เนวินหลอนเพื่อแม้ว พล่านขุดอดีตเตือนบิ๊กตู่'ห้อย'เข้าแก๊งไหนหัวหน้าตายหมด


เพิ่มเพื่อน    

 

    “ประยุทธ์” ตอกย้ำลงพื้นที่บุรีรัมย์ไม่ใช่การเมือง ลั่นจังหวัด-เจ้าหน้าที่เป็นคนจัดให้ตามความพร้อม  โวอยากไปทุกพื้นที่ ปลื้มมีคนอยากเห็นหน้า-จับต้อง เพื่อไทยดิ้นพล่านยิ่งกว่าถูกน้ำร้อน รุมถล่ม “ลุงตู่-เนวิน”   ซัดเสียงเชียร์แลกงบประมาณ พ่วงยกตัวอย่างห้อยหนุนใครหัวหน้าตายเกลี้ยง “แดงอีสาน” ย้ำตั้งพรรคแน่

    เมื่อวันที่ 8 พฤษภาคม ที่อาคารอเนกคุณาคาร  มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์ จังหวัดบุรีรัมย์ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ให้สัมภาษณ์ภายหลังเป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรีนอกสถานที่อย่างเป็นทางการ (ครม.สัญจร) ว่าอยากให้ทุกคนกลับไปดูว่าในปีแรกรัฐบาลได้ทำอะไรไปบ้าง ซึ่งอาจไปในพื้นที่ที่มีปัญหาก่อน เพื่อแก้ปัญหาและอุปสรรคที่เกิดขึ้น และแม้จะไปในจังหวัดใดจังหวัดหนึ่ง ก็จะเชิญผู้ว่าราชการในกลุ่มจังหวัดนั้นๆ มาพูดคุยทุกครั้ง 
“การที่รัฐบาลลงมาในพื้นที่ต่างจังหวัด ไม่ได้ลงมาเพื่อรับคำขอ และรัฐบาลก็ทำการบ้านก่อนมาตลอด เราจะยึดหลักการ เหตุผลและความคุ้มค่าและประสิทธิภาพในการใช้จ่ายงบประมาณ และต้องตัดสินใจให้รอบคอบว่าจะใช้งบประมาณส่วนใดที่จะทำให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด ทุกเรื่องต้องเข้าสู่ที่ประชุม และเป็นมติของ ครม.ว่าจะอนุมัติหรือไม่ ไม่ใช่ทำทุกอย่างเพื่อการเมืองหรือเพื่อเตรียมการเลือกตั้ง หรือผมไม่ต้องลงไปได้หรือไม่ ก็ไม่ได้ แม้จะมีแผนงานแล้วก็ตาม แต่ก็อยากเห็นด้วยตาตัวเอง ขอยืนยันอีกครั้งว่าไม่ได้มาเพื่อการเมือง การเมืองคือการทำเศรษฐกิจ สร้างสภาวะแวดล้อมให้มั่นคงปลอดภัย” พล.อ.ประยุทธ์กล่าว 

