ค้อนเคียวเกินไปแล้ว ‘ประยุทธ์’ฮึ่มผิดต้องจัดการ-บ้านเมืองมีกฎหมาย


เพิ่มเพื่อน    

 

“ประยุทธ์” เดือด! เกินไปแล้ว ใช้สัญลักษณ์คอมมิวนิสต์ “ค้อน-เคียว” พ่วงแนวคิดสาธารณรัฐ ชี้ใครเข้าข่ายผิดกฎหมายต้องจัดการ เด็ก พปชร.แฉเข้าข่ายกบฏ แกนนำราษฎรเดินสายรับทราบข้อกล่าวหาตามมาตรา 112 พร้อมใจท่องคาถาในต่างประเทศไม่มีใครใช้ ผวา! ดักคอล่วงหน้าห้ามฝากขัง  “บิ๊กกวิ้น” โวยเด็กไม่ถึง 18 ปีก็โดนคดี พร้อมเชิญแขกลงทัวร์พรรคกำนันเทือก ปลุกร่วมชุมนุมกิจกรรม 10 ธ.ค.
    เมื่อวันอังคารที่ 8 ธันวาคม ที่ทำเนียบรัฐบาล ก่อนที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม จะให้สัมภาษณ์หลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) สำนักโฆษกนายกรัฐมนตรีได้เปิดเพลงบ้านเกิดเมืองนอน ของวงสุนทราภรณ์ โดย พล.อ.ประยุทธ์ได้สอบถามสื่อมวลชนว่า "รู้จักเพลงนี้กันหรือไม่ เราภูมิใจตามนั้นไหม บ้านเกิดเมืองนอนของเราทุกคนต้องรัก"
    ต่อมาเมื่อสื่อถามถึงกรณีการประกาศจุดยืนเรื่องสาธารณรัฐของกลุ่มผู้ชุมนุม และการใช้ค้อนเคียวเป็นสัญลักษณ์นั้น พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า มันถูกต้องหรือเปล่า ฝ่ายกฎหมายต้องไปพิจารณา และเข้ากำหนดกฎเกณฑ์อะไรหรือไม่ ซึ่งรัฐบาลต้องป้องปรามหยุดยั้งไม่ให้ไปถึงจุดนั้น ซึ่งต้องดูที่เจตนาของเขา และความเป็นไปได้ บ้านเมืองเรามีกฎหมายอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นใครเข้าข่ายกระทำความผิด ยุยงปลุกปั่น พวกนี้ต้องถูกดำเนินคดีตามกฎหมายทุกประการ
    "เรื่องสาธารณรัฐ ผมไม่มีความเห็น เพราะประเทศไทยไม่ใช่สาธารณรัฐ มันเป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว" พล.อ.ประยุทธ์กล่าว
    มีรายงานข่าวจากที่ประชุม ครม.ว่า พล.อ.ณัฐพล นาคพาณิชย์ เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ได้รายงานความเคลื่อนไหวการนัดชุมนุมของกลุ่มราษฎร โดยประเมินว่าการที่ม็อบนัดชุมนุมโดยไร้แกนนำอาจทำให้แนวร่วมไม่มาก เพราะส่วนหนึ่งประชาชนอีกกลุ่มได้ออกมาแสดงออกถึงการปกป้องสถาบันเช่นกัน การรวมตัวของผู้ชุมนุมจึงไม่น่ากังวล และยังไม่ต้องทำอะไร
ขณะที่ พล.อ.ประยุทธ์ได้พูดถึงกรณีกลุ่มเยาวชนปลดแอกใช้สัญลักษณ์ตัว RT ที่ย่อมาจาก Restart Thailand ซึ่งมีสัญลักษณ์ค้อนเคียวคล้ายคลึงสัญลักษณ์คอมมิวนิสต์ว่า “เดี๋ยวเสื้อแดง เดี๋ยวค้อนเคียว จะเกินไปหรือเปล่า”
