผมไปรู้ทุกเรื่องทุกกระบวนการแล้วผมถูกจับมา คือจบ ฉะนั้นเมื่อผมดูยุทธศาสตร์ ผมจะไม่ไปดู process คนที่ประสานเรื่อง  process เขาจะประสานกันเอง ก็เลยมีข้อครหาว่าโตโต้ไม่มาคุย มันไม่ใช่ ก็ในเมื่อหน้างานผมไม่ได้ไปอยู่ด้วยกับพวกคุณ  ผมก็ต้องส่งคนที่อยู่หน้างานไปคุยกับพวกคุณ ไม่อย่างนั้น โตโต้จะแบกทุกอย่างไว้บนบ่า แล้วหากไม่มีโตโต้เมื่อไหร่คือจบ

-ในการ์ดมีพวกหัวหน้าทีม เช่น เก่ง อาชีวะ กับ เอ็ม  จากกลุ่มการ์ดภาคีเพื่อประชาชน?

            พวกเขาเป็น head ขอแต่ละกลุ่ม ของกลุ่มภาคีฯ เรียกว่าเป็นผู้ประสานงานของแต่ละกลุ่ม เช่นเดียวกับกลุ่มวีโว่ คนของวีโว่ที่โดนต่อยตามคลิปที่มีการเผยแพร่ก็เป็นผู้ประสานงานของวีโว่ โดยก็มีบางคนไม่พอใจว่าทำไมวีโว่ส่งเขามา ก็ในเมื่อเขาได้รับมติจากวีโว่ให้เป็นผู้ประสานงาน ส่วนที่ผมไม่ไปก็ผมดูในส่วนของยุทธศาสตร์ไปแล้ว ผมไม่สามารถไปดู  process ได้อีก หากผมไปลงพื้นที่เขาก็จะไม่รู้จัก เพราะผมไม่ได้ไปประชุมหน้างานกับเขา แล้วผมไปถึงสองชั่วโมงผมก็กลับแล้ว ไม่ได้ไปอยู่ทั้งงาน หรือถึงแม้ว่าหากผมอยู่แล้วถึงมีวันหนึ่งผมถูกจับมาจะทำอย่างไร ในเมื่อคดีความของผมก็พัวพันหลายคดีในเวลานี้ จะถูกจับเมื่อไหร่ก็ยังไม่รู้ หมายจับจะออกมาเมื่อไหร่ก็ยังไม่รู้เลย ผมเลยต้องกันตรงนี้ไว้เพื่อหากเกิดไม่มีผม โครงสร้างและการทำงานจะต้องอยู่ได้โดยรูปแบบนี้

            เราถามว่ามีการซื้อตัวการ์ดจากบางฝ่ายหรือไม่ ปิยรัฐ-อดีตหัวหน้าการ์ดการชุมนุม ตอบว่า ไม่มีหลักฐานขนาดนั้น แต่คิดว่ามีความพยายามแทรกซึมอยู่ เพียงแต่จะแทรกซึมได้ถึงชั้นการทำงานระดับไหน เช่นหากแทรกซึมเฉพาะการ์ดหลัก 10-20 คน กลุ่มเล็กกลุ่มน้อย ก็เป็นเรื่องปกติที่ต้องหาวิธีการจัดการ แต่หากแทรกซึมมาถึงวงในระดับการตัดสินใจ ระดับหัวของการ์ดได้อันนี้อันตราย ณ เวลานี้ผมยังไม่ฟันธงว่ามันมี แต่เชื่อว่ามีความพยายาม

            เมื่อกลับมาคุยเรื่องการเมืองเชื่อมโยงกับการชุมนุมทางการเมืองอีกครั้ง เราถามถึงฉากจบของสถานการณ์การชุมนุมต่อจากนี้จะเป็นแบบไหน ปิยรัฐ-อดีตหัวหน้าการ์ดของกลุ่มราษฎร มองว่า เรื่องนี้ต้องอิงเวลาด้วย แต่หากในช่วง 1-2 ปีนี้ก็คิดว่าพลเอกประยุทธ์ก็คงเป็นนายกฯ ต่อ ส่วนการต่อสู้ทางการเมืองก็คงมีการจับกุมคุมขังแกนนำหลังจากนี้เมื่อสถานการณ์อ่อนล้า ถอยแรง หรือสะดุดขาตัวเองล้ม ก็เป็นไปได้ ถ้าเมื่อไหร่ม็อบแผ่ว ทำผิดพลาดบ่อยๆ ประชาชนไม่ซื้อแล้ว แนวทางไม่โอเค คนไม่เอากับม็อบแล้ว พลเอกประยุทธ์ก็อาจถือโอกาสนั้นเคลียร์คดีและจัดการกับแกนนำ  แล้วพลเอกประยุทธ์ก็อยู่ต่อได้ จนถึงวินาทีสุดท้าย หรืออาจจะไปอีกทางหนึ่ง แต่ผมให้น้ำหนักน้อยกว่าข้อแรก คือการชุมนุมจากนี้จากที่ชุมนุมกันทุกวัน ก็จะเปลี่ยนเป็นการชุมนุมทุกสัปดาห์ แล้วก็คงขยับเป็นเดือนละครั้ง แต่ทุกครั้งที่เปลี่ยนไปจะต้องเป็นการชุมนุมที่ใหญ่ขึ้น ประเด็นต้องแหลมคมขึ้น ก็เป็นไปได้ จนถึงพลเอกประยุทธ์ลาออก หรือไม่ก็อยู่ครบเทอม ก็เป็นไปได้เหมือนกัน แต่ผมให้น้ำหนักข้อแรกก่อน คือนายกฯ จะเอากฎหมายมาบังคับใช้อย่างเข้มงวด แล้วก็มีการจับกุมคุมขังแกนนำอย่างแน่นอน

-หมายถึงแกนนำและผู้ชุมนุมก็ต้องทบทวน มองจุดแข็งจุดอ่อนของตัวเองเพื่อไม่ให้สะดุดล้ม?