    นายกฯ ย้ำอีกว่า การเดินทางมาประชุม ครม.ครั้งนี้ไม่ใช่ลงมาเพื่ออนุมัติงบประมาณ 10,000-20,000 ล้าน อย่างที่กล่าวอ้าง ขอให้ทุกคนได้ใช้สติปัญญาใคร่ครวญด้วย ไม่ใช่อะไรก็การเมืองทั้งหมด เพียงแต่ช่วงนี้เป็นการเดินหน้าสู่เรื่องของการเลือกตั้ง หลายคนจึงมองว่าเป็นงานการเมือง การที่รัฐบาลเดินทางมานี้มุ่งหวังจะไปให้ครบทุกจังหวัด แม้เป็นไปไม่ได้ แต่ก็เลือกไปให้ครบทุกกลุ่มจังหวัดก่อน ยืนยันว่ารัฐบาลต้องการไปทุกจังหวัดเพื่อรับฟังความต้องการของประชาชนโดยตรง สอดคล้องกับแผนที่รัฐบาลมีอยู่ในมือ และที่ผ่านมาใน 4 จังหวัด 4 ปี รัฐบาลใช้เงินเกี่ยวกับการบริหารจัดการน้ำประมาณ 3,000 ล้านบาท และปีนี้เสนอมาอีกพันกว่าล้าน ก็น่าจะอนุมัติให้ได้ เพราะตรงกับแผนงานของรัฐที่วางไว้ และตรงกับความต้องการของประชาชน 
“จะเห็นได้ว่าไม่ใช่ว่าลงมาแล้วเขาขออะไรรัฐบาลก็ให้โดยคิดไม่เป็น รัฐบาลมีความตั้งใจดี อยากให้ทุกอย่าง แต่ต้องดูว่างบประมาณเราเพียงพอหรือไม่ เพราะเราไม่ต้องการเอาเงินอนาคตมาใช้ เพราะจะมีปัญหาในเรื่องหนี้สาธารณะ" พล.อ.ประยุทธ์กล่าว 

    พล.อ.ประยุทธ์กล่าวยอมรับว่า การมา จ.บุรีรัมย์ครั้งนี้มันก็เป็นประเด็นทางการเมืองว่ามาพบกับคนนั้นคนนี้ ยืนยันว่าการที่จะไปพบใครที่ไหนอย่างไร หรือจะพูดจากับประชาชนในสถานที่แห่งไหน ทางจังหวัดและเจ้าหน้าที่เป็นผู้เตรียมการทั้งหมด ไม่ได้สั่งการว่าจะเป็นที่นี่ที่นั่น เจ้าหน้าที่เขาต้องดูว่าความพร้อมมีที่ไหน ก็จะเชิญไปที่นั่น 
“บิ๊กตู่”ลั่นไม่มีแลกเปลี่ยน
"ผมพร้อมพบกับคนทุกที่ และผมไม่ได้พบกับใครเป็นการส่วนตัว ไม่ได้พบใครในที่รโหฐาน ทุกคนสามารถถ่ายรูปได้มากมาย ก็จะเห็นว่าผมไม่ได้ไปแอบพบ แอบคุยกับใคร และไม่มีการคุยเรื่องการเมืองใดๆ ทั้งสิ้น ผมถือว่าวันนี้เราต้องหาความร่วมมือในเรื่องการปฏิรูปประเทศ ในการทำงานเพื่อประชาชนในอนาคตให้ได้โดยเร็ว ทำความเข้าใจในเรื่องของยุทธศาสตร์ชาติ ความมั่นคง การสนับสนุนมาตรการในการแข่งขัน รวมทั้งการพัฒนาในด้านต่างๆ เรื่องเหล่านี้เราต้องมีหลักการในการทำงาน และถึงผมมาแล้วไม่มีใครรับ ผมก็มา ที่ไหนไม่มีคนมารับผมสักคน หรือมีเพียงคนเดียว ผมก็มา เพราะผมมาเพื่อพัฒนาเขา แต่เมื่อเขามาต้อนรับก็ถือเป็นเรื่องส่วนตัวของประชาชนในพื้นที่ให้เกียรติ ผมก็โอเค แต่ผมไม่ต้องการแลกเปลี่ยนอะไรทั้งสิ้น เป็นเรื่องของรัฐบาล ไม่ใช่ความดีความชอบของคนเพียงคนเดียว" พล.อ.ประยุทธ์กล่าว