    ส่วน พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ กล่าวถึงสถานการณ์การเมืองตอนนี้ยังต้องจับตาอะไรเป็นพิเศษหรือไม่ ว่าดูแล้วน่าจะดีขึ้น เพราะอยู่ที่ความเข้าใจของประชาชนร่วมกัน
    เมื่อถามถึงกรณีกลุ่มผู้ชุมนุมตั้งธงเรื่องสาธารณรัฐ และมีสัญลักษณ์คล้ายค้อนเคียว พล.อ.ประวิตรกล่าวว่า เป็นเรื่องของกฎหมายให้กฎหมายเขาว่าไป เพราะเรามีกฎหมาย และเมื่อถามย้ำว่าจะสามารถควบคุมได้หรือไม่ พล.อ.ประวิตรปฏิเสธตอบคำถาม และเดินออกจากวงสัมภาษณ์ทันที
ซัดเข้าข่ายกบฏ
     ด้าน น.ส.ทิพานัน ศิริชนะ อดีตรองโฆษกพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) กล่าวว่า เพจเยาวชนปลดแอกเป็นเพจที่มีบทบาทสำคัญในการชี้นำและกำหนดทิศทางของการชุมนุมที่ผ่านมา การประกาศชูแนวคิดสาธารณรัฐ ถือเป็นการเปิดหน้าเปิดตัวอย่างชัดเจนว่ากลุ่มผู้ชุมนุมต้องการระบอบสาธารณรัฐ มีพฤติกรรมล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข เป็นการใช้สิทธิเสรีภาพที่เกินขอบเขตไปแล้ว ซึ่งเข้าข่ายฝ่าฝืนรัฐธรรมนูญ 2560 มาตรา 49 และอาจมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 113  ซึ่งมีความผิดฐานเป็นกบฏ ต้องระวางโทษประหารชีวิต หรือจำคุกตลอดชีวิต
    ส่วนกรณีที่เพจเยาวชนปลดแอกล่าสุดเปิดตัวโลโก้ค้อนเคียวสัญลักษณ์ของลัทธิคอมมิวนิสต์นั้น น.ส.ทิพานันกล่าวว่า เป็นความย้อนแย้งของกลุ่มผู้ชุมนุม เนื่องจากก่อนหน้านี้เคลื่อนไหวอ้างสิทธิเสรีภาพ พร้อมพยายามโฆษณาชวนเชื่อว่าม็อบจะมุ่งสู่ระบอบประชาธิปไตย โดยมีวาทกรรมหลอกฝันว่า เสรีภาพ เสมอภาค ภราดรภาพ มาชักชวนน้องๆ เยาวชนให้เข้าร่วมม็อบ แต่วันนี้กลับลืมเสียสิ้น กลับชี้นำพาสังคมไปสู่แนวคิดของลัทธิคอมมิวนิสต์ ที่ประชาชนไม่มีเสรีภาพ ไม่มีสิทธิ์เลือกเอง ไม่มีความเท่าเทียม
    “การเคลื่อนไหวของเพจเยาวชนปลดแอกครั้งนี้ ทำให้ประชาชนตาสว่าง หรือเบิกเนตรประชาชนมากขึ้น ว่าแท้ที่จริงแล้ว ข้อเรียกร้อง 3 ข้อนั้นเป็นไปเพียงเพื่อเปลี่ยนกลุ่มผู้กุมอำนาจรัฐที่ตนเองต้องการสนับสนุนเท่านั้น ไม่ได้ทำเพื่อให้ประเทศชาติเกิดการเปลี่ยนแปลงไปสู่สิ่งที่ดีกว่า หรือเพื่อประชาชน อีกทั้งยังจะนำพาประเทศไปสู่หายนะและพังพินาศได้” น.ส.ทิพานันกล่าว