            ใช่ มันก็ต้องแบบนั้น เหมือนกับที่ผมทำอยู่ตอนนี้ พอเราทบทวนแล้วว่ารูปแบบนี้มันไม่ใช่ หรือยังมีปัญหาที่เราแก้ไม่ได้ ดังนั้นเพื่อลดความเสี่ยง ลดปัญหา ลดการกระทบกระทั่ง มีคนคอยสำรองทางให้เดิน ผมจะถางทางไว้รอ อันนี้ก็คือการปรับปรุงทบทวนรูปแบบการทำงาน

            อนุสาวรีย์ประชาธิปไตยก็คืออนุสาวรีย์ประชาธิปไตย  แต่อยู่ที่วิธีการที่จะไปถึง ผมอาจกระโดดแม่น้ำเจ้าพระยาแล้วว่ายน้ำข้ามไปก็ได้ เป้าหมายเหมือนเดิม แนวทางเปลี่ยนวิธี  เปลี่ยนแปลงกระบวนการทำงาน การต่อสู้ ให้ตอบสนองต่อสถานการณ์นั้น ถ้าเรายึดติดกับรูปแบบเดิม เขาก็จับทางได้  จับทางได้ เขาก็จะจัดการกับเราได้ 

เตือนแกนนำม็อบก่อนแนวร่วมหาย

-การชุมนุมของม็อบรอบนี้จะเหมือนกับฮ่องกงไหม  ที่สุดท้ายการชุมนุมก็ไม่ได้ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงใดๆ?

            คือฮ่องกงเขาเหมือนกับต่อสู้ way เดียวเลย ชุมนุม-จบ  ชุมนุมยืดเยื้อ-จบ อย่างนี้หลายรอบตั้งแต่ปี 2557 ผมก็เคยเดินทางไปฮ่องกงเพื่อศึกษาเรื่องนี้ ผมก็ดูตลอด ซึ่งมันไม่เวิร์กกับเมืองไทย ประสบการณ์ที่ผ่านมาทั้งของไทยเองและของเขา มันไม่เวิร์ก มิหนำซ้ำมวลชนจะล้าและเสียแนวร่วมไปเรื่อยๆ

...อย่าลืมว่าการชุมนุมแบบวันต่อวันที่ทำอยู่ ต้องอาศัยแรงสนับสนุนจากคนกรุงเทพฯ ไม่สามารถอาศัยคนต่างจังหวัดได้ เพราะการนัดชุมนุมแบบวันเว้นวัน แล้วยิ่งมีการแกงกันอีกด้วย คนต่างจังหวัดไม่สามารถรับกับการแกงได้  เพราะเขาต้องเตรียมข้าวปลาอาหาร เตรียมค่าน้ำมัน เตรียมลางาน ก่อนจะเดินทางได้แต่ละครั้ง จึงต้องอาศัยคนกรุงเทพฯ เป็นกำลังหลักในการเคลื่อนย้ายคน แต่เมื่อไหร่ที่สร้างปัญหา สร้างให้คนกรุงเทพฯ ไม่ซื้อกับวิธีการของคุณ  แล้วเป็นปัญหาเสียเอง เขาถอยขึ้นมาจะทำยังไง

-เป็นปัญหาแบบไหน?

            ปัญหาหลายเรื่อง ก็เช่นการจราจร การกระทบกระทั่งของคนในพื้นที่ การนำเสนอเนื้อหาที่ซ้ำซาก ไม่นำไปสู่ชัยชนะที่แท้จริง มองว่าเป็นการยื้อเวลา การถ่วงรั้ง คือคนกรุงเทพฯ ต้องยอมรับอย่างหนึ่ง เมื่อฟีเวอร์เขาก็ฟีเวอร์ แต่เมื่อไม่เอาก็คือไม่เอา ไม่อินก็คือไม่อิน ไม่เช่นนั้นคงไม่เกิดการสวิงโหวตของการเลือกตั้งแต่ละครั้ง เดี๋ยวก็พรรคเพื่อไทย  เดี๋ยวก็ประชาธิปัตย์ มันสวิง เพราะคนเขามีความคิดบางอย่างที่ไม่ได้ยึดติดกับอะไรเลย

-และตอนนี้มันก็กำลังเป็นแบบนั้นแล้ว?

            ผมค่อนข้างมั่นใจว่ามันมีโอกาส เพราะเสียงสะท้อนกลับมาที่ผม มันไปในทิศทางเดียวกัน เขาก็เตือนมา เช่นปิดถนนกันทุกวัน ประชาชนอาจไม่พอใจได้ หรือระวังคุณทะเลาะกันทุกวัน ประชาชนอาจเอือมระอาก็ได้ หรือระวังแนวทางคุณไม่ชัด เดี๋ยวคนโน้นลดคนนี้เพิ่ม ประชาชนอาจถือว่าคุณไม่มีหลักการ ไม่มีแนวทางที่ชัดเจน มันก็เป็นไปได้ทั้งหมด.

                                                            โดย วรพล กิตติรัตวรางกูร

                                                                                ศิริรัตน์ บุรินทร์กุล

...................................................

 


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"