    พล.อ.ประยุทธ์กล่าวย้ำว่า การมาครั้งนี้ไม่ได้มาเพื่อการเมือง ที่เดินทางไปสนามช้างอารีน่า ก็เพราะเขาเตรียมการต้อนรับในพื้นที่ตรงนั้น ถ้าเขาจัดต้อนรับที่ริมแม่น้ำ รับในป่า ก็พร้อมไป จะไปบังคับใครได้ ในเมื่อประชาชนเขาอยากมาก็เป็นเรื่องที่เขาอยากจะพบ ก็ต้องไปเจอเขา อย่าไปพูดจาให้เกิดความเสียหาย ส่วนเรื่องการขับขี่จักรยานยนต์ในสนามช้าง อินเตอร์เนชั่นแนล เซอร์กิต นั้นจำเป็นต้องไปดู และเมื่อขี่เป็นอยู่บ้างก็เลยลองดู เพราะการที่จะทำอะไรก็ตาม ถ้าเราได้เรียนรู้ด้วยตนเองจะรู้ถึงความยากง่าย 
“ผมไม่ได้เก่งไปกว่าใคร ก็เสี่ยงอยู่เหมือนกัน ถ้าล้มคว่ำคะมำหงายก็อายคนเขาเหมือนกัน แต่บังเอิญว่าเคยขี่มาตั้งแต่เด็ก ด้วยความเร็วไม่ได้มากนัก 60-70 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ก็รู้ตัวของตัวเอง แต่ทั้งหมดก็ทำให้รู้ว่าเด็กเหล่านี้มีความพยายามในการขี่จักรยานยนต์แข่งที่ต้องใช้ความเร็วสูงถึง 200-300 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ไม่ใช่เรื่องง่าย มีความเสี่ยง ขณะหลวงพ่อคูณนั่งรถแค่ความเร็ว 80 กิโลเมตรต่อชั่วโมงก็ลงไปแล้ว ดังนั้นต่อให้ห้อยหลวงพ่อคูณก็เอาไม่อยู่ ทั้งหมดอยู่ที่ตัวของเราเอง อยู่ที่ความเชื่อมั่น” พล.อ.ประยุทธ์ระบุ 

    นายกฯ ยังระบุว่า การลงพื้นที่ครั้งนี้ได้เห็นถึงความรักสามัคคีของคนในจังหวัดบุรีรัมย์และสุรินทร์ ซึ่งไม่ว่าจะด้วยอะไร แต่เขาก็มีความรักความสามัคคี ทำประโยชน์ให้เกิดกับชาติ ซึ่งน่าจะดี และได้มีโอกาสไปดูตลาดคนเดินเซราะกราว ซึ่งปกติขายเฉพาะเสาร์อาทิตย์ แต่เมื่อวันจันทร์เป็นกรณีพิเศษ เพราะอยากมาดูหน้านายกฯ คนแน่นตลอดไปหมด ซึ่งอยากจะบอกว่านายกฯ ไม่ใช่คนพิเศษ เป็นคนธรรมดา แตะต้องสัมผัสได้ ถือว่าได้รับความรักได้รับความเมตตาจากประชาชน ซึ่งไม่ได้พูดแบบนักการเมืองกับลูกน้อง กับทหารก็พูดแบบนี้มาตลอด เราอยู่คนเดียวไม่ได้ คนเป็นนายกฯ ก็เช่นกัน อยู่ได้ก็ด้วย ครม. ข้าราชการ และประชาชนผู้ได้รับประโยชน์ การจะทำให้ประเทศแก้ไขปัญหาได้ไม่ใช่แก้เพียงโครมคราม พันหน้าพันหลัง เราต้องระมัดระวังอย่างเต็มที่