    สำหรับความเคลื่อนไหวของแกนนำกลุ่มราษฎร ตลอดทั้งวันแกนนำได้เดินทางมารับทราบข้อกล่าวหา โดยในเวลา 09.30 น.ที่ สน.ทุ่งมหาเมฆ น.ส.ภัสราวลี ธนกิจวิบูลย์ผล หรือมายด์ แกนนำกลุ่มมหานครเพื่อประชาธิปไตย และนายกรกช แสงเย็นพันธ์ หรือปอ แกนนำขบวนการประชาธิปไตยใหม่ และผู้ชุมนุมปราศรัยที่หน้าสถานทูตเยอรมนีรวม 9 คน พร้อมนายศุภณัฐ บุญสด ทนายความศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน เข้าพบ พ.ต.อ.พิทักษ์ สุทธิกุล รอง ผบก.อคฝ.รรท.ผกก.สน.ทุ่งมหาเมฆ เพื่อรายงานตัวตามหมายเรียกรับทราบข้อกล่าวหาในความผิดตามมาตรา 112 กรณีชุมนุมที่หน้าสถานทูตเยอรมนี เมื่อวันที่ 26 ต.ค. ภายหลังจากที่ก่อนหน้านี้ได้มารายงานตัวตามหมายเรียกในความผิดฐานยุยงปลุกปั่นตามมาตรา 116 จากการชุมนุมครั้งเดียวกัน
    ภายหลังสอบปากคำนานกว่า 4 ชั่วโมง น.ส.ภัสราวลีกล่าวว่า มารายงานตัวตามหมายเรียกมาตรา 112 โดยทุกคนที่มาตามหมายเรียก จะถูกดำเนินคดีทั้งสิ้นรวม 3 ข้อหา ประกอบด้วยมาตรา 116, มาตรา 112 และการใช้เครื่องขยายเสียงโดยไม่ได้รับอนุญาต ซึ่งได้ปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา
         "มาตรา 112 ในปัจจุบันได้ถูกยกเลิกไปในหลายประเทศทั่วโลกแล้ว แต่รัฐบาลไทยได้บังคับใช้กฎหมายดังกล่าวเพื่อกำราบประชาชนที่เห็นต่าง ขอยืนยันว่าแม้รัฐบาลจะบังคับใช้กฎหมายตามมาตรานี้เพียงใด กลุ่มผู้ชุมนุมก็ไม่ได้เกรงกลัวแม้แต่อย่างใด และพร้อมเรียกร้องข้อเสนอ 3 ข้อตามเดิมแน่นอน” น.ส.ภัสราวลีกล่าว
         ด้านตัวแทนกลุ่มธรรมศาสตร์และการชุมนุมระบุว่า ในวันที่ 10 ธ.ค. จะจัดกิจกรรมชุมนุมใหญ่ ในเรื่องการยกเลิกมาตรา 112 และขอให้ผู้ร่วมชุมนุมติดตามความเคลื่อนไหวได้ทางเพจเฟซบุ๊กของกลุ่มดังกล่าวต่อไป
    ในเวลาใกล้กัน ที่ สภ.เมืองนนทบุรี ก่อนที่นายพริษฐ์ ชิวารักษ์ หรือเพนกวิน พร้อม น.ส.ปนัสยา สิทธิจิรวัฒนกุล หรือรุ้ง, นายภาณุพงศ์ จาดนอก หรือไมค์ และนายชินวัตร จันทร์กระจ่าง หรือไบร์ท แกนนำเครือข่ายคนรุ่นใหม่นนทบุรี จะเดินทางมารับทราบข้อกล่าวหามาตรา 112 กรณีปราศรัยเมื่อวันที่ 10 ก.ย.2563 ที่ท่าน้ำนนท์นั้น พ.ต.อ.สีหเดช สระกอบแก้ว ผกก.สภ.เมืองนนทบุรี ได้กล่าวถึงขั้นตอนการแจ้งข้อหา ว่าเมื่อพนักงานสอบสวนแจ้งข้อกล่าวหาแล้วจะไม่ควบคุมตัวผู้ต้องหา และยังไม่นำไปฝากขังที่ศาลแต่อย่างใด โดยจะปล่อยตัวผู้ต้องหาทั้งหมดกลับไป และจะนัดหมายผู้ต้องหามาพบอีกครั้ง เมื่อการสอบสวนเสร็จสิ้น ส่วนการดูแลความสงบเรียบร้อยนั้น ได้จัดพื้นที่ไว้รองรับและเตรียมเก้าอี้ไว้ใกล้ห้องประชุมผิวพรรณ ซึ่งเป็นจุดที่ใช้แจ้งข้อหากับทั้ง 4 คน รวมทั้งจัดเตรียมเต็นท์และทีวีถ่ายทอดสดการสอบปากคำและแจ้งข้อหาทั้งหมดให้สื่อมวลชนได้ติดตาม ส่วนการดูแลความเรียบร้อย ก็ไม่ได้มีการร้องขอกำลังมาเสริมเป็นพิเศษแต่อย่างใด ใช้เพียงกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจของ สภ.เมืองนนทบุรี