    พล.อ.ประยุทธ์ย้ำอีกครั้งว่า การมาครั้งนี้ไม่ใช่นายกฯ จะไปชี้โน่นชี้นี่ ก่อนหน้าสองวันได้มอบหมายให้รองนายกฯ และรัฐมนตรีลงทุกพื้นที่ใน 4 จังหวัดอีสานใต้ เพื่อรวบรวมปัญหาอุปสรรคและความต้องการของประชาชน และนำมาหารือในที่ประชุม ครม. ซึ่งการทำงานควรต้องเป็นแบบนี้ ในอนาคตก็ต้องเป็นเช่นนี้ด้วย ไม่ว่าใครจะเข้ามาเป็นรัฐบาลก็ตาม ฝากสื่อไว้ด้วย ตนเองจะอยู่หรือไม่ก็ยังไม่รู้ แต่สื่อคือส่วนที่อยู่ในทุกๆ รัฐบาล ก็ขอร้องให้ช่วยทำความเข้าใจ ให้ประชาชนเข้าใจให้ดีขึ้น และไม่ว่ารัฐบาลหน้าจะเป็นใครก็ตาม ต้องสร้างการยอมรับและความไว้เนื้อเชื่อใจให้ได้ อย่าไปสอนประชาชนให้ได้อะไรมาง่ายๆ เพราะมันจะสูญสลายหมดสิ้นไปง่ายเช่นกัน แต่ละปีงบประมาณหมดไปโดยไม่มีอะไรเกิดขึ้น รัฐบาลนี้เป็นห่วงมากที่สุด 

    "ผมอยากฝากสื่อมวลชน เพราะหลายคนบอกว่ายังไม่รู้รัฐบาลทำอะไรให้บ้าง เพราะส่วนใหญ่ข้อมูลที่ติดตามคือเรื่องความขัดแย้ง ชาวบ้านไม่ได้ตามดูข้างในว่ารัฐบาลทำอะไร ชาวบ้านมักเอาการเมืองมาขับเคลื่อน ความสงบและความไม่สงบเรียบร้อย มักเกิดขึ้นจากพวกเรา จากสื่อ และรัฐบาลอาจพูดจาจนเกิดความเสียหาย โดยเฉพาะผม ชอบพูดเยอะ แต่ผมพูดด้วยความตั้งมั่น ตั้งใจดี บางทีไม่มีเจตนา ก็ต้องขอโทษด้วย เราจึงจำเป็นต้องสร้างการรับรู้ให้มากขึ้น จะเห็นได้ว่าในทุกรัฐบาลที่ผ่านมาจะมีการขึ้นป้ายทั้งหมด ขอบคุณ ฯพณฯ คนนั้นคนนี้ที่สร้างสะพานสร้างถนนให้ แต่ผมบอกไม่จำเป็น สิ่งที่รัฐบาลทำคือการสร้างความรับรู้กับสื่อและสังคมโซเชียลฯ ว่าเราทำอะไรไปบ้าง และผมเชื่อว่าไม่เคยมีแบบนี้มาก่อนที่รัฐบาลลงพื้นที่เกือบทุกจังหวัด ทุกภาค ผมไม่ได้มาประชาสัมพันธ์เพื่อให้รักรัฐบาล แต่อยากชี้ให้เห็นถึงจิตใจของ ครม. ข้าราชการ พยายามทำดีอย่างเต็มที่" พล.อ.ประยุทธ์กล่าว
“พท.”ซัดฝนตกขี้หมูไหล

    ขณะที่นายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด รักษาการรองโฆษกพรรคเพื่อไทย (พท.) กล่าวถึงการลงพื้นที่ของ พล.อ.ประยุทธ์ ว่าเป็นอีกครั้งที่ภาพการทำกิจกรรมลักษณะนี้ถูกตั้งคำถามถึงความจำเป็น ความคุ้มค่าของงบประมาณที่ใช้ไป ครม.สัญจรถี่ขนาดนี้ มีอีเวนต์รองรับ ทำประชาสัมพันธ์กันเป็นกระบวนการ ประชาชนได้ประโยชน์มากกว่าการประชุมในทำเนียบฯ หรือไม่ ประชาชนอาจอยากตั้งคำถามว่า เปิดทำเนียบฯ ดูดมันไม่ทันใจ ถึงต้องไปเดินสายลงพื้นที่เพื่อดูดกลุ่มการเมืองเข้าร่วมก๊วนเพิ่มหรือไม่ ถ้าตะโกนลุงตู่สู้ๆ แล้วได้งบประมาณลงพื้นที่เพิ่มมากขึ้น แล้วจังหวัดที่ไม่มีโอกาสได้ตะโกน จะรู้สึกว่าฝนตกไม่ทั่วฟ้าหรือไม่ หรือเป็นปรากฏการณ์ฝนตกขี้หมูไหล คนอะไรมารวมกัน เลยได้ประโยชน์เฉพาะกลุ่มที่ใกล้ชิดและเครือข่ายของตนก่อนหรือไม่ คือวิธีการจัดสรรงบประมาณแบบใหม่ตามเสียงตะโกน 
“ระยะหลังๆ แข่งฟุตบอลคนยังไม่ค่อยเต็มสนาม แต่มารับ พล.อ.ประยุทธ์รถติดหลายกิโล เป็นการสร้างวัฒนธรรมทางการเมืองแบบใหม่ขึ้นมาหรือไม่ ต่อจากนี้พื้นที่ที่ พล.อ.ประยุทธ์จะไป ไม่ต้องทำการบ้านอย่างหนัก หาวิธีต้อนรับให้แปลกใหม่ใหญ่ดังกว่า ถึงจะได้งบประมาณเพิ่มหรือไม่” นายอนุสรณ์กล่าว

    นายอนุสรณ์กล่าวอีกว่า การปรากฏตัวออกสื่อพร้อมกันของนายอนุทิน ชาญวีรกูล นายเนวิน ชิดชอบ กับ พล.อ.ประยุทธ์ ถ้าเป็นกลุ่มฟินจิกหมอนจะเห็นว่าอะไรก็สุดแท้ แต่คนที่ไม่อิน ไม่ติดยึดกับกระพี้หรืออีเวนต์การเมือง เห็นเป็นการเมืองโบราณย้อนยุค อาจบอกว่าผีเน่ากับโลงผุหรือไม่ ประชาชนเห็นชัดเจนว่าในขณะที่รัฐบาลและ คสช.ทำอะไรได้ทุกอย่าง แต่ไม่ยอมปลดล็อกพรรคการเมือง ไม่ให้ทำกิจกรรมใดๆ แล้วแบบนี้จะถือว่า การแข่งขันที่จะเกิดขึ้นอยู่บนพื้นฐานของการเลือกตั้งที่เสรีและยุติธรรมหรือไม่