นนท์รุ่นใหม่ร้องเลิก 112
    ต่อมานายกฤษฎางค์ นุตจรัส ทนายความศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน เดินทางมาให้การช่วยเหลือทางด้านกฎหมาย ในขณะที่เวลา 10.00 น. นายชินวัตรได้นำรถเครื่องเสียงเข้ามาจอดหน้าทางเข้า-ออก สภ.นนทบุรี พร้อมปราศรัยโจมตีการทำงานของตำรวจที่รับใช้เผด็จการ นำมาตรา 112 มาดำเนินคดีกับผู้เห็นต่าง พร้อมกันนั้นเครือข่ายคนรุ่นใหม่นนทบุรีอ่านแถลงการณ์คัดค้านไม่เห็นด้วยกับการนำมาตรา 112 กลับมาดำเนินคดีทางการเมืองกับนักกิจกรรมที่เห็นต่างฉบับที่ 1/2563
    โดยเนื้อหาแถลงการณ์สรุปว่า การใช้มาตรา 112 มาดำเนินคดีอาจทำให้เกิดความรุนแรงภายภาคหน้าทั้งทางตรงและทางอ้อม ทำให้บ้านเมืองอาจนำไปสู่สถานการณ์เลวร้ายและทางอ้อมอาจส่งผลไปยังตัวสถาบันพระมหากษัตริย์เอง ซึ่งขณะนี้ต่างประเทศได้จับตามองมาว่ากษัตริย์ไทยจะนำมาตรา 112 นี้มาดำเนินการหรือไม่
    ดังนั้น เพื่อให้สถาบันนั้นทรงอยู่เหนือทางการเมืองอย่างแท้จริง และไม่ให้เกิดการนำกฎหมาย 112 มากลั่นแกล้งเพื่อหาประโยชน์จากทุกฝ่าย กลุ่มเครือข่ายคนรุ่นใหม่นนทบุรีจึงขอให้เจ้าหน้าที่หยุดดำเนินคดี และอย่าได้รับเรื่องกล่าวโทษในมาตรานี้แจกใครทั้งนั้น ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ส่วนข้อเรียกร้องของทางกลุ่มเครือข่ายนนทบุรียังยึดตามส่วนกลาง 3 ข้อ และเรียกร้องหยุดดำเนินคดีมาตรา 112 กับคนไทยทุกคน
    ทั้งนี้ เริ่มมีมวลชนทยอยเข้าพื้นที่ประมาณ 100 คน แต่แกนนำยังไม่มา จนถึงเวลา 11.30 น. นายพริษฐ์และคณะได้เดินทางมา และให้สัมภาษณ์ว่า ถ้าตามขั้นตอนในกระบวนกฎหมายและยุติธรรม ตำรวจต้องไม่ส่งเราฝากขัง ก่อนหน้านี้ทีมทนายได้รับการติดต่อจากตำรวจว่าจะมีการส่งตัวพวกเราไปฝากขัง เมื่อเราประกาศให้มวลชนทราบ ทางผู้กำกับ สภ.เมืองนนทบุรีได้ออกมาชี้แจงว่าจะไม่มีการส่งตัวฝากขัง วันนี้ก็ต้องดูกัน ขอให้ทุกคนเฝ้าจับตาดูว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจจะเล่นตุกติกอะไรกับพวกเราหรือไม่
    “การแจ้งข้อหามาตรา 112 เพิ่มกับพวกเราในวันนี้ ไม่ใช่เป็นเพียงการกระทำต่อตัวเรา แต่คือการกระทำต่อราษฎรที่ต้องการยกเลิกมาตรา 112 และปฏิรูปสถาบันพระมหากษัตริย์” นายพริษฐ์ระบุ