    นายอำนวย คลังผา อดีต ส.ส.ลพบุรี พท. กล่าวว่า นายเนวิน ชิดชอบ แกนนำพรรคภูมิใจไทยเป็นนักการเมืองที่เก่ง รู้จักหลบหลีก พอมองว่าใครจะได้เป็นรัฐบาลก็จะเข้าหาคนกลุ่มนั้น เห็นได้จากการเข้าร่วมพรรคไทยรักไทยของนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ พอถึงสมัยพรรคพลังประชาชน ก็ยกพวกออกไปสนับสนุนนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ให้ได้เป็นนายกฯ จนก่อตั้งพรรคภูมิใจไทย มาวันนี้เห็น พล.อ.ประยุทธ์มีอำนาจ ก็เข้าไปสนับสนุน เป็นแรงผลักดันให้ได้เป็นนายกฯ อีกสมัย 
“เขาต้องการเข้าร่วมรัฐบาลโดยไม่สนใจอะไร วันนี้ขอเตือนให้ พล.อ.ประยุทธ์ดูคนที่นายเนวินเคยให้การสนับสนุน ทั้งนายทักษิณและนายอภิสิทธิ์ ว่าสุดท้ายพอลงจากอำนาจแล้วเป็นอย่างไร” นายอำนวยกล่าว
นายก่อแก้ว พิกุลทอง อดีต ส.ส.พรรคเพื่อไทย และแกนนำคนเสื้อแดง กล่าวว่า การลงพื้นที่ของ พล.อ.ประยุทธ์ เป็นเรื่องที่ดีที่ ครม.จะได้แก้ปัญหาให้กับประชาชนในพื้นที่ แต่การไปพบประชาชนที่มารออยู่ที่สนามฟุตบอลนั้น ทำให้สังคมมองว่าเป็นการไปพบกับทีมผู้ใหญ่ของพรรคภูมิใจไทย ซึ่งเป็นลักษณะการจัดตั้งประชาชนให้มาต้อนรับ และการที่ ครม.อนุมัติงบประมาณพัฒนากลุ่มจังหวัดอีสานใต้ ก็เป็นการซื้อใจกันระหว่าง พล.อ.ประยุทธ์กับนายเนวินและพรรคภูมิใจไทย เป็นการแลกเปลี่ยนซึ่งกันและกัน สานไมตรีทอดสะพานให้กัน ท่ามกลางกระแสดูดตัว ส.ส. ดังนั้นสังคมจึงมีคำถามถึง พล.อ.ประยุทธ์ ว่ากำลังดูดกลุ่มภูมิใจไทยให้เข้ามาเป็นพวกเดียวกัน ทั้งที่ก่อนหน้านี้ นายเนวินถูกพรรคการเมืองหนึ่งตั้งฉายาว่า ยี้ห้อย 120 แต่เมื่อนายเนวินพลิกฝ่ายมาหนุนให้เป็นนายกฯ นายเนวินกลับกลายเป็นคนดีขึ้นมา จนมาถึงวันนี้ พล.อ.ประยุทธ์ก็จะดูดนายเนวินและนักการเมืองคนอื่นๆ เข้าไป ทั้งที่ก่อนหน้านี้ตราหน้านักการเมืองว่าน่ารังเกียจ ไม่ดี เลว ไม่น่าคบ แต่ตอนนี้กลับคำพูด ทำให้ภาพของ พล.อ.ประยุทธ์ ออกมาว่าต้องการทำทุกอย่างเพื่อให้กลับมาสืบทอดอำนาจต่อไปได้
เชื่อเอาอยู่ม็อบ 22 พ.ค.

    สำหรับความเคลื่อนไหวของกลุ่มคนอยากเลือกตั้ง ที่จะชุมนุมในวันที่ 22 พ.ค.นั้น พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ และ รมว.กลาโหม ตอบเพียงว่า มีมาตรการดูแลอย่างที่เคยมี ก่อนจะเดินขึ้นรถไปทันทีโดยไม่ตอบคำถามเรื่องการประเมินสถานการณ์ดังกล่าวอย่างไรบ้าง
พล.อ.วัลลภ รักเสนาะ เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) กล่าวว่า หน่วยงานด้านความมั่นคงได้ประเมินสถานการณ์อย่างต่อเนื่อง เชื่อว่าการชุมนุมจะไม่มีเหตุการณ์บานปลาย เพราะทุกคนต่างต้องการให้เกิดความสงบเรียบร้อย และไม่อยากให้เกิดการขยายตัวต่อไป และกลุ่มผู้ชุมนุมคงทราบดีว่าขอบเขตของกฎหมายเป็นอย่างไร ซึ่งฝ่ายรัฐบาลจะพยายามทำให้เกิดความสงบเรียบร้อยมากที่สุด โดยต้องประสานกับผู้ชุมนุมด้วย เพราะรัฐบาลต้องการให้เกิดความสงบเพื่อป้องกันความรุนแรงและการขยายตัว จึงต้องขอความร่วมมือทุกฝ่าย

    พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) กล่าวในเรื่องนี้ว่า ไม่เป็นกังวลต่อสถานการณ์การชุมนุมดังกล่าว 