    ด้านนายภาณุพงศ์กล่าวว่า การใช้มาตรา 112 กับกลุ่มแกนนำมาตรา 112 ในหลักสากลไม่มี เราไม่ได้มีความกังวลใจใดๆ สิ่งที่พวกเราพูดเป็นสิ่งที่ พล.อ.ประยุทธ์รับฟังไม่ได้เท่านั้น จึงตั้งข้อหากับพวกเรา นับตั้งแต่มีการชุมนุมทำไมเพิ่งมามีการแจ้งข้อกล่าวหา 112 กับพวกเราในวันนี้ ทั้งๆ ที่เรื่องผ่านมาเป็นเดือนแล้ว มาตรา 112 จึงเป็นเครื่องมือของรัฐบาลในการกลั่นแกล้งกับผู้เห็นต่างทางการเมืองหรือเปล่า
    น.ส.ปนัสยากล่าวว่า มาตรา 112 ถ้ามองตามความเป็นจริงก็คือกฎหมายหมิ่นประมาท แต่แค่มันเป็นกฎหมายหมิ่นประมาทของพระมหากษัตริย์ จึงควรให้ยกเลิกมาตรา 112 ถ้าจะมีการใช้กฎหมายหมิ่นประมาทก็ใช้มาตราเดียวกันกับประชาชนเพื่อให้เป็นมาตรฐานเดียวกัน
    นายพริษฐ์กล่าวเสริมว่า การใช้มาตรา 112 เพื่อการกลั่นแกล้งทางการเมือง โดยคนหนึ่งที่ถูกแจ้งข้อหามาตรา 112 ก่อนใครเพื่อนตั้งแต่ช่วงเดือน ส.ค.ที่มีใครก็ไม่รู้ และหลายๆ คนจากจังหวัดไหนก็ไม่รู้ ซึ่งไม่รู้จักแล้วมาแจ้งข้อหา อยู่จังหวัดตรังบ้าง เลยบ้าง หรือที่พิษณุโลก ซึ่งสังเกตว่าเกือบทุกครั้งผู้ที่มาแจ้งความนั้นเป็นคนของพรรครวมพลังประชาชาติไทย (รปช.) ซึ่งเป็นพรรคการเมืองของนายสุเทพ เทือกสุบรรณ จึงอยากให้พิจารณาว่านี่เป็นหลักฐานการแกล้งกันทางการเมืองหรือไม่ เพราะพรรค รปช.มีที่มาแบบไหน ตั้งมาเพื่ออะไร
ท่องคาถา ตปท.ไม่มี 112
    “มาตรา 112 เป็นมาตราที่ไม่มีความเป็นธรรมตั้งแต่แรก นานาอารยประเทศเขาไม่ใช้กัน การมีอยู่ของมาตรา 112 เป็นเครื่องมือพิสูจน์ว่าสถาบันพระมหากษัตริย์ของไทยกลัวความจริง” นายพริษฐ์กล่าว
    ผู้สื่อข่าวถามว่า จะเสียขบวนหรือไม่เมื่อแกนนำถูกดำเนินคดีไปหลายคน นายพริษฐ์ตอบว่า ไม่กระทบต่อการเคลื่อนไหวโดยภาพรวม ถ้าจะส่งผลกระทบก็คงมีอย่างเดียว คงออกมามากขึ้น ส่วนการเคลื่อนไหว ช่วงนี้เป็นช่วงที่นักศึกษากำลังสอบ ขอให้เพื่อนๆ สอบเสร็จก่อน แต่ระหว่างนี้เราก็จะมีกิจกรรมอยู่เรื่อยๆ เช่น วันที่ 10 ธ.ค. กลุ่มธรรมศาสตร์จัดเสวนาที่อนุสรณ์สถาน 14 ตุลาคม ยกเลิกมาตรา 112 ชื่องานยกเลิก 112 สิแล้วเราจะเล่าให้ฟัง นอกจากนี้ยังมีการชุมนุมของกลุ่มสหภาพแรงงาน ยกเลิกมาตรา 112 ที่หน้าสหประชาชาติ และกลุ่มสิทธิผู้พิการจัดการชุมนุมที่หน้ากระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์
    เมื่อถามถึงกลุ่ม RT MOVEMENT ที่เรียกร้องให้ยกเลิกมาตรา 112 นายภาณุพงศ์เผยว่า แต่ละกลุ่มมีจุดยืนของตัวเอง สุดท้ายไม่ว่ากลุ่มไหนจะมีแคมเปญอะไร จุดมุ่งหมายก็คือประชาธิปไตย และสิทธิเสรีภาพของความเท่าเทียมกันของมนุษย์เป็นขบวนของคณะราษฎรเหมือนเดิม เหมือนกีฬาสี มีหลายสี ส่วนสัญลักษณ์คล้ายๆ ลัทธิคอมมิวนิสต์ มันไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะทุกคนมีความคิด อาจจะไม่ใช่เรื่องคอมมิวนิสต์ก็ได้ สุดท้ายเมื่อเราเรียกร้องสำเร็จ ประชาชนทุกคนจะได้รับประโยชน์สิทธิเสรีภาพต่างๆ แต่อย่างไรก็ตาม เรายังยึดหลัก 3 ข้อที่เคยพูดกันมา
    จากนั้นทั้งหมดเข้ารับทราบข้อหาที่ห้องประชุมผิวพรรณ ก่อนชู 3 นิ้ว ส่วนบรรยากาศหน้า สภ.เมืองนนทบุรี ส่วนใหญ่ 90% ที่มาให้กำลังใจนั้นเป็นมวลชนคนเสื้อแดง โดยมีแกนนำสลับขึ้นปราศรัยโจมตีรัฐบาลและให้ปฏิรูปสถาบันพระมหากษัตริย์ โดยปิดถนนหน้า สภ.เมืองนนทบุรีด้วย
     และหลังใช้เวลารับทราบข้อกล่าวหา 1.30 ชม. นายพริษฐ์ได้ปฏิเสธให้สัมภาษณ์ ก่อนขึ้นรถเวทีปราศรัยว่า เราไม่มีความกังวลในการมารับทราบข้อกล่าวหา 112 เรามาด้วยความบริสุทธิ์ใจ ในการต่อสู้พวกเราไม่ได้กระทำความผิดเพียง แต่เป็นการพูดความจริง นอกจากพวกเราแกนนำที่ถูกมาตรา 112 แล้ว ยังมีน้องอีกคนที่อายุไม่ถึง 18 ปีที่ถูกดำเนินคดีมาตรา 116 ที่เข้าร่วมการชุมนุม เพียงแค่มีแสดงออก
    “กระบวนการยุติธรรมไทยนับวันต่ำเตี้ยลง สมัยที่ผมเป็นนักเรียนมัธยมออกมาต่อสู้ คดีการเมืองจะไม่เอามาใช้กับบุคคลที่อายุต่ำกว่า 20 ปี มาตรฐานดังกล่าวนั้นถูกพังทลายแล้ว เด็กมัธยมถูกตั้งข้อหา ต่อไปคงเป็นเด็กอนุบาล ตำรวจประเทศอื่นเขาใช้รบกับโจร แต่ประเทศนี้สู้รบกับเด็ก เราจะสู้ไปด้วยกันจนกว่าจะจบที่รุ่นเรา”
    ในเวลา 14.00 น. ที่ สน.ชนะสงคราม นายจตุภัทร์ บุญภัทรรักษา หรือไผ่ ดาวดิน และนายสมยศ พฤกษาเกษมสุข แกนนำกลุ่มราษฎร เข้ารับทราบข้อหาตามมาตรา 112 เพิ่มเติม ในคดีการชุมนุม #19 กันยาทวงอำนาจคืนราษฎร ที่ท้องสนามหลวง เมื่อวันที่ 19-20 ก.ย.63 โดยมี น.ส.อินทิรา เจริญปุระ หรือทราย เจริญปุระ และนายไชยอมร แก้ววิบูลย์พันธุ์ หรือแอมมี่ บอตทอมบลูส์ มวลชนกลุ่มราษฎร และกลุ่มเสื้อแดงมาให้กำลังใจ โดยมีการใช้รถซาเล้งพ่วงติดเครื่องขยายเสียงและตั้งไมโครโฟนให้แกนนำได้ขึ้นปราศรัยด้านหน้าสถานีตำรวจ และยังมีองค์กรสิทธิมนุษยชน รวมถึงนายสุนัย ผาสุข ที่ปรึกษาฮิวแมนไรต์วอตช์ประเทศไทย มาร่วมสังเกตการณ์ด้วย ทั้งนี้ นายจตุภัทร์และนายสมยศได้เข้าพบพนักงานสอบสวน แต่ไม่ลงนามในเอกสารของพนักงานสอบสวน และปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา โดยจะทำหนังสือชี้แจงข้อกล่าวหาต่อพนักงานสอบสวนต่อไป