    ขณะที่ พล.ต.อ.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล รอง ผบ.ตร. กล่าวว่า หากการชุมนุมมีการขออนุญาตถูกต้องทางกองทัพก็จะเป็นผู้พิจารณาว่าจะอนุญาตหรือไม่ เจ้าหน้าที่ตำรวจก็มีแผนหลักแผนรองไว้รับสถานการณ์ที่จะเกิดขึ้น ซึ่งทุกคนมีสิทธิตามรัฐธรรมนูญ แต่ต้องอยู่ภายใต้กฎหมายตามพระราชบัญญัติการชุมนุม และคำสั่ง คสช.ที่ 3/2557 โดยหากพื้นที่ชุมนุมอยู่ใกล้เขตพระราชฐานระยะ 150 เมตร ก็ต้องบังคับใช้กฎหมาย 100% แต่ก็ไม่มีอำนาจไปห้ามว่าไม่ให้มาชุมนุม ผู้ร่วมชุมนุมต้องคิดให้ดี ว่าสิ่งที่ทำเกิดประโยชน์กับประเทศชาติหรือไม่

      วันเดียวกัน นายยุทธนา ทัพเจริญ รองโฆษกคณะกรรมาธิการวิสามัญกิจการสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (วิป สนช.) กล่าวว่า ในวันที่ 11 พ.ค.นี้ ที่ประชุม สนช.จะมีวาระพิจารณาแต่งตั้งคณะกรรมาธิการสามัญเพื่อตรวจสอบประวัติ ความประพฤติ และพฤติกรรมทางจริยธรรมของบุคคลที่ได้รับการเสนอชื่อให้ดำรงตำแหน่งเป็นกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) จำนวน 7 คน  โดย กมธ.มีทั้งหมด 17 คน มีเวลาทำงาน 60 วัน จากนั้นคาดว่าในวันที่ 12 หรือ 13 ก.ค. จะส่งให้ สนช.ลงมติให้ความเห็นชอบหรือไม่ โดยบุคคลที่จะได้เป็น กกต.ต้องได้รับเสียงจาก สนช.เกินกึ่งหนึ่งจากสมาชิกทั้งหมด หรือ 124 เสียงขึ้นไป

        "ขณะนี้ยังไม่สามารถตอบได้ว่า สนช.จะลงมติผู้ที่ได้รับการเสนอชื่อทุกคนหรือไม่ ต้องรอดูหลักฐาน เอกสาร และข้อเท็จจริง ที่ได้จากการตรวจสอบประวัติของแต่ละคนก่อน" นายยุทธนากล่าว
“แดงอีสาน”ยันตั้งพรรคแน่

    ส่วนที่สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) นายสมบัติ บุญงามอนงค์ หรือ บ.ก.ลายจุด ผู้ก่อตั้งพรรคเกรียน ได้ยื่นอุทธรณ์ต่อ กกต. เพื่อขอให้ตีความชื่อพรรคใหม่ โดยให้เหตุผลโต้แย้ง 6 ประเด็น ยกตัวอย่างว่าทั่วโลกก็มีการตั้งชื่อพรรคแปลกๆ จำนวนมาก เช่น พรรคหมาสองหาง พรรคโจรสลัด พรรคเมีย พรรคเจได  ซึ่งก็ถือว่าเป็นวิวัฒนาการทางการเมืองของระบอบประชาธิปไตย ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่ กกต.ที่มารับหนังสือ ได้ชี้แจงว่าทาง กกต.จะใช้เวลารพิจารณาคำอุทธรณ์ประมาณ 30  วัน โดยนายสมบัติได้แจ้งว่า หากพ้นระยะเวลาดังกล่าวแล้ว ก็จะไปยื่นฟ้องศาลปกครอง หากศาลยืนตาม กกต. ก็ได้เตรียมชื่อสำรองไว้แล้ว แต่ยังไม่ถูกใจ