3 กมธ.วุฒิสภาโต้แทมมี่
ส่วนที่ สน.พหลโยธิน นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า เดินทางเข้าพบ พ.ต.ท.นพดล ดรศรีจันทร์ รอง ผกก.สอบสวน สน.พหลโยธิน เพื่อรับทราบข้อกล่าวหาหลังถูกออกหมายเรียกฝ่าฝืนพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน จากกรณีเข้าร่วมชุมนุมกับนักเรียน นิสิต นักศึกษา และประชาชน บริเวณห้าแยกลาดพร้าวเมื่อวันที่ 17 ต.ค. โดยนายธนาธรได้ปฏิเสธข้อกล่าวหา  
    วันเดียวกัน ที่รัฐสภา นางพิกุลแก้ว ไกรฤกษ์ ส.ว. ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการ (กมธ.) ต่างประเทศ วุฒิสภา แถลงถึงกรณีนางแทมมี่ ดักเวิร์ธ ส.ว.สหรัฐอเมริกาเชื้อสายไทย ได้ร่วมกับ ส.ว.สหรัฐ เสนอให้วุฒิสภาสหรัฐมีมติสนับสนุนการใช้สิทธิ์การชุมนุมทางการเมืองในประเทศไทย ว่าการประชุมร่วมกันของ กมธ.การต่างประเทศ, กมธ.การพัฒนาการเมืองฯ และ กมธ.สิทธิมนุษยชนฯ มีความเห็นร่วมกันว่า หาก ส.ว.สหรัฐมีข้อสงสัยเกี่ยวกับการเมืองการปกครองของไทย สามารถสอบถามเพื่อรับทราบข้อมูลที่ถูกต้องได้ที่สถานเอกอัครราชทูตและสถานกงสุลใหญ่ของไทยในสหรัฐ ซึ่ง กมธ.ทั้งสามคณะมีความห่วงกังวลต่อกรณีนี้เป็นอย่างยิ่ง เนื่องจากข้อเรียกร้องต่างๆ อาจถูกนำไปตีความที่คลาดเคลื่อน และตั้งอยู่บนข้อเท็จจริงที่คลาดเคลื่อนจากความเป็นจริงอย่างมาก ซึ่งอาจนำไปสู่ความแตกแยกมากยิ่งขึ้นในสังคมไทย และส่งผลต่อความสัมพันธ์ของทั้งสองประเทศที่มีมาเกือบ 200 ปี
    นายเสรี สุวรรณภานนท์ ส.ว. ในฐานะประธาน กมธ.การพัฒนาการเมืองฯ กล่าวว่า ในมุมมอง กมธ. เราให้ความสำคัญต่อ ส.ว.สหรัฐ แต่นั่นเป็นการเสนอความคิดเห็นด้านเดียว ดังนั้นต้องเข้าใจและตระหนักถึงการบริหารประเทศของไทย แต่ละประเทศย่อมมีปัญหาแตกต่างกัน แต่ละประเทศต้องไม่ก้าวก่ายการบริหารภายในประเทศกันและกัน
    นายสมชาย แสวงการ ส.ว. ในฐานะประธาน กมธ.สิทธิมนุษยชนฯ กล่าวเช่นกันว่า ส.ว.สหรัฐอาจได้รับข้อมูลด้านเดียวที่ไม่ครอบคลุมถึงสถานการณ์ในไทย ยืนยันว่าการชุมนุมเป็นสิทธิตามรัฐธรรมนูญ และเจ้าหน้าที่ยังยึดตามหลักสากลโดยไม่มีความรุนแรงที่เกินกว่ากฎหมายควบคุมไว้ หวังว่า ส.ว.สหรัฐจะชะลอการเสนอญัตติเอาไว้ พร้อมกับสอบถามข้อมูลจากวุฒิสภาไทยก่อนได้ตลอดเวลา.    

 


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"