    ขณะเดียวกัน นายสิระ พิมพ์กลาง แกนนำเสื้อแดงสกลนคร กล่าวว่า ได้ฟังนางธิดา ถาวรเศรษฐ แกนนำแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) จัดรายการวิพากษ์วิจารณ์แนวร่วมเสื้อแดงที่มีแนวคิดจัดตั้งพรรคการเมือง ว่าแนวคิดการทำพรรคการเมืองได้บอกแต่ต้นว่าต้องการให้บ้านเมืองเกิดความรัก ความสามัคคีปรองดอง ต้องการประชาธิปไตยแบบจริงๆ แต่บางคนยิ่งมาต่อต้าน ลักษณะการพูดแบบนี้ไม่เป็นผลดีต่อประเทศ หรือต้องการให้มีการรบกันจริงๆ หากต้องการแบบนั้น ขอให้ออกไปรบเลย เพราะบอกแล้วว่ามีแนวคิดตั้งพรรค จะไม่เอาแดงแบบสุดโต่ง หลุดโลก มาร่วมด้วย ต่อมาบางพวกก็ดิ้นกันใหญ่

    นายสิระกล่าวว่า ประเทศเราต้องมีประชาธิปไตยแบบไทยๆ ไม่ใช่ประชาธิปไตยอย่างบางประเทศ ที่ไปเอาแนวคิดมา มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข สถาบันทหาร ข้าราชการทำหน้าที่ตัวเอง ทหารที่เข้ามา ทุกคนรู้ที่เข้ามาตอนนั้นเพื่อหยุดการทะเลาะเบาะแว้ง เมื่อหยุดการทะเลาะได้แล้ว ทหารต้องหยุดด้วย ไม่ใช่ทำเหมือนยุคสุจินดา จะเป็นอันตรายต่อความรู้สึก ไม่เช่นนั้นคนจะคิด ทหารต้องการอะไรกันแน่ หรือถ้ากลัวจะวุ่นวายมีคำสั่งอีกขยัก หากเกิดขึ้น คสช.ยังสามารถใช้อำนาจบริหารจัดการได้ไปจนกว่าจะมีรัฐบาลใหม่ แบบนี้ดูจะสง่างาม

    “การที่จะทำพรรค ต้องการให้มีประชาธิปไตยแบบไทยๆ เพื่อให้บ้านเมืองปรองดอง สงบ ผมพูดถึงการตั้งพรรค นางธิดาไม่ใช่มาผูกขาด มาบอก นปช.ส่วนกลางไม่มีนโยบายตั้งพรรค คุณจะไม่มีนโยบายไม่ตั้งก็เรื่องของคุณ จะมาจำกัดสิทธิของประชาชน ไม่ว่าจะเป็นเสื้อเหลือง เสื้อแดงได้อย่างไร คุณพูดเรื่องประชาธิปไตย ความเสมอภาค เสรีภาพ แต่จะมารวมศูนย์อำนาจไว้ที่กลุ่มแกนนำแบบนั้นหรือ ต้องยอมรับให้เกียรติความเห็นทุกภาคส่วน ถึงจะไปได้” นายสิระกล่าว  

    นายสิระกล่าวว่า สิ่งไหนให้อภัยได้ก็ควรให้อภัย แต่ละฝ่ายล้วนมีส่วนผิด ทหารออกมาล้มล้างรัฐธรรมนูญก็ผิด ประชาธิปัตย์หนุนม็อบก็ผิด ทักษิณเสื้อแดงก็มีส่วนผิด แต่อะไรให้อภัยได้ก็ต้องให้อภัย นอกจากนี้ยังรู้สึกแปลกใจ แกนนำคนที่ก่อตั้งบางพรรคเดินสายมาต่างจังหวัดทางอีสาน แล้วประหลาดใจ โอ้โห คนอีสานทำไมถึงจนถึงเพียงนี้ คุณเพิ่งรู้หรือ คุณเพิ่งมาเริ่มศึกษา แต่เขารู้กันตั้งนานแล้ว การมาคงหวังดึงฐานเสียง หากรู้ว่าฐานเพื่อไทย ทหารยังแน่น ก็ต้องมาเอากับฐานเสื้อแดงอยู่ดี.        


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"